เก่าไป ใหม่มา ถึงเวลาเข้าสู่ยุคตกต่ำของ "ตู้โทรศัพท์สาธารณะ"


ยุคตกต่ำของ "ตู้โทรศัพท์สาธารณะ"
โดย..วรรณโชค ไชยสะอาด

          ดูเหมือนว่า วัฏจักรของ “ตู้โทรศัพท์สาธารณะ” ใกล้เข้าสู่ภาวะสูญพันธุ์ หลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศไล่รื้อถอนตู้โทรศัพท์สาธารณะครั้งใหญ่กว่า 4,000 เครื่อง โดยเฉพาะตู้ที่ชำรุดเสียหายไม่ได้ใช้ประโยชน์ ตู้ที่มีการติดตั้งอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงตู้ที่เข้าข่ายกีดขวางทางเท้า เพื่อรองรับมาตรการคืนทางเท้าให้ประชาชน บวกกับปัจจุบันสมาร์ทโฟนอันล้ำสมัยเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของผู้คน พกง่ายใช้สะดวก แถมยังราคาถูก

ส่งผลให้ปัจจุบันแทบจะไม่มีใครใช้บริการตู้โทรศัพท์สาธารณะอีกต่อไปแล้ว



          จากยุครุ่งเรืองสู่ยุคตกต่ำ
          ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว "ตู้โทรศัพท์สาธารณะ" ไม่ต่างจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ตั้งแต่ปากซอย สี่แยก ทางสามแพร่ง ยันหัวมุมถนนจะต้องมีตู้โทรศัพท์ตั้งโดดเด่นสะดุดตาผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา

          ตู้โทรศัพท์สาธารณะเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2522 โดยบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นำโทรศัพท์แบบหยอดเหรียญเข้ามาติดตั้งในเขตโทรศัพท์นครหลวงจำนวน 100 เครื่อง ก่อนเจริญก้าวหน้าต่อยอดเพิ่มจำนวนมากกว่าสองแสนตู้ทั่วประเทศดังเช่นทุกวันนี้

          รังสรรค์ จันทร์นฤกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)  เผยว่า ปัจจุบันโทรศัพท์สาธารณะทั่วประเทศเหลืออยู่ทั้งหมดประมาณ 180,000 เครื่อง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มีอยู่ประมาณ 50,000 เครื่อง

เขายอมรับว่า วันนี้โทรศัพท์สาธารณะเป็นบริการที่ไม่สร้างกำไรอีกต่อไปแล้ว


          “ในอดีต ช่วงที่โทรศัพท์สาธารณะได้รับความนิยมสูงสุด มีการติดตั้งตู้ทั่วประเทศถึงกว่า 2 แสนเครื่อง เฉพาะในกรุงเทพสร้างรายได้เฉลี่ยถึงสัปดาห์ละ 3-4 พันบาทต่อเครื่อง  แต่ปัจจุบันรายได้เฉลี่ยแต่ละวันลดลงมาก ในกรุงเทพเหลือเพียง  150 - 200 บาทต่อเครื่องต่อเดือน ขณะที่ต่างจังหวัดรายได้ไม่ถึง 100 บาท  เทียบกับค่าดูแลรักษาเริ่มต้น 200 บาทขึ้นไปต่อเครื่องต่อเดือน  ต้องเรียกว่าโทรศัพท์สาธารณะนั้นแทบไม่ทำกำไรอีกแล้ว

          สมัยนี้คนที่ยังใช้บริการอยู่ส่วนใหญ่เป็นที่ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม ตามชุมชน รวมทั้งโรงเรียนบางแห่งที่ออกกฎห้ามนักเรียนนำโทรศัพท์มือถือมาเรียน จึงมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะเยอะกว่าที่อื่น แต่พอนำรายได้จากค่าบริการมาบวกลบกับต้นทุนและค่าดูแลบำรุงรักษาแล้ว ขาดทุนประมาณ 2,000 บาทต่อเครื่อง”

          สิ่งที่จะทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่รอดต่อไปได้คือ พัฒนาให้มีความสอดคล้องกับการใช้งานในปัจจุบัน ควบคู่กับหารายได้ทางอื่นมาช่วยเหลือเพิ่มเติม

          “ในต่างประเทศมีการพัฒนาโทรศัพท์สาธารณะให้สามารถบริการสัญญาณไวไฟ ซื้อขายของออนไลน์ได้ รวมทั้งมีรายได้จากการติดตั้งป้ายโฆษณาด้วย ที่ผ่านมาทีโอทีร่วมกับบริษัทเอกชน พัฒนาบริการโทรศัพท์สาธารณะแบบมัลติมีเดีย ในชื่อเว็บเพย์โฟน (Web PayPhone) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ แต่ถ้านำมาติดตั้งในพื้นที่สาธารณะทั่วไปตอนนี้คิดว่ายังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน”



          รังสรรค์ บอกว่า แม้จะมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะลดลง เเต่ยังจำเป็นต้องมีต่อไป เนื่องจากตามพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ระบุว่า ระบบสื่อสารโทรคมนาคมของชาติต้องบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ  ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นผู้กำกับดูแล มีหน้าที่กำหนดมาตรการให้มีการกระจายบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม

          ล่าสุดมีการรื้อตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่กรุงเทพฯกว่า 4,000 ตู้ทั่วกรุงเทพตามนโยบายคืนทางเท้าให้ประชาชน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

          ธิติ ทรงเจริญกิจ ผอ.กองแผนงานและประสานสาธารณูปโภค สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร เผยว่า ปัจจุบัน กทม.มีตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ได้รับอนุญาต ประมาณ 18,000 ตู้ ขณะที่ตู้ไม่ได้ใช้ประโยชน์และตู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 4,531 ตู้

          “ทุกวันนี้มีโทรศัพท์สาธารณะจำนวนมากไม่ได้รับอนุญาตติดตั้งตามประกาศ พ.ศ. 2546 ลักษณะของตู้โทรศัพท์ผิดกฎหมาย เช่น ติดตั้งชิดป้ายรถประจำทาง ติดตั้งบนทางเท้าแคบๆ เหลือทางสัญจรให้ประชาชนน้อยกว่า 1.5 เมตร มีการติดป้ายโฆษณาต่างๆ บางตู้กลายเป็นที่เก็บสัมภาระของพ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งเป็นแหล่งมั่วสุม จึงจำเป็นต้องดำเนินการจัดระเบียบโทรศัพท์สาธารณะอย่างเร่งด่วนเพื่อคืนทางเท้าให้ประชาชน”

          จากนี้ไปจะทำหนังสือเพื่อแจ้งกับบริษัทโทรศัพท์เจ้าของตู้ต่างๆว่าจะดำเนินการรื้อตู้ที่เข้าข่ายกีดขวางทางเท้าและไม่ได้ใช้ประโยชน์ โดยมอบหมายให้สำนักการโยธาเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนตู้โทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายลักลอบติดตั้งโดยไม่ได้ขออนุญาต กทม.จะเข้าไปรื้อถอนทันที



"คิดถึงแฟน-บอกรักพ่อแม่-โทรกลับบ้าน-ขอเพลง" ความทรงจำในตู้สี่เหลี่ยม


          ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ตู้โทรศัพท์สาธารณะบางตู้กลายเป็นที่เก็บสินค้าของพ่อค้าแม่ค้า บางตู้แปรสภาพเป็นถังขยะ เป็นโถฉี่ เป็นที่แสดงงานกราฟฟิตี้ แม้กระทั่งตู้ผีสิงที่รกร้างเต็มไปด้วยฝุ่นเกรอะกรัง ผิดจากสมัยก่อนที่ตู้สี่เหลี่ยมตู้นี้เปรียบดั่งวิมานรักของคนหนุ่มสาว เป็นที่พึ่งทางใจของลูกที่คิดถึงพ่อแม่

ภาพการถือเหรียญบาทกำไว้ในมือ ยืนรอต่อคิวด้วยความกระวนกระวาย ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของคนอายุ 30 ปีขึ้นไป


          สุเมธ หงส์ทอง พนักงานบริษัทเอกชน บอกว่า ตู้โทรศัพท์สาธารณะเก็บความทรงจำของเขาเอาไว้มากมาย โดยกับเฉพาะกับคนรักอย่างแม่ แฟน และเพื่อน

          “15 ปีก่อน ตู้โทรศัพท์จำเป็นมาก เลิกเรียนต้องโทรไปบอกแม่ว่าจะให้มารับที่ไหน จะไปเที่ยวกับเพื่อนก็โทรนัดกัน รวมทั้งจีบสาว จำได้ว่าต้องคอยเดินหาตู้ดีๆในมุมเหมาะๆไว้ยืนคุยกับผู้หญิงที่เราชอบ บางตู้ดีจริง แต่คุยได้ไม่นาน เพราะเขินและเกรงใจคนยืนรอ ต้องวิ่งข้ามถนนไปในซอยลึกมืดๆ สลัวๆ ควานหาตู้ประจำเพื่อจะได้คุยกับสาวนานๆ”

          เช่นเดียวกับความทรงจำของ ญานี พานทอง เจ้าของธุรกิจส่วนตัว เล่าว่า เเม่ของเธอถึงขนาดออกกฎเคร่งครัดว่าทุกวันหลังเลิกเรียน เต้องโทรหาด่วน

          “หนูเลิกเรียนแล้วนะแม่ แต่ขออยู่เล่นกับเพื่อนก่อน หนูเรียนพิเศษ หรือหนูยืนรอหน้าร้านขายน้ำนะแม่” ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสนทนาอันคุ้นชินผ่านหูพลาสติกในตู้สี่เหลี่ยม

          อารยา พึจตุรัส เจ้าของธุรกิจร้านถ่ายเอกสาร ให้ความเห็นว่า โทรศัพท์สาธารณะยังมีความจำเป็นในยามฉุกเฉิน เเม้จะถูกใช้งานน้อยมากในปัจจุบันก็ตาม

          “มันเป็นอุปกรณ์ฉุกเฉิน ตอนเด็กๆเคยโดนล้วงกระเป๋า ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ต้องวิ่งไปที่ตู้สาธารณะ โทรหาตำรวจ แต่เดี๋ยวนี้ตู้สาธารณะขาดการดูแล หลายแห่งไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนใหญ่สกปรก ครั้งหนึ่งแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนหมดจะโทรถามอาการป่วยของลูกสาว เลยคว้าโทรศัพท์สาธารณะแต่กลับใช้งานไม่ได้ เงียบ ไม่มีสัญญาณอะไรเลย”


ภาพบรรยากาศประชาชนยืนต่อคิวใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะในอดีต


          ขณะที่ ดีเจป๋อง-กพล ทองพลับ นักจัดรายการวิทยุชื่อดัง เล่าด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีว่า เมื่อครั้งยังเด็กเคยหยอดเหรียญโทรขอเพลงจากดีเจตามคลื่นวิทยุ ถึงวันหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นดีเจ มีผู้ฟังใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรเข้ามาเล่าพูดคุยด้วยเช่นกัน

          “วัยรุ่นยุคก่อนต้องเคยแลกเหรียญโทรขอเพลงดีเจ หรือโทรจีบสาว ต้องเข้าคิวด้วยนะ บางคนใช้นานมาก ยืนรอจนจะหลับก็มี บางคนรอไม่ไหวโวยวาย 'เฮ้ย...นานไปแล้ว คุยเร็วหน่อยได้ไหม' นึกแล้วก็ตลก ตัวเราเองก็ต้องระวัง ยกหูเมื่อไหร่ จะดูคนอื่นก่อน มีคนต่อคิวไหม ไม่มีก็คุยยาวเลย โดยเฉพาะคุยกับสาว เคยโทรเข้าเบอร์บ้าน พ่อเขารับ เราไม่กล้าพูด รีบวางหูหนีเลย โทรกลับตามเราไม่ได้ด้วย”

          ดีเจป๋อง บอกว่า ผู้ฟังวิทยุในยุคนั้นใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรเข้ามาขอเพลง เล่าเรื่องราวสนุกๆ บ่อยครั้งเป็นเรื่องตลก บางทีเล่ายังไม่จบก็ตัดสายไปดื้อๆ เพราะเหรียญหมด

          หากมองให้ลึกและรอบด้านแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า สังคมยุคนั้นดำเนินไปอย่างเนิบช้า เต็มไปด้วยการอคอย ต่างกับสมัยนี้ที่มีแต่ความเร่งรีบ และรอกันไม่ได้อีกแล้ว

ทางรอดยุคนี้...เปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานให้สอดคล้องกับเมือง


ในต่างประเทศ มีการปรับเปลี่ยนตู้โทรศัพท์สาธารณะให้สามารถใช้งานที่ตอบสนองกับพฤติกรรมของผู้คนในโลกสมัยใหม่ได้มากขึ้น


          ยกตัวอย่างเช่น อังกฤษและเยอรมนี บางเมืองออกไอเดียด้วยการจับเอาตู้โทรศัพท์สาธารณะมาแปลงโฉมเป็นห้องสมุดขนาดเล็ก หรือที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา โครงการ LinkNYC แปลงโฉมตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบเก่า ให้กลายมาเป็นตู้ Wi-Fi Hub จำนวน 7,500 จุด ปล่อยสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง มีฟังชั่นก์การใช้งานแสนล้ำ เปิดใช้งานแอพต่างๆ ได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดดูแผนที่จาก Google Map หรือเปิดเว็บเบราว์เซอร์เข้าเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงการโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (VoIP Calls) ได้แบบฟรีๆ  พร้อมกับมีช่องสำหรับเสียบหูฟังในการสนทนา และช่องเสียบสายชาร์จ USB และเพื่อความปลอดภัย หลังจากใช้งานเสร็จ ระบบจะทำการลบคุกกี้ และข้อมูลการใช้งานทั้งหมดโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉินต่างๆ ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ด้วย

          ส่วนบริเวณด้านข้างทั้ง 2 ด้านของตู้ ประกอบด้วยหน้าจอ LCD ขนาด 55 นิ้ว เพื่อใช้ในการโฆษณา นับได้ว่าเป็นนวัตกรรมแบบใหม่ที่สามารถสร้างประโยชน์ในการใช้งาน โดยคาดว่าตู้ไวไฟนี้จะสร้างรายได้จากค่าโฆษณาให้กับนครนิวยอร์ก 500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 17,540 ล้านบาทภายใน 12 ปี


กลับมาที่แนวทางการพัฒนาระบบโทรศัพท์สาธารณะในเมืองไทย


-----มีต่อ-----
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่