บทนำ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากเรื่องสั้น ชื่อ The black cat ของ
Edgar Allan Poe
ซึ่งเป็นนักเขียนแนว สยองขวัญ และสืบสวน ที่ข้าพเจ้าชื่นชม มากที่สุด
Poe มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1809 - 1849
เขาเป็นคนแรกที่บุกเบิก เรื่องสั้น แนวสยองขวัญ อย่างแท้จริง ในความรู้สึกของข้าพเจ้า
(ลองดูช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่).....คิดเป็น พ.ศ. ก็ 2452 - 2492
(ดูปีเกิด - ปีเสียชีวิต ก็ชวนขนลุกแล้ว)
งานของเขาลุ่มลึก เล่นกับอารมณ์ของคนอ่านและตัวละครอย่างไม่น่าเชื่อ
อันเป็นผลมาจากชีวิตส่วนตัว ที่ย่ำแย่ ของเขา
แต่เขาก็เปลี่ยนวิกฤติ เป็นโอกาส โดยถ่ายทอดความเจ็บปวดในชีวิต ออกมาเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดเรื่องสยองขวัญ
จนเป็นตำนาน มากระทั่งทุกวันนี้
=========
แมวดำ
=========
Psycho G.
เด็กชายปิดหนังสือลงก่อนเอนลงหลังบนเตียงด้วยหัวใจซึ่งเต้นไม่ค่อยปกตินัก เพราะหนังสือเล่มนั้นเป็นงานเขย่าขวัญคลาสสิกของเอดการ์ อลันโพ เรื่องซึ่งเพิ่งอ่านจบลงไปคือเรื่อง “แมวดำ” บรรยากาศหลอนน่าสะพรึงกลัวแทบทั้งเรื่อง ฉากสุดท้ายของเรื่องเป็นการเปิดเผยความลับของศพถูกฝังในผนังห้องพร้อมแมวดำซึ่งมีที่มาเร้นลับและนำมาซึ่งความหายนะ แต่ฉากอันน่าขนลุกของเด็กชายเพิ่งเริ่มต้น เมื่อเขาได้ยินเสียงแมวร้องดังแว่วมาแต่ไกล
ความจริงมันก็เป็นเสียงแมวธรรมดา แต่ร้องตอนกลางคืนหลังการอ่านเรื่องสยองขวัญจบใหม่ๆ แบบนี้มันวังเวงน่ากลัวเป็นพิเศษ เด็กชายนึกภาพแมวดำตัวเขื่องเกาะบนบ่าของศพภรรยาเจ้าของบ้าน กำลังแสยะแยกเขี้ยวร้องพร้อมดวงตาแดงจ้าราวมีไฟนรกลุกโชนอยู่หลังผนังปูนอันเย็นยะเยือก มืดมนและอบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย
เขาหันไปมองหน้าต่างซึ่งเป็นกรอบสี่เหลี่ยมดำมืดบนผนัง ด้านนั้นของตัวบ้านไม่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงเพราะเป็นพื้นที่รกร้าง เต็มไปด้วยผืนหญ้า ไม้พุ่มและต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายเรียงรายไกลออกไปสู่เทือกสวนไร่นา ชาวบ้านเคยลือว่าเคยเห็นงูเหลือมขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ทำให้ไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
เสียงแมวดังแว่วมาอีก เขาจับทิศทางไม่ได้ว่าดังมาจากไหน บางทีอาจเป็นจากป่ารกร้างนั่น หรือไม่ก็เป็นใต้ชายคาบ้าน หรืออาจจะเป็นข้างบ้าน
หรือบางทีอาจจะดังมาจากในผนัง !
คิดอะไรบ้าๆ...เด็กชายอยากลุกขึ้นเตะก้นตัวเองสักป๊าบ แมวบ้าอะไรจะมาร้องในผนังบ้านหนาทึบแบบนี้ นึกแล้วอยากจะฝืนหัวเราะปลอบใจตัวเอง แต่จนใจว่าไม่มีปัญญาขำ เขาบอกกับตัวเองว่าไม่น่าอ่านเรื่องน่ากลัวก่อนนอนเลย มันเป็นความผิดของพ่อกับแม่ที่ชอบซื้อหนังสือประเภทนี้เข้าบ้าน
แสงไฟบนเพดานดูหม่นมัวชอบกล อะไรก็ดูวังเวงน่ากลัวอย่างน่าแปลก หรือจะเป็นเพราะอาถรรพ์ของเรื่องสยองขวัญในหนังสือ ถึงจะอ่านจบไปแล้วแต่เรื่องแมวดำเหมือนจะตอกตรึงอยู่ในหัวแนบแน่นอย่างสลัดไม่หลุด ฉากและเหตุการณ์ในเรื่องราวกับเป็นภาพยนตร์มาฉายอยู่ในห้วงความคิดวนเวียนไปมาไม่รู้จบ
เสียงร้องของแมวดังมาอีกแล้ว
คราวนี้เหมือนดังใกล้เข้ามากว่าทุกครั้ง แต่ยังจับทิศทางไม่ได้อยู่ดี เด็กชายรู้ว่าแถวนี้ไม่มีบ้านไหนเลี้ยงแมว และปกติก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงแมวมาร้องให้ได้ยินบ่อยครั้งนัก ไม่แน่....บางทีมันอาจซ่อนอยู่ใต้เตียงก็เป็นได้
จะบ้ากันใหญ่ แมวที่ไหนจะมาซ่อนอยู่ใต้เตียง มันเป็นไปไม่ได้และไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิด
นอกจากว่าจะเป็นแมวผี!
พอคิดแบบนั้นทำให้หัวใจเต้นรัว แมวผีซึ่งเป็นวิญญาณอาฆาตเร่ร่อนวนเวียนหลอกหลอนผู้คนโดยไร้เหตุผล มันเดินทางออกมาจากนรก โผล่ขึ้นมาจากหลุมศพอันอุดอู้ในยามราตรีเยือกเย็นวังเวง หรือไม่ก็เป็นแมวผีซึ่งหลุดออกจากผนังเกรอะกรังคราบเลือด!
ผนังซึ่งมีศพซ่อนอยู่ พร้อมขวานเล่มใหญ่จามติดแน่นคาศีรษะยับเยิน ไม่รู้ว่าความคิดบ้าๆมันทะลึ่งเข้ามาอยู่ในสมองได้อย่างไร นี่มันบ้านของเขา ไม่ใช่นิยายสยองขวัญ จะมีศพมาซ่อนได้อย่างไร คิดบ้าคิดบอไปไกลสุดกู่แล้ว
นอกจากว่าจะมีการฆาตกรรม!
เด็กชายนอนไม่ติด เขาลุกขึ้น รู้สึกคอแห้งผาก ถ้าได้น้ำเย็นฉ่ำสักแก้วคงจะดีไม่น้อย แต่ตู้เย็นอยู่ชั้นล่าง ทว่าอะไรๆก็ดูวังเวงน่ากลัว และยิ่งนึกว่าพ่อแม่ยังไม่กลับบ้าน ยิ่งทำให้รู้สึกอ้างว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าเดินลงไปแล้วเกิดมีใครบางคนดักรออยู่พร้อมด้วยขวานเล่มโต คงวิ่งหนีไม่ทัน หรือไม่ก็เป็นซากศพเน่าเปื่อยตะกุยตะกายไขว่คว้าโผล่ออกมาจากผนัง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
เขาเปลี่ยนใจ ยอมทนกระหายจนกว่าพ่อแม่จะกลับมาดีกว่า ความหวาดกลัวไร้สภาพมันก่อตัวเติบโตขึ้นมาอย่างช้าๆ ฝังรากเง้าแห่งความประหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วเส้นประสาทและไขสันหลัง
ใต้เตียง......มันต้องไม่มีแมว แต่จะให้แน่ใจต้องก้มลงไปดู ใต้เตียงซึ่งเป็นที่อยู่ของความมืด เป็นมุมอับน่ากลัวเต็มไปด้วยความไม่รู้ มันก็แค่ก้มลงไปมองเท่านั้น เรื่องที่จะทำไม่ยากอะไรเลย ต้องดูให้รู้แน่
เขาค่อยๆชะโงกหน้าก้มต่ำลงไปมองด้วยใจระทึกทั้งที่ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นอะไร แต่บางทีความรู้สึกคนเรามันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เพราะยิ่งก้มลงไปมากเท่าไรขนยิ่งลุกเกรียวไปทั่วร่าง ไล่เป็นละลอกจนเห่อชาหนาไปทั้งตัว
เงาดำทะมึนอยู่ใต้เตียง
เด็กชายตาเบิกโพลง แทบหลุดปากร้องออกมาดังๆ หัวใจเหมือนกระเด็นออกจากร่าง แทบจะนึกถึงแมวดำตาลุกเป็นไฟกระโจนเข้ามาใส่หน้า หรือไม่ก็ซากศพตาเหลือกถลนปากอ้าแสยะกำลังยื่นมือออกมากระชากตัวเขาให้หายไปไต้เตียง ถ้าไม่เป็นเพราะความทรงจำบางอย่างวิ่งเข้ามาช่วยสติไม่ให้แตกแบบเฉียดฉิว
มันกล่องกระดาษเก่าๆ สำหรับใส่ของเล่นที่เบื่อแล้วซ่อนไว้ใต้เตียงเท่านั้น ไม่ใช่ภูตผีปีศาจอะไรสักนิด
เราท่าจะประสาทกิน....คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ เด็กชายนึกอยากหัวเราะให้กับตัวเอง แต่หัวเราะไม่ออกเพราะยังมีจุดน่าสงสัย ผนังคอนกรีต..กำแพงที่อาจซ่อนศพใครบางคนเอาไว้ บ้านหลังนี้พ่อแม่ซื้อต่อมาจากคนอื่น มันก็อาจเป็นไปได้ว่ามีศพฝังซ่อนอยู่ข้างในรอการทลายผนังปลดปล่อยวิญญาณให้ไปผุดไปเกิด
เหงื่อไหลชุ่มโชกอีกแล้ว เขาลุกพรวดพรวดก่อนสูดลมหายใจยาวๆ พยายามประคองสติให้มั่นคง ทำไมต้องนึกนั่นคิดนี่ เรื่องดีๆ ไม่คิด มาคิดเรื่องประสาทเสียแบบนี้ หรือเป็นอาถรรพ์จากนิยายของเอดการ์ อลัน โพ กันแน่
มันไม่มีอะไรก็แล้วไป แต่ถ้ามีอะไรอยู่หลังผนังล่ะ เช่นซากศพกำลังจ้องมองเขาผ่านเบ้าตากลวงมืดดำทะลุผนังออกมา แอบดูความเคลื่อนไหวของเขาอย่างเงียบเชียบมาช้านาน เพื่อรอคอยโอกาสวันเวลาด้วยจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่าง มันคงน่าขนลุกขนพองสยองเกล้าและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในการถูกจับจ้องเฝ้ามองด้วยสายตาของคนตาย
เด็กชายกัดริมฝีปาก พยายามระงับความสงสัยและเลิกความคิดบ้าบอ แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ภาพซากศพแห้งกรังแทบจะลอยปรากฏให้เห็นออกมาจากผนัง เขาต้องเอาค้อนมาทลายกำแพงดูให้รู้แน่ว่าไม่มีอะไรจริงๆ จึงจะนอนหลับหรืออย่างไร
เสียงร้องของแมวดังอีกครั้ง คราวนี้ถนัดชัดเจนเหลือเกิน มันดังไม่ไกลเลย
ไม่..มันจะต้องไม่ดังออกมาจากผนัง แค่ชะโงกมองลงไปจากหน้าต่าง บางทีอาจจะเห็นแมวต้นเหตุเดินอยู่ข้างล่าง มันก็แค่แมวธรรมดา แต่พอนึกต่ออีกว่าขณะเดินไปยังหน้าต่าง ถ้าจู่ๆ ภาพผู้หญิงหน้าซีดผมยาวศีรษะแบะเลือดโชกจากรอยขวานโผล่พรวดขึ้นมาจะทำอย่างไร ตอนนี้อยู่คนเดียวใครจะช่วยได้
เขากระโจนขึ้นเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมโปง ขดตัวเป็นแมวนอนหวด ไม่ต้องรู้ต้องเห็นอะไรทั้งนั้น จะร้อนก็ทนเอาหน่อย รอให้พ่อแม่กลับมาทุกอย่างคงดีขึ้น ถ้าไม่ไหวค่อยไปขอนอนห้องพ่อแม่ก็ได้
การอยู่คนเดียวในค่ำคืนอันอ้างว้างมันเป็นสิ่งเลวร้ายเหลือเกิน ยิ่งเผลออ่านเรื่องน่ากลัวยิ่งตอกย้ำให้เลวร้ายหนักลงไปอีก เขาสาบานว่าต่อไปนี้จะไม่แตะต้องนิยายสยองขวัญก่อนนอนเด็ดขาด มันทำให้ฝันร้ายทั้งที่ยังลืมตา อย่างเช่นตอนนี้ เขาต้องมานอนคลุมโปงทั้งที่อากาศคืนนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่สมมุติว่ามีใครบางคนกำลังอยู่ในห้องนี้ล่ะ เพราะการนอนคลุมโปงแบบนี้จึงทำให้มองไม่เห็นผู้หญิงหน้าซีดผมยาวเลือดท่วมตัวกำลังยืนอยู่ข้างเตียงอย่างสงบเงียบ รอให้เปิดผ้าห่มออกมาประจันหน้า แบบนั้นคงได้ชักดิ้นชักงอกันตายคาเตียง ยิ่งนึกยิ่งขนลุก อาการใกล้บ้าเป็นแบบนี้เอง
เด็กชายพรวดพราดลุกจากเตียง ร้องสุดเสียงเหวี่ยงหลับหูหลับตาเหวี่ยงผ้าห่มไปมาเหมือนคนสติแตก
“มาสิโว้ย ไอ้ผีบ้า!”
เขากระโดดเตะต่อยอากาศไปมาจนเหนื่อย เอาความบ้าดีเดือดมาข่มความหวาดกลัว ผีจะหลอกคนบ้าได้ก็ให้มันรู้ไป.. จนรู้สึกเหนื่อยเหงื่อท่วมตัวจึงนั่งลงหอบข้างเตียง ได้บ้าไปยกหนึ่งรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
ใจยังไม่ทันหายสั่นเสียงแมวก็ร้องให้ได้ยินอีก คราวนี้จับทิศทางได้แล้ว เสียงร้องไม่ได้มาจากผนัง แต่ดังอยู่ในบ้านนี่เอง และสิ่งน่าขนหัวลุกที่สุดคือเสียงฝีเท้าเดินเป็นจังหวะขึ้นมาบนชั้นบนพร้อมกับเสียงร้องของแมวดังเป็นระยะ
ภาพนรกปรากฏขึ้นในหัวทันที ผู้หญิงตาเหลือกค้างศีรษะท่วมเลือดกำลังเดินถือขวานเล่มโตเดินลากเท้าขึ้นมา โดยมีแมวดำเกาะบ่ามาด้วย อาถรรพ์ของเรื่องแมวดำกำลังจะกลายเป็นจริง ถ้าเลือกอ่านเรื่องกระต่ายกับเต่า ป่านนี้คงนอนหลับฝันเห็นเจ้าเต่าน่ารักต้วมเตี้ยมไปมามุ่งหน้าสู่เส้นชัยโดยมีเจ้ากระต่ายหน้าตาตื่นไล่กวดมาห่างๆ
เสียงร้องของแมวอยู่หน้าประตูนี่เอง พร้อมกับเสียงเคาะประตูแรงๆ
เด็กชายแหกปากร้องสุดเสียง ผมเผ้าตั้งชันจนรู้สึกว่าหัวตัวเองขยายขึ้นหลายเท่า แต่ก่อนขวัญจะกระเจิดกระเจิงไปจนกู่ไม่กลับ ในหูได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคย
“โต้ง ลูกเป็นอะไรไป นี่แม่เอง เปิดประตูที”
ความรู้สึกพลิกผันวูบกะทันหัน แม่มาแล้ว....ไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่ไหน เขาแทบหัวเราะออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ฝันร้ายหยุดลงแล้ว ในที่สุดแม่ก็กลับมา แต่อาการดีใจยังไม่ขึ้นเต็มพิกัดก็ต้องชะงักค้างทางอารมณ์เมื่อเปิดประตูออกไป
แม่ไม่ได้มามือเปล่า มีแมวตัวหนึ่งติดตัวมาด้วย มันยังโตไม่เต็มที่ และที่สำคัญมันเป็นแมวดำ เขาจ้องมองอย่างมึนงงปนไม่ไว้ใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“แม่เอาแมวมาทำไมครับ..”
แม่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ลูบหัวเจ้าแมวดำในอ้อมแขนไปมาอย่างเอ็นดู ซึ่งได้รับการตอบสนองโดยการร้องเมี้ยวอย่างแสนประจบตามประสาแมว
“แม่เห็นมันเดินวนเวียนอยู่ข้างบ้าน สงสัยหลงมาจากที่อื่นลูกจะเลี้ยงมันเป็นเพื่อนก็ได้นะ”
“แต่มันเป็นแมวดำนะแม่”
.................
แมวดำ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากเรื่องสั้น ชื่อ The black cat ของ Edgar Allan Poe
ซึ่งเป็นนักเขียนแนว สยองขวัญ และสืบสวน ที่ข้าพเจ้าชื่นชม มากที่สุด
Poe มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1809 - 1849
เขาเป็นคนแรกที่บุกเบิก เรื่องสั้น แนวสยองขวัญ อย่างแท้จริง ในความรู้สึกของข้าพเจ้า
(ลองดูช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่).....คิดเป็น พ.ศ. ก็ 2452 - 2492
(ดูปีเกิด - ปีเสียชีวิต ก็ชวนขนลุกแล้ว)
งานของเขาลุ่มลึก เล่นกับอารมณ์ของคนอ่านและตัวละครอย่างไม่น่าเชื่อ
อันเป็นผลมาจากชีวิตส่วนตัว ที่ย่ำแย่ ของเขา
แต่เขาก็เปลี่ยนวิกฤติ เป็นโอกาส โดยถ่ายทอดความเจ็บปวดในชีวิต ออกมาเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดเรื่องสยองขวัญ
จนเป็นตำนาน มากระทั่งทุกวันนี้
=========
แมวดำ
=========
Psycho G.
เด็กชายปิดหนังสือลงก่อนเอนลงหลังบนเตียงด้วยหัวใจซึ่งเต้นไม่ค่อยปกตินัก เพราะหนังสือเล่มนั้นเป็นงานเขย่าขวัญคลาสสิกของเอดการ์ อลันโพ เรื่องซึ่งเพิ่งอ่านจบลงไปคือเรื่อง “แมวดำ” บรรยากาศหลอนน่าสะพรึงกลัวแทบทั้งเรื่อง ฉากสุดท้ายของเรื่องเป็นการเปิดเผยความลับของศพถูกฝังในผนังห้องพร้อมแมวดำซึ่งมีที่มาเร้นลับและนำมาซึ่งความหายนะ แต่ฉากอันน่าขนลุกของเด็กชายเพิ่งเริ่มต้น เมื่อเขาได้ยินเสียงแมวร้องดังแว่วมาแต่ไกล
ความจริงมันก็เป็นเสียงแมวธรรมดา แต่ร้องตอนกลางคืนหลังการอ่านเรื่องสยองขวัญจบใหม่ๆ แบบนี้มันวังเวงน่ากลัวเป็นพิเศษ เด็กชายนึกภาพแมวดำตัวเขื่องเกาะบนบ่าของศพภรรยาเจ้าของบ้าน กำลังแสยะแยกเขี้ยวร้องพร้อมดวงตาแดงจ้าราวมีไฟนรกลุกโชนอยู่หลังผนังปูนอันเย็นยะเยือก มืดมนและอบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย
เขาหันไปมองหน้าต่างซึ่งเป็นกรอบสี่เหลี่ยมดำมืดบนผนัง ด้านนั้นของตัวบ้านไม่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงเพราะเป็นพื้นที่รกร้าง เต็มไปด้วยผืนหญ้า ไม้พุ่มและต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายเรียงรายไกลออกไปสู่เทือกสวนไร่นา ชาวบ้านเคยลือว่าเคยเห็นงูเหลือมขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ทำให้ไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
เสียงแมวดังแว่วมาอีก เขาจับทิศทางไม่ได้ว่าดังมาจากไหน บางทีอาจเป็นจากป่ารกร้างนั่น หรือไม่ก็เป็นใต้ชายคาบ้าน หรืออาจจะเป็นข้างบ้าน
หรือบางทีอาจจะดังมาจากในผนัง !
คิดอะไรบ้าๆ...เด็กชายอยากลุกขึ้นเตะก้นตัวเองสักป๊าบ แมวบ้าอะไรจะมาร้องในผนังบ้านหนาทึบแบบนี้ นึกแล้วอยากจะฝืนหัวเราะปลอบใจตัวเอง แต่จนใจว่าไม่มีปัญญาขำ เขาบอกกับตัวเองว่าไม่น่าอ่านเรื่องน่ากลัวก่อนนอนเลย มันเป็นความผิดของพ่อกับแม่ที่ชอบซื้อหนังสือประเภทนี้เข้าบ้าน
แสงไฟบนเพดานดูหม่นมัวชอบกล อะไรก็ดูวังเวงน่ากลัวอย่างน่าแปลก หรือจะเป็นเพราะอาถรรพ์ของเรื่องสยองขวัญในหนังสือ ถึงจะอ่านจบไปแล้วแต่เรื่องแมวดำเหมือนจะตอกตรึงอยู่ในหัวแนบแน่นอย่างสลัดไม่หลุด ฉากและเหตุการณ์ในเรื่องราวกับเป็นภาพยนตร์มาฉายอยู่ในห้วงความคิดวนเวียนไปมาไม่รู้จบ
เสียงร้องของแมวดังมาอีกแล้ว
คราวนี้เหมือนดังใกล้เข้ามากว่าทุกครั้ง แต่ยังจับทิศทางไม่ได้อยู่ดี เด็กชายรู้ว่าแถวนี้ไม่มีบ้านไหนเลี้ยงแมว และปกติก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงแมวมาร้องให้ได้ยินบ่อยครั้งนัก ไม่แน่....บางทีมันอาจซ่อนอยู่ใต้เตียงก็เป็นได้
จะบ้ากันใหญ่ แมวที่ไหนจะมาซ่อนอยู่ใต้เตียง มันเป็นไปไม่ได้และไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิด
นอกจากว่าจะเป็นแมวผี!
พอคิดแบบนั้นทำให้หัวใจเต้นรัว แมวผีซึ่งเป็นวิญญาณอาฆาตเร่ร่อนวนเวียนหลอกหลอนผู้คนโดยไร้เหตุผล มันเดินทางออกมาจากนรก โผล่ขึ้นมาจากหลุมศพอันอุดอู้ในยามราตรีเยือกเย็นวังเวง หรือไม่ก็เป็นแมวผีซึ่งหลุดออกจากผนังเกรอะกรังคราบเลือด!
ผนังซึ่งมีศพซ่อนอยู่ พร้อมขวานเล่มใหญ่จามติดแน่นคาศีรษะยับเยิน ไม่รู้ว่าความคิดบ้าๆมันทะลึ่งเข้ามาอยู่ในสมองได้อย่างไร นี่มันบ้านของเขา ไม่ใช่นิยายสยองขวัญ จะมีศพมาซ่อนได้อย่างไร คิดบ้าคิดบอไปไกลสุดกู่แล้ว
นอกจากว่าจะมีการฆาตกรรม!
เด็กชายนอนไม่ติด เขาลุกขึ้น รู้สึกคอแห้งผาก ถ้าได้น้ำเย็นฉ่ำสักแก้วคงจะดีไม่น้อย แต่ตู้เย็นอยู่ชั้นล่าง ทว่าอะไรๆก็ดูวังเวงน่ากลัว และยิ่งนึกว่าพ่อแม่ยังไม่กลับบ้าน ยิ่งทำให้รู้สึกอ้างว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าเดินลงไปแล้วเกิดมีใครบางคนดักรออยู่พร้อมด้วยขวานเล่มโต คงวิ่งหนีไม่ทัน หรือไม่ก็เป็นซากศพเน่าเปื่อยตะกุยตะกายไขว่คว้าโผล่ออกมาจากผนัง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
เขาเปลี่ยนใจ ยอมทนกระหายจนกว่าพ่อแม่จะกลับมาดีกว่า ความหวาดกลัวไร้สภาพมันก่อตัวเติบโตขึ้นมาอย่างช้าๆ ฝังรากเง้าแห่งความประหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วเส้นประสาทและไขสันหลัง
ใต้เตียง......มันต้องไม่มีแมว แต่จะให้แน่ใจต้องก้มลงไปดู ใต้เตียงซึ่งเป็นที่อยู่ของความมืด เป็นมุมอับน่ากลัวเต็มไปด้วยความไม่รู้ มันก็แค่ก้มลงไปมองเท่านั้น เรื่องที่จะทำไม่ยากอะไรเลย ต้องดูให้รู้แน่
เขาค่อยๆชะโงกหน้าก้มต่ำลงไปมองด้วยใจระทึกทั้งที่ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นอะไร แต่บางทีความรู้สึกคนเรามันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เพราะยิ่งก้มลงไปมากเท่าไรขนยิ่งลุกเกรียวไปทั่วร่าง ไล่เป็นละลอกจนเห่อชาหนาไปทั้งตัว
เงาดำทะมึนอยู่ใต้เตียง
เด็กชายตาเบิกโพลง แทบหลุดปากร้องออกมาดังๆ หัวใจเหมือนกระเด็นออกจากร่าง แทบจะนึกถึงแมวดำตาลุกเป็นไฟกระโจนเข้ามาใส่หน้า หรือไม่ก็ซากศพตาเหลือกถลนปากอ้าแสยะกำลังยื่นมือออกมากระชากตัวเขาให้หายไปไต้เตียง ถ้าไม่เป็นเพราะความทรงจำบางอย่างวิ่งเข้ามาช่วยสติไม่ให้แตกแบบเฉียดฉิว
มันกล่องกระดาษเก่าๆ สำหรับใส่ของเล่นที่เบื่อแล้วซ่อนไว้ใต้เตียงเท่านั้น ไม่ใช่ภูตผีปีศาจอะไรสักนิด
เราท่าจะประสาทกิน....คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ เด็กชายนึกอยากหัวเราะให้กับตัวเอง แต่หัวเราะไม่ออกเพราะยังมีจุดน่าสงสัย ผนังคอนกรีต..กำแพงที่อาจซ่อนศพใครบางคนเอาไว้ บ้านหลังนี้พ่อแม่ซื้อต่อมาจากคนอื่น มันก็อาจเป็นไปได้ว่ามีศพฝังซ่อนอยู่ข้างในรอการทลายผนังปลดปล่อยวิญญาณให้ไปผุดไปเกิด
เหงื่อไหลชุ่มโชกอีกแล้ว เขาลุกพรวดพรวดก่อนสูดลมหายใจยาวๆ พยายามประคองสติให้มั่นคง ทำไมต้องนึกนั่นคิดนี่ เรื่องดีๆ ไม่คิด มาคิดเรื่องประสาทเสียแบบนี้ หรือเป็นอาถรรพ์จากนิยายของเอดการ์ อลัน โพ กันแน่
มันไม่มีอะไรก็แล้วไป แต่ถ้ามีอะไรอยู่หลังผนังล่ะ เช่นซากศพกำลังจ้องมองเขาผ่านเบ้าตากลวงมืดดำทะลุผนังออกมา แอบดูความเคลื่อนไหวของเขาอย่างเงียบเชียบมาช้านาน เพื่อรอคอยโอกาสวันเวลาด้วยจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่าง มันคงน่าขนลุกขนพองสยองเกล้าและน่าสะพรึงกลัวที่สุดในการถูกจับจ้องเฝ้ามองด้วยสายตาของคนตาย
เด็กชายกัดริมฝีปาก พยายามระงับความสงสัยและเลิกความคิดบ้าบอ แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ภาพซากศพแห้งกรังแทบจะลอยปรากฏให้เห็นออกมาจากผนัง เขาต้องเอาค้อนมาทลายกำแพงดูให้รู้แน่ว่าไม่มีอะไรจริงๆ จึงจะนอนหลับหรืออย่างไร
เสียงร้องของแมวดังอีกครั้ง คราวนี้ถนัดชัดเจนเหลือเกิน มันดังไม่ไกลเลย
ไม่..มันจะต้องไม่ดังออกมาจากผนัง แค่ชะโงกมองลงไปจากหน้าต่าง บางทีอาจจะเห็นแมวต้นเหตุเดินอยู่ข้างล่าง มันก็แค่แมวธรรมดา แต่พอนึกต่ออีกว่าขณะเดินไปยังหน้าต่าง ถ้าจู่ๆ ภาพผู้หญิงหน้าซีดผมยาวศีรษะแบะเลือดโชกจากรอยขวานโผล่พรวดขึ้นมาจะทำอย่างไร ตอนนี้อยู่คนเดียวใครจะช่วยได้
เขากระโจนขึ้นเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมโปง ขดตัวเป็นแมวนอนหวด ไม่ต้องรู้ต้องเห็นอะไรทั้งนั้น จะร้อนก็ทนเอาหน่อย รอให้พ่อแม่กลับมาทุกอย่างคงดีขึ้น ถ้าไม่ไหวค่อยไปขอนอนห้องพ่อแม่ก็ได้
การอยู่คนเดียวในค่ำคืนอันอ้างว้างมันเป็นสิ่งเลวร้ายเหลือเกิน ยิ่งเผลออ่านเรื่องน่ากลัวยิ่งตอกย้ำให้เลวร้ายหนักลงไปอีก เขาสาบานว่าต่อไปนี้จะไม่แตะต้องนิยายสยองขวัญก่อนนอนเด็ดขาด มันทำให้ฝันร้ายทั้งที่ยังลืมตา อย่างเช่นตอนนี้ เขาต้องมานอนคลุมโปงทั้งที่อากาศคืนนี้ค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่สมมุติว่ามีใครบางคนกำลังอยู่ในห้องนี้ล่ะ เพราะการนอนคลุมโปงแบบนี้จึงทำให้มองไม่เห็นผู้หญิงหน้าซีดผมยาวเลือดท่วมตัวกำลังยืนอยู่ข้างเตียงอย่างสงบเงียบ รอให้เปิดผ้าห่มออกมาประจันหน้า แบบนั้นคงได้ชักดิ้นชักงอกันตายคาเตียง ยิ่งนึกยิ่งขนลุก อาการใกล้บ้าเป็นแบบนี้เอง
เด็กชายพรวดพราดลุกจากเตียง ร้องสุดเสียงเหวี่ยงหลับหูหลับตาเหวี่ยงผ้าห่มไปมาเหมือนคนสติแตก
“มาสิโว้ย ไอ้ผีบ้า!”
เขากระโดดเตะต่อยอากาศไปมาจนเหนื่อย เอาความบ้าดีเดือดมาข่มความหวาดกลัว ผีจะหลอกคนบ้าได้ก็ให้มันรู้ไป.. จนรู้สึกเหนื่อยเหงื่อท่วมตัวจึงนั่งลงหอบข้างเตียง ได้บ้าไปยกหนึ่งรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
ใจยังไม่ทันหายสั่นเสียงแมวก็ร้องให้ได้ยินอีก คราวนี้จับทิศทางได้แล้ว เสียงร้องไม่ได้มาจากผนัง แต่ดังอยู่ในบ้านนี่เอง และสิ่งน่าขนหัวลุกที่สุดคือเสียงฝีเท้าเดินเป็นจังหวะขึ้นมาบนชั้นบนพร้อมกับเสียงร้องของแมวดังเป็นระยะ
ภาพนรกปรากฏขึ้นในหัวทันที ผู้หญิงตาเหลือกค้างศีรษะท่วมเลือดกำลังเดินถือขวานเล่มโตเดินลากเท้าขึ้นมา โดยมีแมวดำเกาะบ่ามาด้วย อาถรรพ์ของเรื่องแมวดำกำลังจะกลายเป็นจริง ถ้าเลือกอ่านเรื่องกระต่ายกับเต่า ป่านนี้คงนอนหลับฝันเห็นเจ้าเต่าน่ารักต้วมเตี้ยมไปมามุ่งหน้าสู่เส้นชัยโดยมีเจ้ากระต่ายหน้าตาตื่นไล่กวดมาห่างๆ
เสียงร้องของแมวอยู่หน้าประตูนี่เอง พร้อมกับเสียงเคาะประตูแรงๆ
เด็กชายแหกปากร้องสุดเสียง ผมเผ้าตั้งชันจนรู้สึกว่าหัวตัวเองขยายขึ้นหลายเท่า แต่ก่อนขวัญจะกระเจิดกระเจิงไปจนกู่ไม่กลับ ในหูได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคย
“โต้ง ลูกเป็นอะไรไป นี่แม่เอง เปิดประตูที”
ความรู้สึกพลิกผันวูบกะทันหัน แม่มาแล้ว....ไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่ไหน เขาแทบหัวเราะออกมาสุดเสียงด้วยความดีใจรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ฝันร้ายหยุดลงแล้ว ในที่สุดแม่ก็กลับมา แต่อาการดีใจยังไม่ขึ้นเต็มพิกัดก็ต้องชะงักค้างทางอารมณ์เมื่อเปิดประตูออกไป
แม่ไม่ได้มามือเปล่า มีแมวตัวหนึ่งติดตัวมาด้วย มันยังโตไม่เต็มที่ และที่สำคัญมันเป็นแมวดำ เขาจ้องมองอย่างมึนงงปนไม่ไว้ใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“แม่เอาแมวมาทำไมครับ..”
แม่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ลูบหัวเจ้าแมวดำในอ้อมแขนไปมาอย่างเอ็นดู ซึ่งได้รับการตอบสนองโดยการร้องเมี้ยวอย่างแสนประจบตามประสาแมว
“แม่เห็นมันเดินวนเวียนอยู่ข้างบ้าน สงสัยหลงมาจากที่อื่นลูกจะเลี้ยงมันเป็นเพื่อนก็ได้นะ”
“แต่มันเป็นแมวดำนะแม่”
.................