หูดหงอนไก่...ไม่ถึงตายแต่ทำลายความมั่นใจ

หูดหงอนไก่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีชนิดความเสี่ยงต่ำ  ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสเอชพีวีกว่า 200 สายพันธุ์  แต่มีเพียง 40 สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก  แบ่งเพิ่มเติมลงไปอีกเป็นชนิดความเสี่ยงสูงซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง  ได้แก่ สายพันธุ์ 16, 18 เป็นต้น  และ ชนิดความเสี่ยงต่ำซึ่งไม่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง ได้แก่ 6, 11 เป็นต้น ในกลุ่มหลังนี้สัมพันธ์กับการเกิดหูดหงอนไก่
            ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อเอชพีวีจะต้องเป็นโรคใดโรคหนึ่ง  พบว่าร้อยละ 75 ของหญิงชายวัยเจริญพันธุ์ได้รับเชื้อนี้ไปแล้ว  แต่ประมาณร้อยละ 80-90  จะสามารถกำจัดเชื้อไปได้เองที่ 2 ปี   ยกเว้นผู้ที่มีภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ เช่น การตั้งครรภ์  โรคเอดส์ เป็นต้น  จะเห็นได้ว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เกิดรอยโรคได้  อย่างไรก็ดี ผู้ที่ไม่มีอาการใดเลยก็สามารถถ่ายทอดเชื้อไปให้ผู้อื่นได้
            ตั้งแต่รับเชื้อมาจนเกิดอาการเป็นได้ตั้งแต่ 1 เดือน – 2 ปี หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 3-4 เดือน  เชื้อไวรัสชนิดนี้จะเข้าไปรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์ชั้นล่างสุดของเยื่อบุ ซึ่งมีการแบ่งตัวตลอดเวลาเพื่อซ่อมแซมชั้นที่เหนือขึ้นไป  เมื่อมีการติดเชื้อไวรัส  เซลล์ที่แบ่งตัวจะเปลี่ยนรูปร่างและหน้าที่จนควบคุมไม่ได้  เกิดเป็นเนื้องอกนูนออกมา
            อาการของโรคหูดหงอนไก่เป็นได้ตั้งแต่ ไม่มีอาการเลย  ไปจนถึงมีก้อนโตมากจนอุดกั้นช่องคลอด  ทวารหนัก  หรือท่อปัสสาวะ  บางรายมีเลือดออกจากก้อน  คันถึงคันมาก ตกขาวผิดปกติ  หรือแม้แต่แสบร้อนที่อวัยวะเพศ
            การวินิจฉัยมักทำได้โดยการดูรอยโรค  ซึ่งเป็น 4 แบบ  ได้แก่ นูนยื่นออกมาคล้ายดอกกะหล่ำปลี,  ตุ่มนูนเล็กๆ  แห้งๆ คล้ายมีขี้ไคลคลุม, ตุ่มนูนแบน, และ ตุ่มนูนเล็กสีเนื้อชุ่มชื้น   บางคนมีหลายชนิดปนกันได้  หูดอาจมีขนาดแตกต่างกัน  เรียงตัวติดกันหรือกระจายไปทั่ว  อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของผู้ที่ติดเชื้อเอชพีวีกลับไม่พบว่ามีรอยโรคเลย
รอยโรคที่หลากหลายนี้ทำให้เกิดความสับสนกับโรคอื่นๆได้ ได้แก่ ผื่นของโรคซิฟิลิสระยะที่ 2  หูดข้าวสุก  ไฝ  โรคผิวหนังบางชนิด  จนถึงลักษณะปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ของบางคนที่มีติ่งยื่นออกมาคล้ายหูดหงอนไก่
การรักษาโรคหูดหงอนไก่
            เป้าหมายของการรักษาคือ ความสวยงาม  บรรเทาอาการ  และลดความกังวลใจ  วิธีการรักษามีให้เลือกหลายรูปแบบทั้ง การใช้ยาหรือการใช้อุปกรณ์เพื่อกำจัดหูดออกไป  แพทย์เป็นผู้ทำให้หรือผู้ป่วยทำเอง  ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกวิธีการรักษา ได้แก่ ความชอบของผู้ป่วย  ราคา  ผลข้างเคียงของการรักษา  และประสบการณ์ของแพทย์  โดยทั่วไปหูดที่มีขนาดเล็กกว่าย่อมรักษาได้ง่ายกว่า  โดยพบว่าถ้าขนาดเล็กกว่า 1 ตารางเซนติเมตรมักรักษาด้วยยาสำเร็จ  ประสิทธิภาพของวิธีการรักษาแตกต่างกันไปและมีโอกาสเกิดซ้ำขึ้นได้อีกทุกวิธี  โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนแรกหลังสิ้นสุดการรักษา
            การรักษาด้วยยาชนิดที่แพทย์ทาให้  โดยแพทย์มักจะนัดทุก 1 สัปดาห์  โดยก่อนทายาทุกครั้งผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเสมอเพราะหลังจากทายาแล้วไม่ควรให้รอยทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง  ยามีหลายชนิดให้เลือกใช้  ชนิดแรก คือ โพโดฟีโลทอกซิน (Podophylotoxin) เป็นสารสีเหลืองน้ำตาล  ลักษณะเหนียว  ทำให้เซลล์ตายโดยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์  ยานี้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และปวด  หากเข้าสู่กระแสเลือดอาจทำให้เส้นประสาทอักเสบ ชาตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำ และ เกล็ดเลือดต่ำ  ยาทาชนิดที่ 2 คือ ไตรคลอโรเซติกแอซิด (80-90% Trichloroacetic acid; TCA)  ออกฤทธิ์โดยทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย  หูดที่มีก้านมักหลุดออกไปภายใน 2-3 วัน  ทำให้เกิดผิวหนังระคายเคือง เป็นแผลเลือดออกได้
            ยาที่ให้ผู้ป่วยทาเองในปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่ อิมิควิโมด (5% Imiquimod/ Aldara®) ทา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่เกิน 16 สัปดาห์   ยานี้จะกระตุ้นภูมิต้านทานเฉพาะที่   ให้ร่างกายกำจัดไวรัสเอชพีวีด้วยตัวเอง  ข้อเสียคืออาจทำให้เกิดผื่นแดงเฉพาะที่   และ โพโดฟิลอก (Podofilox 0.5%)   เป็นยาที่ยับยั้งการแบ่งเซลล์  วิธีการใช้คือทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3วัน แล้วเว้น 4 วัน  แต่ไม่เกิน 4 รอบ  อาจทำให้เกิดระคายเคืองเล็กน้อย  เช่นเดียวกับยาที่แพทย์ทาให้  ก่อนทายาเองทุกครั้งผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเสมอเพราะหลังจากทายาแล้วไม่ควรให้รอยทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง  
หูดหงอนไก่สามารถป้องกันได้หรือไม่
            ปัจจุบันมีการคิดค้นวัคซีนที่สามารถลดการเกิดโรคหูดหงอนไก่ได้  หากได้รับการฉีดตั้งแต่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน  จากหลักการที่ว่า ร้อยละ 90ของหูดหงอนไก่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ 6 และ 11  การผลิตวัคซีนได้ใช้ส่วนเปลือกของไวรัสส่วนเล็กๆ มาผสมกับสารกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย  เมื่อฉีดแล้วร่างกายจะจะมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาในระดับที่สูงมาก  จนสามารถลดการติดเชื้อของไวรัสที่เซลล์ของเยื่อบุได้  ดังนั้นการแบ่งตัวของเซลล์ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  และไม่เกิดเป็นตุ่มนูนขึ้นมา  อย่างไรก็ตามวัคซีนนี้จะมาในรูปร่วมกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเข็มเดียวกัน  ไม่มีการทำวัคซีนแยกออกมา  เป็นวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 6, 11, 16, และ 18

ขอขอบคุณข้อมูลจาก    si.mahidol.ac.th และ รพ.สมิตเวช

Report by LIV APCO
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่