สมรภูมิเดือด ณ เทือกเขาดองแร็ก

อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชาและประเทศไทย เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/



        สายลมบางๆในเดือนเมษา พัดหวีดหวิวหอบเอาความร้อนจากไอแดด เข้าโอบล้อมตัวปราสาทร้างที่ป่าชายแดนไทย-กัมพูชา ปราสาทร้างทรงขอมบายนจตุรมุขกลางป่า ซึ่งยังคงตั้งตระหง่านสู้ฤดูกาลผ่านวันเวลามากว่า 800 ปี
        ต้นไม้น้อยใหญ่ดูเขียวขจีขึ้นล้อมปราสาทหินศิลาแลง สร้างความร่มรื่นวังเวงจิตยิ่งนัก ใบไม้แห้ง และ กิ่งไม้ผุ ยังคงกองสุมเต็มอยู่ในป่ารกชัฏรอบตัวปราสาทแห่งนี้ หากแต่ภายในปราสาทร้างนั้น กลับเต็มไปด้วยบังเกอร์กระสอบทรายและลังไม้สีเขียวทึมกองพะเนินเทินทึก ห่างออกไปบริเวณเนินดินโดยรอบฐานต่ำของตัวปราสาท ถูกขุดเป็นร่องลึกต่อเป็นแนวยาวหากันโดยตลอด กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดพรางสีเขียวและดำ ยังคงวางตัวสงบนิ่งตามแท่งหินที่อยู่รอบปราสาทร้าง สายตาอันแข็งกร้าวยังคงมองกวาดออกไปไกลตามแนวป่ารอบข้างอย่างครุ่นคิด และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ทุกคืนวัน.....



        ปราสาทร้างแห่งนี้ตั้งอยู่ในพิกัดเขตแดนไทย ถูกเรียกว่าปราสาทตาควาย หรือในภาษาเขมรเรียกว่า ปราสาทกรอเบย อยู่บริเวณช่องตาควาย ในเขตบ้านไทยนิยมพัฒนา หมู่ 17 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหินศิลาแลง ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือนธม เดิมทีนั้น ปราสาทแห่งนี้เป็นเพียงปราสาทร้างที่ห่างไกลผู้คน ยากแก่การเข้าถึงได้โดยสะดวก แต่ด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งเรื่องปราสาทหินที่เขาพระวิหาร เป็นเหตุให้ตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาเต็มไปด้วยกองกำลังของทั้งสองฝ่ายประจัญหน้ากัน ซึ่งก่อนหน้านี้ทางฝ่ายกัมพูชาเองนั้นมีความพยายามหลายครั้งหลายครา ที่จะส่งกองกำลังติดอาวุธเข้ามาตรวจปราสาทร้างต่างๆในเขตชายแดนไทย แต่ทางทหารไทยได้ห้ามและปรามการกระทำดังกล่าวด้วยการเจรจาโดยสันติเรื่อยมา แต่แล้ว เช้าของวันที่ 22 เมษายน 2554 ทางพลลาดตระเวนจากกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 926 ตรวจพบร่องสนามเพลาะ และ บังเกอร์คูยิง ซึ่งฝ่ายทหารกัมพูชากำลังสร้างและดัดแปลงภูมิทัศน์บริเวณแนวป่านอกตัวปราสาท อีกทั้งทหารกัมพูชาจงใจเดินลาดตระเวนล้ำเข้ามายังเขตไทยโดยฝ่าฝืนข้อตกลงร่วม ผลจากการเจรจาที่หาสันติไม่ได้ จบลงด้วยกระสุนปืนพุ่งทะลุผ่านร่างอาสาสมัครทหารพรานไทยเสียชีวิตทันทีหนึ่งนาย การปะทะกันในครั้งนั้นกินระยะเวลากว่าหนึ่งวันเต็ม ทางทหารพรานจู่โจมที่ 926 จึงสามารถนำร่างไร้ลมหายใจของสหายศึกออกจากพื้นที่ปะทะได้สำเร็จ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

        จากเหตุปะทะในวันนั้น ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดได้ออกคำสั่งเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์อันล่อแหลม โดยกองร้อยทหารพรานที่ 2606 หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี จากกองทัพภาคที่ 2 ได้รับคำสั่งให้ประจำฐานปฏิบัติการปราสาทตาควาย เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่ใครบางคนอยากให้มันเกิดขึ้น ความตึงเครียดจากสถานการณ์ส่อเค้าเหตุร้ายไปทั่วป่าชายแดน ป่าซึ่งเคยเต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกำลังรบทั้งสองฝ่าย ที่เข้าประชิดชายแดนประจันหน้ากันอยู่ตลอดแนว

        จากเช้าจรดเย็นในวันสิ้นเดือนเมษายน เหตุการณ์ทั่วไปโดยรอบปราสาทตาควายนั้นยังคงเป็นปกติ แต่เค้าลางแห่งสงครามนั้นเริ่มก่อตัวขึ้น พร้อมๆกับความมืดที่เข้าปกคลุมเทือกเขาพนมดงรัก เมื่อพระอาทิตย์นั้นเริ่มอับแสงและลอยต่ำลับทิวไม้ในคืนวันที่ 30 เมษายน คืนส่งท้ายเข้าวันใหม่นี้มันช่างแปลกพิกล บางสิ่งบางอย่างมันดลจิตดลใจให้อาสาสมัครทหารพรานนายหนึ่ง ต้องเพ่งสายตาฝ่าความมืดออกไปเพื่อตรวจหาความเคลื่อนไหวอันผิดปกติยังแนวป่าด้านหน้า และก็เป็นไปอย่างที่คาดคิดเอาไว้ กลุ่มทหารพรานตรวจพบกองกำลังสอดแนมติดอาวุธกว่า 10 นาย จากหน่วยรบพิเศษกัมพูชาได้พยายามลักลอบเข้ามาหาข่าวในพื้นที่ใกล้ฐานกองร้อยทหารพราน ด้วยสัญชาตญาณนักรบเก่าผู้เคยผ่านสมรภูมิ อาสาสมัครทั้งหลายรีบทิ้งตัวหมอบลงยังโคนแท่งหินโดยฉับพลัน ไม่ถึงเพียงอึดใจเดียว ลูกเหล็กขนาดหนึ่งกำมือถูกขว้างลอยฝ่าแนวต้นไม้ตกมายังฐาน ตุบ ! ......บึ้ม !!! แรงระเบิดของ M - 67 อัดเอาเศษดินและกิ่งไม้แห้งลอยกระจายสูงขึ้นไปในอากาศหลายเมตร พร้อมกันที่แสงจากกระสุนส่องวิถีพุ่งออกมาจากแนวป่ากระแทกเข้ากับหินศิลาแลง เสียงแฉลบของหัวกระสุนดัง ฟิ้ว.....!!!

........เอามันเล้ยยยยยย......!!! สิ้นเสียงคำสั่งจากจ่ากองร้อย กลุ่มกระสุน และ ลูกระเบิด ถูกยิงอัดสวนกลับไปยังแหล่งที่มาของระเบิดลูกแรกที่ถูกโยนเข้ามาในทันที เสียงปืน และ ระเบิด ยังคงดังสลับกันหูดับตับไหม้นานกว่า 20 นาที ในขณะเดียวกันที่ทหารฝ่ายข้าศึกจากกองพันป้องกันพรมแดนทางบกที่ 402 ได้ส่งกำลังเสริมนับร้อยนายเข้าสมทบ และทางฝ่ายไทยเอง ด้าน ผบ.หน่วย ฉก.ทพ. 26 กกล. สุรนารี จึงสั่งเสริมกำลังสนับสนุนการรบเช่นกัน การปะทะกันของกำลังรบทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายนาทีจึงค่อยสงบลง ด้วยผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงเจรจาหยุดยิง เสียงสงครามจึงค่อยๆเงียบหายไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นดินปืนที่ยังคงลอยคละคลุ้งเต็มป่า เสียงจากวิทยุสนามของฝ่ายไทยดัง แซด...แซด...แซด ไม่ขาดระยะเพื่อรายงานเหตุปะทะให้หน่วยเหนือทราบ บัดนี้ กำลังรบทั้งสองฝ่ายต่างเข้าประชิดชายแดนพร้อมเต็มอัตรา

        แต่แล้ว เหตุการณ์ที่ทำท่าจะคลี่คลายกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อทหารจากกองพลน้อยทหารราบที่ 42 และกองพันป้องกันพรมแดนทางบกที่ 402 ของกัมพูชากว่า 1,000 นาย ได้เคลื่อนกำลังพลมาเสริมทัพเพื่อเข้าประชิดฐานทหารไทยที่ทางฝั่งปราสาทตาเมือนธมเช่นกัน ระหว่างนั้น ทหารกัมพูชาใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าท้าทายทหารไทยนับร้อยนัด แต่การยั่วยุครั้งนี้ไม่เป็นผล ด้วยทหารไทยยังคงวางกำลังสงบนิ่งในบังเกอร์มิได้ตอบโต้ เพราะถือคำสั่งผู้บัญชาการโดยเคร่งครัด แต่นั่นกลับทำให้กำลังรบฝ่ายกัมพูชาย่ามใจ พยายามรุกด้วยการใช้อาวุธสงครามหนักยิงถล่มฐานทหารไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อยั่วยุให้ไทยตามเกมสงครามอีกครั้ง.....

        เมื่อเห็นว่าฝ่ายกัมพูชามีเจตนาละเมิดข้อตกลง อีกทั้งกัมพูชาเริ่มส่งกำลังเพื่อปิดล้อมฐานอีกครั้ง ข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวคงไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายไทยเป็นแน่แท้ ฝ่ายกำลังรบของไทยซึ่งอยู่ชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่าจึงสวนกลับคืนอย่างหนัก พลปืนกลจาก ร.8พัน2 ซึ่งวางกำลังอยู่ภายในปราสาทหิน อัดกระสุนสงครามเข้าแนวป่าทันทีที่สิ้นคำสั่งลุย แนวกระสุนสีแดงส้มวิ่งตัดกับความมืด พุ่งเข้าแนวรุกของข้าศึกซึ่งยิงสวนกันไปมาตลอดทั้งคืน ต้นไม้น้อยใหญ่ที่เคยขึ้นล้อมตัวปราสาทร้าง พลันแตกกระจายด้วยแรงอัดจากหัวรบ RPG กลิ่นควันปืนยังคงตลบอบอวลปราสาทและแนวป่ารอบฐาน เสียงดังแหวกอากาศของกระสุนปืนใหญ่และอาวุธสงครามหนักนานาชนิด ซึ่งทั้งสองฝ่ายดวลกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังคงดังแว่วได้ยินไปไกลเกือบ 60 กิโลเมตร การปะทะกันรอบที่ 2 นี้ กินระยะเวลานานหลายชั่วโมง สลับกับความเงียบเมื่อคราวหยุดยิงเพื่อเสริมกำลังของแต่ละฝ่าย.....


        เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นเมื่อดวงตะวันกลมแดงเริ่มแผดรัศมีความร้อนไปทั่วป่า แต่ความร้อนจากสงครามแย่งชิงปราสาทร้างนั้นกลับร้อนระอุยิ่งกว่า เมื่อการปะทะกันครั้งนี้ยังคงกินระยะเวลาอย่างต่อเนื่อง แม้ดวงตะวันได้ลอยขึ้นตั้งฉากกับยอดปรางค์ปราสาทแล้วก็ตามที แต่การรบที่ด้านล่างฐานปราสาทยังคงดุเดือดเป็นหลายเท่า ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้ส่งรบพิเศษ 911 เข้าประชิดฐานอีกครั้ง ฝ่ายไทยจึงเสริมกำลังรบจากกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 3 เพื่อมาเสริมกำลังทหารในกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งบาดเจ็บจากสถานการณ์สู้รบ โดยเสริมกำลังจากหน่วยรบพิเศษเคลื่อนที่เร็วจากกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ และกำลังกองพลทหารราบที่ 4 จากกองทัพภาคที่ 3 เบื้องต้นเตรียมพร้อม 1 กองพัน ซึ่งพร้อมรบได้ทันทีเมื่อมีการออกคำสั่ง แต่เย็นของวันนั้นเสียงปืนจากกำลังรบทั้งสองฝ่ายได้เบาบางลงและหยุดปะทะกันในที่สุด จากข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง เมื่อกำลังรบฝ่ายกัมพูชานั้นเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก โดยฝ่ายกัมพูชาได้ขอยอมสงบศึก และถอนกองกำลังทั้งหมดที่ตั้งฐานที่มั่นประจันหน้ากับฝ่ายไทยออกไป โดยรื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ฐานที่ตั้งปืนกล ปืน ค. และสัมภาระทหารออกไปจนหมดสิ้น และจะไม่มีการส่งกองกำลังขึ้นมาบนตัวปราสาทนี้อีก ทิ้งไว้เพียงศพทหารชุดลายพรางที่นอนเกลื่อนกลาดกำลังส่งกลิ่นเน่าคลุ้งป่าอยู่รอบฐานทหารไทย โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าศพเหล่านั้นมิใช่กำลังรบของฝ่ายตนนั้นก็เพื่อปฏิเสธการสูญเสียดังกล่าว แม้การปะทะกันในครั้งนี้ได้สิ้นสุดไปแล้ว แต่กำลังรบฝ่ายไทยยังคงตรึงกำลังอย่างหนาแน่น เพราะเกรงว่าฝ่ายกัมพูชาอาจตระบัตสัตย์อีกครั้ง เนื่องด้วยสถานการณ์ที่เขาพระวิหารมีทีท่าจะบานปลายและอาจลามมายังแนวเขตชายแดนบริเวณนี้อีกก็เป็นได้.....

.....แม้วันเวลาได้ผ่านไปในหลายฤดูกาล ดวงตะวันยังคงขึ้นลงทางทิศเก่า ใบไม้ก็ยังคงหล่นทับถมในป่ารก ปราสาทร้างก็ยังคงเป็นเพียงแท่นหินศิลาแลงเช่นเดิม สิ่งเหล่านี้มีขึ้นตั้งอยู่ตามธรรมชาติของมัน มิได้สนใจในอัตตาของตัวมนุษย์ผู้ทะยานอยากเลยแม้สักคนเดียว.....



บทความนี้ผมเขียนขึ้น โดยรวบรวมบทความวิเคราะห์การรบที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเหตุปะทะดังกล่าวเกิดในช่วงปลายเดือนเมษายน 2554 โดยผมได้รวบรวมและใส่ถ้อยความเพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านเท่านั้น ส่วนในเหตุการณ์จริงจะเป็นเช่นไร คงมีแต่ผู้ที่อยู่ในสมรภูมิเท่านั้นที่รู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ และภาพที่ใช้ก็เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น อาจไม่ตรงตามข้อเท็จจริงเดิมของภาพนั้นๆ อ่านเพื่อศึกษาและความบันเทิงนะครับ ซึ่งว่ากันตามจริงแล้วเราคงเลี่ยงอคติในข้อนี้ยากอยู่พอสมควร คงเป็นเพราะความเป็นชาตินิยมที่ฝั่งลึกของแต่ละประเทศผู้ข้องเกี่ยวนั่นเอง
อนึ่งบทความในตอนท้ายผมได้พยายามสอดแทรกคติธรรมไว้ด้วยนะครับ มีขึ้น ตั้งอยู่ แตกดับ เป็นไปโดยธรรมชาติ อัตตาในตัวมนุษย์ มันสู้กฎข้อนี้ไม่ได้หรอก สหายเอ๋ย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่