............ตามความเชื่อของชาวไทยพุทธ แทบทุกครัวเรือนที่มีลูกชาย มักหวังได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายไปสวรรค์
(ตามความเชื่อว่างั้นเท็จจริงไม่ทราบ) และครอบครัวผมก็เป็นหนึ่งในความเชื่อนั้น
แต่ผมก็บอกแม่กับพ่อตลอดว่า ผมไม่บวชนะ เพราะเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง จะให้ไปอยู่วัด กลัวจะอยู่ไม่ได้
เลยขอครอบครัวไว้ว่า พร้อมเมื่อไหร่ ผมจะบอกเอง
......ผมลากเวลามาเรื่อย ในใจคือคิดว่าคงไม่บวช จนพอเข้าเบญจเพศ ผมที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเบญจเพศอะไรพวกนี้
กลับเจอกับอะไรที่หนักถาโถมใส่ตลอด เริ่มตั้งแต่ ขี่มอเตอร์ไซค์บนถนนสายเอเชีย เที่ยวท่องขึ้นล่องพัทลุง-หาดใหญ่ตลอด เพราะตอนนั้นไปชอบพอกับสาวหาดใหญ่แถว ญ.ว.1 ขี่รถออกจากหาดใหญ่ จะกลับพัทลุง มาถึงปั๊มเชลส์บางกล่ำ เลยแยกที่ต่อมาจากถนนลพบุรีราเมศวร์หน่อยเดียว บิดแค่50 กำลังจะแซงรถ2แถว สีขาว ที่จอดอยู่ข้างทาง ใกล้ปั๊มเชลส์ ผมกำลังจะขับผ่านอยู่แล้ว จู่ๆคนขับเปิดประตูผางออกมาพอดี สุดวิสัยที่ผมจะหลบได้ ผมพยายามเบี่ยงหลบแต่องศามันไม่ได้ ก็เลยวัดกับประตูรถโดยสาร ตัวลอยละลิ่วตีลังกาหัวทิ่มจนนอนกลางถนน ต้องนับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของผม เพราะปกติถนนสายเอเชียช่วงออกจากหาดใหญ่ไปพัทลุง รถใหญ่ๆจะเยอะมาก แต่ช่วงนั้นไม่มีรถตามมา ไม่งั้นสภาพศพผมคงเละแน่ๆ
…..หนแรกผมก็ยังพอคิดว่า แค่อุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวกับเบญจเพศหรอก แต่ในระยะเวลาต่อมาอีก1เดือน ผมขับรถจากหาดใหญ่ ข้ามสะพานตินท์ ขึ้น เกาะยอ ไปทาง อ.สิงหนคร มุ่งไป อ.ระโนด แผลเก่ายังไม่ทันหายดี ผมขับรถตามคู่รักคู่นึงก็บิดผลัดกันตามผลัดกันแซงตลอดทาง จนมาถึง อ.สทิงพระ แถวๆ อบต.กระดังงา รถสิบล้อที่นำหน้า เลี้ยวกะทันหัน ไอ่คู่รักที่บิดนำผมอยู่หลบไม่ทัน ก็เสยท้ายสิบล้อเต็มๆ ผู้หญิงคนซ้อนร่างอวบๆอายุประมาณ16-17 กระเด็นลงมา..กลิ้งกลางถนน ผมที่บิดตามมา ก็หลบไม่ทัน พยายามเบรก แต่ก็สอยร่างน้องเค้าจนกอง กระจกไฟหน้ารถผมแตก ตัวผมเสียหลักหัวทิ่มไปอยู่ที่เกาะกลางถนน
….เหตุการณ์นั้นไม่มีใครตาย แต่ก็ได้เลือดโชกกันทั้ง3คน แผลเป็นยังจารึกอยู่ที่ตัวผมจนวันนี้ ชน2ครั้งใน2เดือน ตั้งแต่ขึ้นเบญจเพศมา มันทำให้ผมนึกถึงคำเตือน ของชายคนนึง ที่ผมเคยปรามาสว่า “หมอเดา” จนผมต้องนั่งทบทวนความจำคำของชายคนนั้น ที่ผมเคยยื่นมือให้ดูเล่นๆเมื่อหลายปีมาแล้วว่า
“อ่อ ลายมือมืงนี่นะ ถ้าถึงเบญจเพศแล้วไม่ได้บวช มีเกณฑ์เจ็บหนักไปเรื่อยๆจนกว่าจะ26 ”
พอผมนึกถึงคำพูดของลุงแกแล้ว ผมก็คิดว่า
“เอ๊ะ หรือลุงแกจะแม่น”
….เลยตัดสินใจไปบอกแม่ ว่าผมขอบวช เพื่อทดแทนบุญคุณและชดใช้กรรม ให้ใครก็แล้วแต่ที่อาจจะตามมาเอาคืน เพราะเชื่อกันว่าช่วงเบญจเพศ เป็นช่วงที่ดวงชะตาคนเราอ่อนแอที่สุด จนสิ่งที่มองไม่เห็นจะตามมาสนองได้
…..แม่ก็ดีใจมาก จัดการพาผมไปหาพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส วัดๆหนึ่ง ท่านก็ดูฤกษ์บวชให้ พร้อมกับให้คำท่องขอบวชมาให้ผมท่องจำ ผมบอกจะขอบวช15วัน ท่านมองๆแล้วก็บอกว่า ให้ผมบวชสัก30วันเถอะ ดวงผมช่วงนี้สึกเร็วก็เจ็บเร็ว
ผมก็แปลกใจมาก เหมือนท่านพระครูจะรู้ว่าเหตุผลนึงที่ผมตัดสินใจมาบวชเพราะอะไร
…..ผมก็เอาคำท่องที่จะใช้ในการบวชมาท่องที่บ้าน พอถึงวันที่ต้องโกนผม ก็ไปโกนที่วัด ใส่ชุดนาค และทำพิธีอะไรบางอย่างผมก็จำได้ไม่หมด รวบลัดคือ ผมก็บวชสำเร็จ กลายเป็นพระใหม่เต็มตัว ผมก็ได้ไปจำวัดวั..ดนึง ที่แถวๆทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นวัดที่มีโบสถ์เก่าน่ากลัว และต้นไม้ขึ้นเป็นดงทึบ สูงชะลูดน่ากลัวมาก
.....ผมไปวันแรก พระที่อยู่ก่อน ก็พาไปอยู่ที่กุฏิ ซึ่งกุฏิที่นี่ จะแยกเดี่ยวอยู่ตามริมวัดด้านบน แต่พอเห็นกุฏิผมแล้ว ผมอยากจะขอสึกแล้วกลับบ้านเลย เพราะกุฏิผม เป็นกุฏิไม้หลังเล็กๆ แค่พอนอน แยกออกมาไกลสุด และที่ให้ความรู้สึก Dark ไปอีกคือ วัดนั้น จะมีโกศใส่กระดูกคนตายขนาดใหญ่ ตั้งไว้เป็นรั้วของวัด เสริมทัพด้วยต้นตะเคียนเงิน-ทองขนาดโคนขาอ่อนเป็นแนวยาว
...แล้วใกล้กุฏิผม ก็มีสิ่งที่กล่าวมาครบครัน กลางวันยังรู้สึกขนลุกเลย ถึงผมจะเป็นพระ แต่ก็เป็นพระใหม่ที่ไร้ประสบการณ์จะทำใจ แม้ผมจะเคยเป็นเด็กวัดมาก่อนตอนสมัยเด็กๆ แต่มันก็นานมากแล้ว และสมัยเป็นเด็กวัด ก็ไม่ต้องมานอนแยกเดี่ยวใกล้โกศกระดูกและต้นตะเคียนแบบนี้ แล้วห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำรวม ถ้าปวดขึ้นมาตอนกลางคืนคือต้องเดินจากกุฏิไปเข้าก็น่ากลัวพอสมควรในตอนกลางคืน เพราะมีแต่โกศกระดูกรายล้อม
“อยู่ได้ไม๊พระ”
....แม่ผมถามมาเมื่อจัดการช่วยปัดกวาดกุฏิที่เหมือนเคยมีร่องรอยคนอยู่มาก่อน แต่คงจะนานมาแล้ว หนังสือมนต์พิธี เทียน ธูป และดอกไม้แห้งๆเต็มหิ้ง ที่ทำเอาผมใจเสียคือ ผ้ายันตร์สีแดงติดรอบทิศทั้งประตูหน้าต่าง
พระที่พามาส่ง ท่านก็แกะออกหมด ท่านว่าพระเราไม่ต้องใช้ยันต์ เราใช้พระรัตนตรัยเป็นเกราะเท่านั้น
แต่ที่มียันต์เต็มไปหมด เพราะพระองค์เก่าที่เคยอยู่กุฏินี้ ท่านเอามาแปะ ท่านเพี้ยนๆ อ้างว่าโดนกวนทั้งคืนเลยเอามาแปะ ซึ่งก็ไม่มีใครอยากยุ่งเพราะถือเป็นสิทธิ์ของท่าน ผมก็คิดตามแหละ อะไรวะที่มากวน
“ผมขอกุฏิอื่นได้ไม๊ครับท่าน”
“ตอนนี้มีกุฏินี้กุฏิเดียวนะที่ใช้นอนได้ อยู่ๆไปก่อนเถอะ”
....พอจัดการเรื่องการเป็นอยู่เสร็จ ครอบครัวผมก็กลับ พระที่มาส่งท่านก็กลับกุฏิตัวเอง ผมก็หว่าเว้เลยครับ
นั่งอยู่ตรงระเบียงด้านหน้ากุฏิ ไม่กล้าเข้ากุฏิ ในใจนึกกลัว มองไปรอบตัว ก็ใกล้จะมืด คิดในใจคนเดียว
“เห้อออออ....จะไหวไม๊เนี่ยอาตมา”
…คนไม่เคยต้องโดดเดี่ยว แถมไม่ได้อยู่วัดในเมือง ต้องมาอยู่วัดที่รายล้อมไปด้วยป่ารอบทิศ
ถ้าตั้งใจจะมาฝึกจิตก็คงจะเหมาะ
แต่ผมแค่มาบวชเพื่อหลบเคราะห์ เลยไม่ได้เตรียมใจมารับกับความกลัว
...ถึงตัวเราจะเป็นพระ แต่ใจเรามันยังไม่ใช่พระไง ยังสำรวมไม่ค่อยได้ ก็เป็นแค่โล้นห่มเหลืองไปก่อน
คือมนตร์คาถาอะไรก็ได้แค่ อะระหังสัมมา กับนโมตัสสะ กับศีล5 เท่านั้นล่ะ
เดินๆก็ยังโหวงๆเพราะไม่ได้ใส่กางเกงใน ก็นั่งมองไปรอบตัวนะ กุฏิอีกหลัง ที่ใกล้กัน ก็ไม่มีใครอยู่
โน่น ถัดไปอีกหลัง ถึงจะมีพระอยู่ แต่ก็มีคนบอกว่า องค์นั้น อีก2วันจะสึกแล้ว
…..แปลว่าอีก2วัน ผมต้องอยู่องค์เดียว โดยมีต้นตะเคียน กับโกศใส่กระดูก เป็นเพื่อนล่ะสิ
ท่านเจ้าอาวาส ท่านก็ส่งคนมาตามแหละ เพราะผมบวชวัดอื่น แต่มาจำพรรษาวัดนี้
ก็ต้องไปทำความรู้จักกันเสียหน่อย
....ท่านก็เรียกไปคุยถามชื่อแซ่ แล้วก็แนะนำวิถีทางของพระต่างๆนาๆ อยู่นานผมก็นั่งฟังอย่างตั้งใจนะ
ท่านก็ว่า เราเป็นพระแล้ว ต้องทำจิตใจให้เหนือกว่าชาวบ้าน ชาวบ้านตักบาตรเพื่อให้เราได้มีแรงปฏิบัติกิจ
สืบทอดพระศาสนา รักษาวัดให้ลูกหลานเค้า เราก็พึงทำให้ดี อย่าได้นั่งกินนอนกิน คิดว่าเป็นพระแล้วสบาย
....ผมก็จำได้ประมาณนี้ จริงๆมีอีกเยอะ ก่อนกลับกุฏิ ท่านก็บอกว่า
“เราเป็นพระใหม่ ตามความเชื่อแล้วเขาว่าบุญแรงนัก เพราะพึ่งผ่านพิธีบวชมา ศีลยังไม่พร่อง กลางค่ำกลางคืนก็อย่าเที่ยวออกมาเดินเล่นนอกกุฏิล่ะ ได้ยินได้เห็นอะไรแปลกๆก็อย่าตกใจ บางทีเขาก็แค่อยากมาลองใจ เอ้า กลับไปจำวัดได้แล้ว ”
....ในใจผมก็คิดแล้วว่า ห๊า!!! อะไรนะ ใครลองใจ ยังไง ดูจากสภาพสิ่งก่อสร้างที่นี่แล้ว มันชวนให้คิดนะ
เดินกลับก็เดินผ่านต้นไม้ใหญ่ๆ เหมือนจะเป็นต้นอะไรสักอย่าง จะโพธิ์ก็ไม่ใช่ จะไทรก็ไม่เชิง แต่มันต้นใหญ่ๆคล้ายต้นโพธิ์ แต่ใบคล้ายใบไทรที่มันขยายใหญ่ ขึ้นอยู่ข้างโบสถ์ ที่มีใบเสมาประจำอยู่4มุม หักๆพังๆ ทั้งมืดทั้งวังเวง แล้ววัดนั้น ลักษณะคือตั้งอยู่บนไหล่เขา แบ่งเป็น3ระดับลดหลั่นลงไป มีบันไดชันๆให้เดินเชื่อมในแต่ละระดับที่ๆผมอยู่ จะเป็นระดับบนสุด ระดับ2 เหมือนจะเป็นวิหารอะไรสักอย่าง และโรงธรรม แล้วก็มีเหมือนศาลเก่าๆอะไรสักอย่าง ปนๆกับต้นตะเคียน ระดับล่างสุดที่มองเห็นไกลๆนั่น เป็นที่ตั้งของเมรุ เห็นแต่ปล่องควันเผาศพโดดเด่นชูขึ้นไปบนฟ้า
โชคดี ที่มีศาลาทำกิจเกี่ยวกับศพตั้งบังด้านหน้าเมรุอยู่ เลยลดความน่ากลัวได้บ้าง แต่อย่ามองจะดีมาก เพราะบรรยากาศแนวๆนี้ ไม่น่ายินดีปรีดาสักเท่าไหร่ แถมระดับล่างสุดที่ตั้งเมรุนั้น มองลงไปในกลางคืนไม่ค่อยโสภานัก
เพราะมันเต็มไปด้วยดงไม้ ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าต้นอะไร แต่มารู้ในวันหลังๆ ว่าดงตะเคียนแทบทั้งนั้น แถมยังมีสุสานของคนจีนตั้งอยู่หลุมนึง ไม่รู้หลงมาจากไหน มองลงไปทีไรตอนกลางคืน เสียวสันหลังวูบๆ
.....ผมเชื่อว่าพระใหม่ทุกองค์ ต้องมีอาการคล้ายๆผมแล่ะ หากไม่มีเด็กวัดอยู่ด้วย พระใหม่จำนวนมากเลยเลือกที่จะลากญาติๆผู้ชายที่เป็นเด็กให้ไปอยู่เป็นเพื่อน แต่ผมก็มั่นใจว่าจะทนได้ล่ะ เลยไม่ขอเอาใครไปลำบากด้วย
เพราะผมเองเคยสัมผัสเรื่องพวกนี้มามาก หากจะเจออีกสักยก จะเป็นไรไป
…..โชคที่ดีวัดนั้นหมาแมวเยอะ เพราะญาติโยมคงจะรักพระ หรือเป็นห่วงพระจะเหงากระมัง เลยเอาหมาแมวมาปล่อยไว้ให้พระเลี้ยงเต็มไปหมด แถมตอนเอามาปล่อย คงจะหน้าบาง ไม่กล้าเอามาให้ถึงลานวัด ก็เที่ยวเอาไปทิ้งไว้ตามมุมวัดที่ไกลๆตาคนบ้าง พระเดินๆบิณฑบาต ร ตอนเช้ามืด ก็สะดุ้งโหยง เพราะลูกหมาโดนเอามาปล่อยทิ้งไว้ข้างป่าของวัด พอเห็นพระก็ดีใจ ว่าจะมีของกิน เพราะมันเคยได้กินจากเจ้าของ พระเดินอุ้มบาตรตามทางลูกรัง มืดๆ ลูกหมากรูออกมาจากข้างทาง พระแทบจะทิ้งบาตรวิ่ง อารามตกใจ (ก็ผมนี่ล่ะ องค์อื่นท่านชินหมด) ร้องลั่นถนน หึ้ยยยยยยยย
จนรูปอื่นๆต้องหยุดหันมามอง (เดินบิณฑบาตตอนเช้ามืด ออกตั้งแต่ตี5ครึ่ง เพื่อเดินไปหมู่บ้านด้านล่างที่ตั้งอยู่ในทะเลน้อย)
....วกกลับมาที่เมื่อผมรับข้อปฏิบัติของพระใหม่จากท่านเจ้าอาวาสแล้ว ผมก็เดินกลับกุฏิ โดยมีฝูงศิษย์เอก4ขาของวัดพากันมาส่ง ก็พอได้คลายความกลัวระหว่างทางไปได้บ้าง ล้างเท้าขึ้นกุฏิ ใจพยายามไม่คิดว่า ข้างกุฏิมีโกศกระดูกตั้งอยู่เป็นแถวนะ มีต้นตะเคียนด้วย ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเอาโกศกระดูกมาตั้งต่างกำแพงวัดด้วยก็ไม่รู้ ต้นไม้อย่างอื่นก็มี ทำไมต้องตะเคียน คิดในใจ สงสัยจะอาศัยให้ช่วยดูแลวัดจากคนไม่ดีละมัง ถ้าสิ่งที่ผมคิดมีจริง
....กุฏิมีหน้าต่างเป็นกระจกทึบๆ เปิดออกไปก็จะเอ๋ กับยอดของโกศกระดูกพอดี ผมเลยจัดการปิดล๊อคอย่างแน่นหนา เสริมด้วยการเอาจีวรไปห้อยบังไว้ นัยว่าตื่นมาก็ขอให้เห็นจีวรเถอะ อย่างน้อยๆถ้าจะมีอะไรแบบที่คิด ก็คงต้องกลัวจีวรบ้างล่ะ อุ่นใจหน่อยนึงว่า ในกุฏิมีหิ้งพระ เขย่งดูก็มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ พร้อมพระเครื่องอีกหลายองค์ ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไร คงเป็นของเจ้าของเก่านั่นล่ะ ก็แค่ปัดฝุ่นออก มีหนังสือธรรมะหลายเล่มวางอยู่ เลยลองหยิบมาลองนอนอ่านไปเรื่อยๆ
..เงียบบบบบบบบบบบบบบบบบบ มาก มีเสียงจิ้งหรีด ดัง จิ๊กๆๆๆๆ ปนมาบ้าง สลับเสียงตุ๊กแก ต๊กโต ต๊กโต
จิ้งจกก็ไม่รู้มาจากไหน โผล่หน้ามสลอน ส่งเสียง แจ๊ะๆๆๆๆ
......ตามความเชื่อของบ้านผม คนบวชใหม่ ต้องตื่นมาตอนดึกๆ จำไม่ได้ว่าตีอะไร แต่ต้องตื่น เพื่อลงไปกรวดน้ำให้ผีเปรต สัมภเวสี และญาติผู้ล่วงลับ ให้มารับส่วนบุญ เป็นเวลา3วัน ก่อนกลับ คนในครอบครัวผมก็กำชับเรื่องนี้มาก
ว่าอย่าลืมลุกมากรวดน้ำแผ่อุทิศส่วนบุญกุศลนะ
....เพื่อนผม มันเคยบวชมาก่อน ก็มาส่งด้วย ก่อนกลับ มันก็หันมาบอกว่า ตอนกรวดน้ำยามดึก อย่าเงยหน้ามองอะไรนะหลวง ให้สำรวมจิตตั้งใจ มองไปที่พื้นตรงที่น้ำหยดอย่างเดียว ผมก็ถามแหละว่าทำไมโยม
.มันก็ว่า มันเป็นความเชื่อต่อๆกันมา ว่า เวลาพระใหม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
บุญพระใหม่ที่ศีลยังไม่ด่างพร้อย จะมีกำลังแรงจนเหล่าสัมภเวสีผีเปรตต่างๆทั้งใกล้และไกลรับรู้ได้ จะพากันแห่มาห้อมล้อมพระรูปนั้น เต็มไปหมดเพื่อรับส่วนบุญ มากบ้างน้อยบ้างก็ตามกำลังกรรม หากพระรูปนั้น เป็นผู้ที่มีสัมผัสที่6มาก่อนบวช ก็แทบจะต้องเขวี้ยงชุดกรวดน้ำ ทิ้งวิ่งเข้ากุฏิ บางรูป จิตทนไม่ไหวใจไม่แข็ง เพราะเห็นเท้าเปรต เห็นร่างวิญญาณมาห้อมล้อม ก็กลายเป็นบ้าเสียสติไป กว่าจะกู้คืนก็นานวัน
.........ต่อที่เม้น2ครับ มันเกิน...
พระใหม่
............ตามความเชื่อของชาวไทยพุทธ แทบทุกครัวเรือนที่มีลูกชาย มักหวังได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายไปสวรรค์
(ตามความเชื่อว่างั้นเท็จจริงไม่ทราบ) และครอบครัวผมก็เป็นหนึ่งในความเชื่อนั้น
แต่ผมก็บอกแม่กับพ่อตลอดว่า ผมไม่บวชนะ เพราะเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง จะให้ไปอยู่วัด กลัวจะอยู่ไม่ได้
เลยขอครอบครัวไว้ว่า พร้อมเมื่อไหร่ ผมจะบอกเอง
......ผมลากเวลามาเรื่อย ในใจคือคิดว่าคงไม่บวช จนพอเข้าเบญจเพศ ผมที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเบญจเพศอะไรพวกนี้
กลับเจอกับอะไรที่หนักถาโถมใส่ตลอด เริ่มตั้งแต่ ขี่มอเตอร์ไซค์บนถนนสายเอเชีย เที่ยวท่องขึ้นล่องพัทลุง-หาดใหญ่ตลอด เพราะตอนนั้นไปชอบพอกับสาวหาดใหญ่แถว ญ.ว.1 ขี่รถออกจากหาดใหญ่ จะกลับพัทลุง มาถึงปั๊มเชลส์บางกล่ำ เลยแยกที่ต่อมาจากถนนลพบุรีราเมศวร์หน่อยเดียว บิดแค่50 กำลังจะแซงรถ2แถว สีขาว ที่จอดอยู่ข้างทาง ใกล้ปั๊มเชลส์ ผมกำลังจะขับผ่านอยู่แล้ว จู่ๆคนขับเปิดประตูผางออกมาพอดี สุดวิสัยที่ผมจะหลบได้ ผมพยายามเบี่ยงหลบแต่องศามันไม่ได้ ก็เลยวัดกับประตูรถโดยสาร ตัวลอยละลิ่วตีลังกาหัวทิ่มจนนอนกลางถนน ต้องนับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของผม เพราะปกติถนนสายเอเชียช่วงออกจากหาดใหญ่ไปพัทลุง รถใหญ่ๆจะเยอะมาก แต่ช่วงนั้นไม่มีรถตามมา ไม่งั้นสภาพศพผมคงเละแน่ๆ
…..หนแรกผมก็ยังพอคิดว่า แค่อุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวกับเบญจเพศหรอก แต่ในระยะเวลาต่อมาอีก1เดือน ผมขับรถจากหาดใหญ่ ข้ามสะพานตินท์ ขึ้น เกาะยอ ไปทาง อ.สิงหนคร มุ่งไป อ.ระโนด แผลเก่ายังไม่ทันหายดี ผมขับรถตามคู่รักคู่นึงก็บิดผลัดกันตามผลัดกันแซงตลอดทาง จนมาถึง อ.สทิงพระ แถวๆ อบต.กระดังงา รถสิบล้อที่นำหน้า เลี้ยวกะทันหัน ไอ่คู่รักที่บิดนำผมอยู่หลบไม่ทัน ก็เสยท้ายสิบล้อเต็มๆ ผู้หญิงคนซ้อนร่างอวบๆอายุประมาณ16-17 กระเด็นลงมา..กลิ้งกลางถนน ผมที่บิดตามมา ก็หลบไม่ทัน พยายามเบรก แต่ก็สอยร่างน้องเค้าจนกอง กระจกไฟหน้ารถผมแตก ตัวผมเสียหลักหัวทิ่มไปอยู่ที่เกาะกลางถนน
….เหตุการณ์นั้นไม่มีใครตาย แต่ก็ได้เลือดโชกกันทั้ง3คน แผลเป็นยังจารึกอยู่ที่ตัวผมจนวันนี้ ชน2ครั้งใน2เดือน ตั้งแต่ขึ้นเบญจเพศมา มันทำให้ผมนึกถึงคำเตือน ของชายคนนึง ที่ผมเคยปรามาสว่า “หมอเดา” จนผมต้องนั่งทบทวนความจำคำของชายคนนั้น ที่ผมเคยยื่นมือให้ดูเล่นๆเมื่อหลายปีมาแล้วว่า
“อ่อ ลายมือมืงนี่นะ ถ้าถึงเบญจเพศแล้วไม่ได้บวช มีเกณฑ์เจ็บหนักไปเรื่อยๆจนกว่าจะ26 ”
พอผมนึกถึงคำพูดของลุงแกแล้ว ผมก็คิดว่า
“เอ๊ะ หรือลุงแกจะแม่น”
….เลยตัดสินใจไปบอกแม่ ว่าผมขอบวช เพื่อทดแทนบุญคุณและชดใช้กรรม ให้ใครก็แล้วแต่ที่อาจจะตามมาเอาคืน เพราะเชื่อกันว่าช่วงเบญจเพศ เป็นช่วงที่ดวงชะตาคนเราอ่อนแอที่สุด จนสิ่งที่มองไม่เห็นจะตามมาสนองได้
…..แม่ก็ดีใจมาก จัดการพาผมไปหาพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส วัดๆหนึ่ง ท่านก็ดูฤกษ์บวชให้ พร้อมกับให้คำท่องขอบวชมาให้ผมท่องจำ ผมบอกจะขอบวช15วัน ท่านมองๆแล้วก็บอกว่า ให้ผมบวชสัก30วันเถอะ ดวงผมช่วงนี้สึกเร็วก็เจ็บเร็ว
ผมก็แปลกใจมาก เหมือนท่านพระครูจะรู้ว่าเหตุผลนึงที่ผมตัดสินใจมาบวชเพราะอะไร
…..ผมก็เอาคำท่องที่จะใช้ในการบวชมาท่องที่บ้าน พอถึงวันที่ต้องโกนผม ก็ไปโกนที่วัด ใส่ชุดนาค และทำพิธีอะไรบางอย่างผมก็จำได้ไม่หมด รวบลัดคือ ผมก็บวชสำเร็จ กลายเป็นพระใหม่เต็มตัว ผมก็ได้ไปจำวัดวั..ดนึง ที่แถวๆทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นวัดที่มีโบสถ์เก่าน่ากลัว และต้นไม้ขึ้นเป็นดงทึบ สูงชะลูดน่ากลัวมาก
.....ผมไปวันแรก พระที่อยู่ก่อน ก็พาไปอยู่ที่กุฏิ ซึ่งกุฏิที่นี่ จะแยกเดี่ยวอยู่ตามริมวัดด้านบน แต่พอเห็นกุฏิผมแล้ว ผมอยากจะขอสึกแล้วกลับบ้านเลย เพราะกุฏิผม เป็นกุฏิไม้หลังเล็กๆ แค่พอนอน แยกออกมาไกลสุด และที่ให้ความรู้สึก Dark ไปอีกคือ วัดนั้น จะมีโกศใส่กระดูกคนตายขนาดใหญ่ ตั้งไว้เป็นรั้วของวัด เสริมทัพด้วยต้นตะเคียนเงิน-ทองขนาดโคนขาอ่อนเป็นแนวยาว
...แล้วใกล้กุฏิผม ก็มีสิ่งที่กล่าวมาครบครัน กลางวันยังรู้สึกขนลุกเลย ถึงผมจะเป็นพระ แต่ก็เป็นพระใหม่ที่ไร้ประสบการณ์จะทำใจ แม้ผมจะเคยเป็นเด็กวัดมาก่อนตอนสมัยเด็กๆ แต่มันก็นานมากแล้ว และสมัยเป็นเด็กวัด ก็ไม่ต้องมานอนแยกเดี่ยวใกล้โกศกระดูกและต้นตะเคียนแบบนี้ แล้วห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำรวม ถ้าปวดขึ้นมาตอนกลางคืนคือต้องเดินจากกุฏิไปเข้าก็น่ากลัวพอสมควรในตอนกลางคืน เพราะมีแต่โกศกระดูกรายล้อม
“อยู่ได้ไม๊พระ”
....แม่ผมถามมาเมื่อจัดการช่วยปัดกวาดกุฏิที่เหมือนเคยมีร่องรอยคนอยู่มาก่อน แต่คงจะนานมาแล้ว หนังสือมนต์พิธี เทียน ธูป และดอกไม้แห้งๆเต็มหิ้ง ที่ทำเอาผมใจเสียคือ ผ้ายันตร์สีแดงติดรอบทิศทั้งประตูหน้าต่าง
พระที่พามาส่ง ท่านก็แกะออกหมด ท่านว่าพระเราไม่ต้องใช้ยันต์ เราใช้พระรัตนตรัยเป็นเกราะเท่านั้น
แต่ที่มียันต์เต็มไปหมด เพราะพระองค์เก่าที่เคยอยู่กุฏินี้ ท่านเอามาแปะ ท่านเพี้ยนๆ อ้างว่าโดนกวนทั้งคืนเลยเอามาแปะ ซึ่งก็ไม่มีใครอยากยุ่งเพราะถือเป็นสิทธิ์ของท่าน ผมก็คิดตามแหละ อะไรวะที่มากวน
“ผมขอกุฏิอื่นได้ไม๊ครับท่าน”
“ตอนนี้มีกุฏินี้กุฏิเดียวนะที่ใช้นอนได้ อยู่ๆไปก่อนเถอะ”
....พอจัดการเรื่องการเป็นอยู่เสร็จ ครอบครัวผมก็กลับ พระที่มาส่งท่านก็กลับกุฏิตัวเอง ผมก็หว่าเว้เลยครับ
นั่งอยู่ตรงระเบียงด้านหน้ากุฏิ ไม่กล้าเข้ากุฏิ ในใจนึกกลัว มองไปรอบตัว ก็ใกล้จะมืด คิดในใจคนเดียว
“เห้อออออ....จะไหวไม๊เนี่ยอาตมา”
…คนไม่เคยต้องโดดเดี่ยว แถมไม่ได้อยู่วัดในเมือง ต้องมาอยู่วัดที่รายล้อมไปด้วยป่ารอบทิศ
ถ้าตั้งใจจะมาฝึกจิตก็คงจะเหมาะ
แต่ผมแค่มาบวชเพื่อหลบเคราะห์ เลยไม่ได้เตรียมใจมารับกับความกลัว
...ถึงตัวเราจะเป็นพระ แต่ใจเรามันยังไม่ใช่พระไง ยังสำรวมไม่ค่อยได้ ก็เป็นแค่โล้นห่มเหลืองไปก่อน
คือมนตร์คาถาอะไรก็ได้แค่ อะระหังสัมมา กับนโมตัสสะ กับศีล5 เท่านั้นล่ะ
เดินๆก็ยังโหวงๆเพราะไม่ได้ใส่กางเกงใน ก็นั่งมองไปรอบตัวนะ กุฏิอีกหลัง ที่ใกล้กัน ก็ไม่มีใครอยู่
โน่น ถัดไปอีกหลัง ถึงจะมีพระอยู่ แต่ก็มีคนบอกว่า องค์นั้น อีก2วันจะสึกแล้ว
…..แปลว่าอีก2วัน ผมต้องอยู่องค์เดียว โดยมีต้นตะเคียน กับโกศใส่กระดูก เป็นเพื่อนล่ะสิ
ท่านเจ้าอาวาส ท่านก็ส่งคนมาตามแหละ เพราะผมบวชวัดอื่น แต่มาจำพรรษาวัดนี้
ก็ต้องไปทำความรู้จักกันเสียหน่อย
....ท่านก็เรียกไปคุยถามชื่อแซ่ แล้วก็แนะนำวิถีทางของพระต่างๆนาๆ อยู่นานผมก็นั่งฟังอย่างตั้งใจนะ
ท่านก็ว่า เราเป็นพระแล้ว ต้องทำจิตใจให้เหนือกว่าชาวบ้าน ชาวบ้านตักบาตรเพื่อให้เราได้มีแรงปฏิบัติกิจ
สืบทอดพระศาสนา รักษาวัดให้ลูกหลานเค้า เราก็พึงทำให้ดี อย่าได้นั่งกินนอนกิน คิดว่าเป็นพระแล้วสบาย
....ผมก็จำได้ประมาณนี้ จริงๆมีอีกเยอะ ก่อนกลับกุฏิ ท่านก็บอกว่า
“เราเป็นพระใหม่ ตามความเชื่อแล้วเขาว่าบุญแรงนัก เพราะพึ่งผ่านพิธีบวชมา ศีลยังไม่พร่อง กลางค่ำกลางคืนก็อย่าเที่ยวออกมาเดินเล่นนอกกุฏิล่ะ ได้ยินได้เห็นอะไรแปลกๆก็อย่าตกใจ บางทีเขาก็แค่อยากมาลองใจ เอ้า กลับไปจำวัดได้แล้ว ”
....ในใจผมก็คิดแล้วว่า ห๊า!!! อะไรนะ ใครลองใจ ยังไง ดูจากสภาพสิ่งก่อสร้างที่นี่แล้ว มันชวนให้คิดนะ
เดินกลับก็เดินผ่านต้นไม้ใหญ่ๆ เหมือนจะเป็นต้นอะไรสักอย่าง จะโพธิ์ก็ไม่ใช่ จะไทรก็ไม่เชิง แต่มันต้นใหญ่ๆคล้ายต้นโพธิ์ แต่ใบคล้ายใบไทรที่มันขยายใหญ่ ขึ้นอยู่ข้างโบสถ์ ที่มีใบเสมาประจำอยู่4มุม หักๆพังๆ ทั้งมืดทั้งวังเวง แล้ววัดนั้น ลักษณะคือตั้งอยู่บนไหล่เขา แบ่งเป็น3ระดับลดหลั่นลงไป มีบันไดชันๆให้เดินเชื่อมในแต่ละระดับที่ๆผมอยู่ จะเป็นระดับบนสุด ระดับ2 เหมือนจะเป็นวิหารอะไรสักอย่าง และโรงธรรม แล้วก็มีเหมือนศาลเก่าๆอะไรสักอย่าง ปนๆกับต้นตะเคียน ระดับล่างสุดที่มองเห็นไกลๆนั่น เป็นที่ตั้งของเมรุ เห็นแต่ปล่องควันเผาศพโดดเด่นชูขึ้นไปบนฟ้า
โชคดี ที่มีศาลาทำกิจเกี่ยวกับศพตั้งบังด้านหน้าเมรุอยู่ เลยลดความน่ากลัวได้บ้าง แต่อย่ามองจะดีมาก เพราะบรรยากาศแนวๆนี้ ไม่น่ายินดีปรีดาสักเท่าไหร่ แถมระดับล่างสุดที่ตั้งเมรุนั้น มองลงไปในกลางคืนไม่ค่อยโสภานัก
เพราะมันเต็มไปด้วยดงไม้ ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าต้นอะไร แต่มารู้ในวันหลังๆ ว่าดงตะเคียนแทบทั้งนั้น แถมยังมีสุสานของคนจีนตั้งอยู่หลุมนึง ไม่รู้หลงมาจากไหน มองลงไปทีไรตอนกลางคืน เสียวสันหลังวูบๆ
.....ผมเชื่อว่าพระใหม่ทุกองค์ ต้องมีอาการคล้ายๆผมแล่ะ หากไม่มีเด็กวัดอยู่ด้วย พระใหม่จำนวนมากเลยเลือกที่จะลากญาติๆผู้ชายที่เป็นเด็กให้ไปอยู่เป็นเพื่อน แต่ผมก็มั่นใจว่าจะทนได้ล่ะ เลยไม่ขอเอาใครไปลำบากด้วย
เพราะผมเองเคยสัมผัสเรื่องพวกนี้มามาก หากจะเจออีกสักยก จะเป็นไรไป
…..โชคที่ดีวัดนั้นหมาแมวเยอะ เพราะญาติโยมคงจะรักพระ หรือเป็นห่วงพระจะเหงากระมัง เลยเอาหมาแมวมาปล่อยไว้ให้พระเลี้ยงเต็มไปหมด แถมตอนเอามาปล่อย คงจะหน้าบาง ไม่กล้าเอามาให้ถึงลานวัด ก็เที่ยวเอาไปทิ้งไว้ตามมุมวัดที่ไกลๆตาคนบ้าง พระเดินๆบิณฑบาต ร ตอนเช้ามืด ก็สะดุ้งโหยง เพราะลูกหมาโดนเอามาปล่อยทิ้งไว้ข้างป่าของวัด พอเห็นพระก็ดีใจ ว่าจะมีของกิน เพราะมันเคยได้กินจากเจ้าของ พระเดินอุ้มบาตรตามทางลูกรัง มืดๆ ลูกหมากรูออกมาจากข้างทาง พระแทบจะทิ้งบาตรวิ่ง อารามตกใจ (ก็ผมนี่ล่ะ องค์อื่นท่านชินหมด) ร้องลั่นถนน หึ้ยยยยยยยย
จนรูปอื่นๆต้องหยุดหันมามอง (เดินบิณฑบาตตอนเช้ามืด ออกตั้งแต่ตี5ครึ่ง เพื่อเดินไปหมู่บ้านด้านล่างที่ตั้งอยู่ในทะเลน้อย)
....วกกลับมาที่เมื่อผมรับข้อปฏิบัติของพระใหม่จากท่านเจ้าอาวาสแล้ว ผมก็เดินกลับกุฏิ โดยมีฝูงศิษย์เอก4ขาของวัดพากันมาส่ง ก็พอได้คลายความกลัวระหว่างทางไปได้บ้าง ล้างเท้าขึ้นกุฏิ ใจพยายามไม่คิดว่า ข้างกุฏิมีโกศกระดูกตั้งอยู่เป็นแถวนะ มีต้นตะเคียนด้วย ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเอาโกศกระดูกมาตั้งต่างกำแพงวัดด้วยก็ไม่รู้ ต้นไม้อย่างอื่นก็มี ทำไมต้องตะเคียน คิดในใจ สงสัยจะอาศัยให้ช่วยดูแลวัดจากคนไม่ดีละมัง ถ้าสิ่งที่ผมคิดมีจริง
....กุฏิมีหน้าต่างเป็นกระจกทึบๆ เปิดออกไปก็จะเอ๋ กับยอดของโกศกระดูกพอดี ผมเลยจัดการปิดล๊อคอย่างแน่นหนา เสริมด้วยการเอาจีวรไปห้อยบังไว้ นัยว่าตื่นมาก็ขอให้เห็นจีวรเถอะ อย่างน้อยๆถ้าจะมีอะไรแบบที่คิด ก็คงต้องกลัวจีวรบ้างล่ะ อุ่นใจหน่อยนึงว่า ในกุฏิมีหิ้งพระ เขย่งดูก็มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ พร้อมพระเครื่องอีกหลายองค์ ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไร คงเป็นของเจ้าของเก่านั่นล่ะ ก็แค่ปัดฝุ่นออก มีหนังสือธรรมะหลายเล่มวางอยู่ เลยลองหยิบมาลองนอนอ่านไปเรื่อยๆ
..เงียบบบบบบบบบบบบบบบบบบ มาก มีเสียงจิ้งหรีด ดัง จิ๊กๆๆๆๆ ปนมาบ้าง สลับเสียงตุ๊กแก ต๊กโต ต๊กโต
จิ้งจกก็ไม่รู้มาจากไหน โผล่หน้ามสลอน ส่งเสียง แจ๊ะๆๆๆๆ
......ตามความเชื่อของบ้านผม คนบวชใหม่ ต้องตื่นมาตอนดึกๆ จำไม่ได้ว่าตีอะไร แต่ต้องตื่น เพื่อลงไปกรวดน้ำให้ผีเปรต สัมภเวสี และญาติผู้ล่วงลับ ให้มารับส่วนบุญ เป็นเวลา3วัน ก่อนกลับ คนในครอบครัวผมก็กำชับเรื่องนี้มาก
ว่าอย่าลืมลุกมากรวดน้ำแผ่อุทิศส่วนบุญกุศลนะ
....เพื่อนผม มันเคยบวชมาก่อน ก็มาส่งด้วย ก่อนกลับ มันก็หันมาบอกว่า ตอนกรวดน้ำยามดึก อย่าเงยหน้ามองอะไรนะหลวง ให้สำรวมจิตตั้งใจ มองไปที่พื้นตรงที่น้ำหยดอย่างเดียว ผมก็ถามแหละว่าทำไมโยม
.มันก็ว่า มันเป็นความเชื่อต่อๆกันมา ว่า เวลาพระใหม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
บุญพระใหม่ที่ศีลยังไม่ด่างพร้อย จะมีกำลังแรงจนเหล่าสัมภเวสีผีเปรตต่างๆทั้งใกล้และไกลรับรู้ได้ จะพากันแห่มาห้อมล้อมพระรูปนั้น เต็มไปหมดเพื่อรับส่วนบุญ มากบ้างน้อยบ้างก็ตามกำลังกรรม หากพระรูปนั้น เป็นผู้ที่มีสัมผัสที่6มาก่อนบวช ก็แทบจะต้องเขวี้ยงชุดกรวดน้ำ ทิ้งวิ่งเข้ากุฏิ บางรูป จิตทนไม่ไหวใจไม่แข็ง เพราะเห็นเท้าเปรต เห็นร่างวิญญาณมาห้อมล้อม ก็กลายเป็นบ้าเสียสติไป กว่าจะกู้คืนก็นานวัน
.........ต่อที่เม้น2ครับ มันเกิน...