Son of Saul - ทางเดินระหว่างทางที่สวยงาม (Spoil)

นี่คือหนังที่ได้รับรางวัล Oscar ปี 2016 สาขา Best Foreign Language Film จากประเทศ Hungary เป็นหนังที่พร็อตเรื่องน่าดูมากๆ และโดยส่วนตัวเราชอบหนังยุโรปอยู่แล้ว ล่าสุดก็เพิ่งประทับใจจาก 45 Years หนังจากประเทศอังกฤษมาหมาดๆ เราเลยรู้สึกอยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ

หลังดูหนังเรื่องนี้จบ บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่หนังสไตล์ที่ผมชอบแน่ๆ หนังเต็มไปด้วยความอึดอัดเกือบทั้งเรื่อง อึดอัดทั้งเนื้อเรื่อง การถ่ายภาพ บรรยากาศ เสียง ทุกๆอย่าง เราพะอืดพะอมอยู่หลายชั่วโมงหลังดูหนังเรื่องนี้จบ

แต่...ผมคิดว่าถ้าคุณเป็นคนชอบดูหนังแล้วละก็ ผมอยากแนะนำให้คุณดู Son of Saul นี่คือหนังที่เต็มไปด้วยความสมจริง ความแปลกใหม่และการสื่อสารบางสิ่งด้วยความตั้งใจอย่างน่ายกย่อง

การถ่ายภาพที่สมจริงสุดๆในหนังเรื่องนี้ แลกมาด้วยการเวียนหัวในการดูและรู้สึกอึดอัดมากๆ ประกอบกับโลเคชั่นในการถ่ายทำที่เป็นสถานที่คับแคบซะส่วนใหญ่และบรรยากาศที่ทึมๆตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เราพะอืดพะอมมากๆ การถือกล้องเดินตามตัวละครถ่ายภาพออกมาในมุมแคบมากๆ ทำให้รู้สึกมึนในการดู แต่กลับได้ความรู้สึกสมจริงและรู้สึกไปตามตัวละครได้ดี

ในพาร์ทของการแสดงเรื่องนี้ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ตัวละครทุกตัวเล่นเป็นธรรมชาติมากๆราวกับว่านี่คือหนังสารคดีที่ใช้ footage จากชีวิตจริงมาเล่าเลย แต่จะมีติดอยู่นิดหนึ่งตรงตัวละครเอก Saul เรารู้สึกอึดอัดกับการแสดงของเค้าในหลายๆฉาก และด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยเกือบตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เราเข้าไม่ถึงความรู้สึกของเค้าในบางฉาก แต่รอยยิ้มในตอนท้ายเรื่องของเค้า ก็ส่งพลังออกมาได้ถึงและเรารับรู้ได้ว่าเค้ามีความสุขแล้ว

นี่คือหนังสงครามที่ผมคิดว่าแตกต่างมากๆเรื่องหนึ่งเลย หนังไม่ได้เน้นเล่าถึงความโหดร้ายของสงครามแบบตรงๆ หนังเลือกที่จะเน้นเล่าเรื่องของตัวละครเล็กๆคนหนึ่งที่อยู่ในสงคราม แต่กลับเล่าเรื่องได้ใหญ่มากๆ ในภาวะเชลยสงคราม Saul ใช้ชีวิตอยู่แบบตายทั้งเป็น เค้าไม่เหลือสิ่งยึดเหนี่ยวหรือเป้าหมายใดๆในชีวิตอีกแล้ว ใบหน้าและแววตาของเค้าบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ตัว Saul ก็คงรู้ดีว่าจุดจบของชีวิตเค้าจะลงเอยอย่างไรในไม่ช้านี้

จนวันหนึ่ง Saul ได้พบศพที่เค้าคิดว่าเป็นลูกชายของเค้า ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่คนดูถกเถียงกันว่า นี่คือศพของลูกชาย Saul จริงๆหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าเราสรุปไม่ได้เลยว่านี่คือลูกชายของ Saul จริงหรือไม่ เพราะเราเห็นฉากที่เค้าพยายามไปหาเอกสารยืนยันตัวตนของเด็ก แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร แต่เราเชื่อว่า Saul มีลูกกับใครบางคนจริงๆ แม้ว่าจะมีตัวละครที่พูดเน้นย้ำกับ Saul ถึง 2 ครั้งว่า Saul ไม่มีลูก แต่เค้าก็บอกไปว่า เค้ามีลูกกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นจริง Saul น่าจะมีลูกจริงๆ แต่เราไม่รู้ว่านี่คือศพลูกของเค้าจริงๆหรือไม่

แต่ผมว่ามันไม่ใช่ประเด็นสำคัญของหนังนะ เพราะสิ่งที่เราสนใจคือ Saul เชื่อว่านี่คือศพของลูกชายเค้าและสิ่งที่เค้าเลือกปฏิบัติต่างหากคือสิ่งที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากกว่า

เรารู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย จากคนที่ใช้ชีวิตแบบตายทั้งเป็น ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงเพราะลมหายใจยังไม่หมดเท่านั้น อยู่ๆชีวิตก็มีจุดหมาย มีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ เราไม่ได้ตั้งคำถามเลยว่า ทำไม Saul ต้องทำถึงขนาดนี้เพียงเพื่อแค่ต้องการทำพิธีศพให้ถูกต้องเท่านั้นเอง ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้มันมีความหมายมากๆนะในทางจิตใจ แม้จะมีคนบอกว่า เค้าเอาคนตายมาทำให้คนที่มีชีวิตอยู่ลำบากนั้น แต่ผมกลับรู้สึกอีกแบบเหมือนกัน หมอที่ช่วยเหลือ Saul นั้น ผมคิดว่าก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างจาก Saul มากนัก เค้าไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตมีความหมายอะไร การได้ช่วยเหลือ Saul อาจจะเป็นการสร้างความหมายขึ้นมาอีกครั้งสำหรับเค้า

ความหวังคืออีกหนึ่งสิ่งที่หนังส่งมาถึงเรา เรารู้สึกมาตลอดตั้งแต่ต้นเรื่องว่ามันยากมากๆที่ Saul จะทำพิธีศพให้ลูกชายได้ตามที่หวัง แต่สิ่งที่ Saul แสดงออกให้เห็นนั้น กลับเต็มไปด้วยความหวัง ความตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จให้ได้ เราลุ้นไปกับเค้าตั้งแต่ต้นจนจบ เอาใจช่วยให้เค้าทำให้ได้ตามที่ตั้งใจ สุดท้ายแม้ว่าผลลัพท์จะไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ แต่เรารู้สึกว่ามันไม่สำคัญอะไรเลย ระหว่างทางที่เราได้พยายามทำตามสิ่งที่ตั้งใจอย่างเต็มที่ต่างหากคือสิ่งที่น่ายกย่องและสำคัญกว่า

ตอนท้ายเรื่อง แม้ว่า Saul จะไม่สามารถทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ สุดท้ายเค้าก็ไม่สามารถจะทำพิธีศพให้ลูกชายเค้าได้ แต่สิ่งที่เค้าได้พยายามทำนั้น มันมีความหมายมากๆ นี่คือพลังที่ทำให้เค้ามีชีวิตมาถึงตอนนี้ เป้าหมายในชีวิต มันไม่ได้สร้างจุดหมายปลายทางที่สวยงาม แต่มันสร้างทางเดินระหว่างทางที่สวยงามเสมอ

ในตอนจบ สายตาของ Saul มองไปเห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง Saul จ้องมองเด็กน้อยคนนั้น เค้ายิ้มอย่างสุขใจ เรารู้สึกว่า นี่คือรอยยิ้มของคนที่พร้อมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนนี้ Saul คงเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่แล้ว แม้ในช่วงชีวิตของเราจะเจอเรื่องเลวร้ายเพียงใดก็ตาม แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เราก็สามารถทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายต่อชีวิตเราได้เช่นกัน

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่