ซะกุระที่เซนได(仙台)ปี พ.ศ. 2559 นี้ พยากรณ์กันว่าจะเริ่มวันที่ 8 เมษายน และจะสวยเต็มที่ระหว่างวันที่ 12-18แต่ว่าถ้าใครมาช้ากว่านั้น ก็มี 2 แห่งใกล้ๆเซนไดที่ซะกุระบานช้ากว่าช่วงเวลาดังกล่าว นั่นคือที่อ่าวมัทซึชิมะ(松島)และศาลเจ้าชิโอกะมะ (鹽竈神社)ทั้งสองแห่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครมาเที่ยวเซนไดแล้วไม่ควรพลาด เพราะอ่าวมัทซึชิมะนั้นจัดว่าเป็นหนึ่งในสามทัศนียภาพที่สวยเด่นของญี่ปุ่น ส่วนศาลเจ้าชิโอะกะมะเป็นศาลเก่าแก่กว่าพันปีที่มีระดับบรรดาศักดิ์สูง อีกทั้งเมืองมัทซึชิมะและเมืองชิโอะกะมะเป็นสองเมืองที่อยู่โอบล้อมอ่าวมัทซึชิมะที่สวยงาม
เทศกาลชมดอกซะกุระบานที่ศาลชิโอะกะมะ ปีพ.ศ.2559 จัดระหว่างวันที่ 15 เมษายน-10 พฤษภาคม ส่วนจุดสวยชมทิวทัศน์ซะกุระที่มัทซึชิมะที่สวนไซเกียวโมะโดะชิโนะมัทซึ นั้นก็มักจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันคือ 15 เมษายน-ต้นพฤษภาคม
เอาเป็นว่าทริปนี้ เราเริ่มไปชมซะกุระที่ศาลชิโอะกะมะในตอนเช้าตรู่กันก่อน เนื่องจากศาลเจ้าชิโอะกะมะตั้งอยู่บนเขา มองไปเห็นอ่าวมัทซึชิมะทางทิศตะวันออก จึงเป็นจุดหนึ่งที่คนญี่ปุ่นถือเป็นฤกษ์ดีเมื่อมานมัสการศาลเจ้าศักดิ์สิทธ์ในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมรอต้อนรับแสงตะวันแรกของปีไปด้วย ทัศนียภาพที่ดวงอาทิตย์ขึ้นน่าจะเป็นแรงบันดาลใจใหม่ๆให้เราเริ่มชีวิตประจำวันได้อย่างสดชื่น
วิธีไปจากเซนได ขึ้นรถไฟ JR สาย Senseki (仙石線)ไปลงสถานี Hon-Shiogama (30 นาที ) จากนั้นเดินประมาณ 15 นาที ก็จะถึงทางขึ้นศาล
ใครจะมาที่ศาลนี้เตรียมเข่าดีๆไว้ด้วย เพราะจะต้องขึ้นบันไดหินกัน 202 ขั้น
เมื่อได้เห็นภาพซะกุระบานเช่นนี้ ความเหนื่อยก็จะสลายพลันไปทันที
ที่ศาลชิโอะกะมะนี้มีซะกุระพันธุ์หนึ่งที่ชื่อว่า Shiogama-zakura มักบานช้ากว่าพันธุ์อื่นๆโดยจะบานเต็มที่ปลายเดือนเมษายน ในดอกๆหนึ่งมีกลีบสีชมพูอัดกันแน่นถึง 40-60 กลีบ ซะกุระพันธุ์นี้ถูกกล่าวถึงกันมานานตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือเมื่อพันปีก่อนแล้ว เป็นพันธุ์ที่หาดูได้ยาก จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติที่ต้องอนุรักษ์ไว้ของประเทศญี่ปุ่น ซะกุนี้ถึอเป็นสัญญลักษณ์ของทั้งศาลและทั้งของเมืองชิโอะกะมะอีกด้วย
เมืองชิโอะกะมะนี้ยังมีชื่อเรื่องการทำสาเก ระหว่างทางที่เดินจากสถานีไปศาลเจ้า มองดีๆจะได้เห็นโรงงานทำสาเกเก่าๆที่เปิดให้เข้าชมและลองชิมสาเกสดๆ กัน นอกจากนั้นแล้วเมืองนี้ยังมีร้านซูชิอร่อยๆที่มีชื่อหลายร้าน เนื่องจากชิโอะกะมะเป็นเมืองท่าจับปลาใหญ่ของญี่ปุ่น อาหารทะเลที่นี่จึงสด อร่อยจน หลายคนเดินทางมาจากไกลๆเพื่อทานซูชิที่เมืองนี้กัน
เสร็จจากศาลเจ้าชิโอะกะมะแล้ว เราจะขึ้นเรือล่องอ่าวไปลงฝั่งเมืองมัทซึชิมะกัน ดังนั้นให้หาทางไปที่ท่าขึ้นเรือมารีนเกท(マリンゲート塩釜) ซึ่งอยู่ห่างจากศาลระยะทาง 2 กม. หากเดินไปก็จะใช้เวลา 25 นาที หรือจะขึ้นแท็กซี่ไปก็ใช้เวลา 6 นาที
ที่ท่าเรือมารีนเกท มีร้านค้า ภัตตาคารอยู่หลายร้าน ร้านซูชิในนี้ก็มีชื่ออยู่ไม่น้อย เช่นร้านซูชิยะ โนะ ยะมะโค (すしやの山孝) ที่อยู่ชั้น 2
http://shiogama.co.jp/marinegate/shop20.html
จากท่าเรือมารีนเกท ซื้อตั๋วเรือทัศนาจรล่องข้ามไปฝั่งเมืองมัทซึชิมะได้ในราคา 1500 เยน (เด็ก 750 เยน) เรือทัศนาจรนี้ดีตรงที่จะมีอธิบายเกาะใหญ่น้อยต่างๆที่ผ่านไปในอ่าว ตำนานต่างๆ ความเป็นมาของการตั้งชื่อเกาะ เป็นภาษาญี่ปุ่น ตามด้วยภาษาอังกฤษ
ถึงฝั่งมัทซึชิมะแล้ว มองไปทางขวา จะเห็นไอคอนของมัทซึชิมะ นั่นคือวิหารโกะไดโด้ (五大堂)ที่นี่เป็นจุดที่พลาดแวะไม่ได้เมื่อมามัทซึชิมะ สร้างเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 1350 และสร้างใหม่ขึ้นอีกทีโดยดะเตะ มะซะมุเนะ พ.ศ.2147 เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป 5 องค์ ตัววิหารตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆเชื่อมกับฝั่งด้วยสะพานไม้โปร่งเห็นพื้นทะเลข้างล่าง มีความหมายให้ตั้งสมาธิทำใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องก่อนจะก้าวข้าม
มัทซึชิมะนี้จะเที่ยวทั้งวันก็ยังได้ แต่มาถึงจุดนี้เราเหลือเวลาแค่ครึ่งวัน ดังนั้นเสร็จจากวิหารโกะไดโด้แล้ว ย้อนกลับมาทางเดิม แต่ข้ามถนนไปอีกฝั่ง มุ่งหน้าไปยังวัดซุยกันจิ (瑞巌寺)วัดเซนที่มีชื่อของภูมิภาคโทโฮะกุ วัดนี้เป็นวัดของตระกูลดะเตะ เดิมทีสร้างโดยพระภิกษุนามว่าจิคะคุ ไทชิ ในปีพ.ศ.1371 แต่ที่เห็นในปัจจุบันเป็นอาคารสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2152 โดยดะเตะ มะซะมุเนะ ไดเมียวผู้ครองแคว้นเซนได ปีนี้เป็นโอกาสดีที่จะแวะวัดซุยกันจิ เพราะวัดนี้ได้ปิดเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์มาเป็นเวลาถึง 8 ปีจะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2559 นี้เป็นต้นไป
นมัสการวัดซุยกันจิเสร็จ เดินออกมาทางซ้าย ต่อไปวัดเอ็นทซึอิน (円通院)ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งสุสานหลานชายของดะเตะ มะซะมุเนะที่ตายเมื่ออายุเพียง 19 ปี ที่วัดนี้มีสวนญี่ปุ่นที่สวยงาม สวนหินจำลองภูมิทัศน์ของอ่าวมัทซึชิมะ ตัววัดเองเป็นบ้านโบราณที่มีประวัติศาสตร์ ในบริเวณวัดมีหอ Sankeiden ซึ่งถูกจัดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น วัดมีกิจกรรมร้อยกำไลลูกประคำประจำตัวกัน โดยให้เราเลือกลูกปัดสีต่างๆที่ทำจากหิน แก้ว หรือไม้หอม หลังจากนั้นก็จะมีคำอธิบายว่าที่เราเลือกลูกปัดลักษณะนั้นๆบ่งถึงสภาพ จิตใจของเราอย่างไร และลูกประคำนี้จะช่วยเตือนสติเราได้อย่างไร เป็นกิจกรรมที่นิยมกลุ่มนักท่องเที่ยวสาวๆ ที่มาเที่ยววัดนี้
จากวัดเอ็นทซึอินให้เดินไปทางขวาเรื่อยๆ กลับไปที่สถานีรถไฟ Matsushima Kaigan (松島海岸)เพื่อหาแท็กซี่ที่จะพาเราไปที่สวน Saigyou Modoshi no Matsu (西行戻しの松) ที่อยู่บนเนินเขา จากสวนแห่งนี้มองลงมา จะเห็นวิวอ่าวมัทซึชิมะแบบพาโนราม่าผ่านทิวต้นซะกุระที่บานสะพรั่ง ที่นี่เป็นสถานที่ชมซะกุระบานที่มีชื่อของเมือง จากสถานี Matsushima Kaigan นั่งรถแท็กซี่ไป 5 นาที จะใช้เวลาสักเท่าไรบอกแท็กซี่ได้ว่า เช่น อีกชั่วโมงให้มารับกลับ แท็กซี่จะคิดแค่ค่ารถเท่านั้น
ดูวิวที่สวนไซเกียว โมะโดะชิ โนะ มัทซึเสร็จแล้ว หากมีเวลา มุ่งหน้าไปที่เรือนน้ำชาคันรันเทอิ(観瀾亭) ซึ่งเปิดถึง 17.00 น. เพื่อพักขา ชิมชาเขียวญี่ปุ่นกับขนมหวานกัน เมื่อสี่ร้อยปีก่อน ดะเตะ มะซะมุเนะได้รับเรือนน้ำชานี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทฟุจิมิมาจากโทโยโทมิ ฮิเดะโยะชิ ขุนศึกผู้นำประเทศในครั้งนั้น ณ ปัจจุบัน เรือนน้ำชาเปิดให้ผู้มาเยือนเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อ่าวมัทซึชิมะขณะจิบชาเขียวพร้อมขนมญี่ปุ่น
เป็นอันเสร็จสิ้น 1 วันแห่งการชมซะกุระใกล้เมืองเซนได หากมีเวลาอยากเที่ยวมัทซึชิมะต่อก็พักโรงแรมที่นี่ได้ หรือจะนั่งรถไฟกลับเซนไดจากสถานี Matsushima Kaigan ก็ใช้เวลาเพียง 40 นาทีค่ะ
ชมซะกุระ 1 วันใกล้เมืองเซนไดปี 2016 (อ่าวมัทซึชิมะ & ศาลเจ้าชิโอะกะมะ)
เทศกาลชมดอกซะกุระบานที่ศาลชิโอะกะมะ ปีพ.ศ.2559 จัดระหว่างวันที่ 15 เมษายน-10 พฤษภาคม ส่วนจุดสวยชมทิวทัศน์ซะกุระที่มัทซึชิมะที่สวนไซเกียวโมะโดะชิโนะมัทซึ นั้นก็มักจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันคือ 15 เมษายน-ต้นพฤษภาคม
เอาเป็นว่าทริปนี้ เราเริ่มไปชมซะกุระที่ศาลชิโอะกะมะในตอนเช้าตรู่กันก่อน เนื่องจากศาลเจ้าชิโอะกะมะตั้งอยู่บนเขา มองไปเห็นอ่าวมัทซึชิมะทางทิศตะวันออก จึงเป็นจุดหนึ่งที่คนญี่ปุ่นถือเป็นฤกษ์ดีเมื่อมานมัสการศาลเจ้าศักดิ์สิทธ์ในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมรอต้อนรับแสงตะวันแรกของปีไปด้วย ทัศนียภาพที่ดวงอาทิตย์ขึ้นน่าจะเป็นแรงบันดาลใจใหม่ๆให้เราเริ่มชีวิตประจำวันได้อย่างสดชื่น
วิธีไปจากเซนได ขึ้นรถไฟ JR สาย Senseki (仙石線)ไปลงสถานี Hon-Shiogama (30 นาที ) จากนั้นเดินประมาณ 15 นาที ก็จะถึงทางขึ้นศาล
ใครจะมาที่ศาลนี้เตรียมเข่าดีๆไว้ด้วย เพราะจะต้องขึ้นบันไดหินกัน 202 ขั้น
เมื่อได้เห็นภาพซะกุระบานเช่นนี้ ความเหนื่อยก็จะสลายพลันไปทันที
ที่ศาลชิโอะกะมะนี้มีซะกุระพันธุ์หนึ่งที่ชื่อว่า Shiogama-zakura มักบานช้ากว่าพันธุ์อื่นๆโดยจะบานเต็มที่ปลายเดือนเมษายน ในดอกๆหนึ่งมีกลีบสีชมพูอัดกันแน่นถึง 40-60 กลีบ ซะกุระพันธุ์นี้ถูกกล่าวถึงกันมานานตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือเมื่อพันปีก่อนแล้ว เป็นพันธุ์ที่หาดูได้ยาก จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติที่ต้องอนุรักษ์ไว้ของประเทศญี่ปุ่น ซะกุนี้ถึอเป็นสัญญลักษณ์ของทั้งศาลและทั้งของเมืองชิโอะกะมะอีกด้วย
เมืองชิโอะกะมะนี้ยังมีชื่อเรื่องการทำสาเก ระหว่างทางที่เดินจากสถานีไปศาลเจ้า มองดีๆจะได้เห็นโรงงานทำสาเกเก่าๆที่เปิดให้เข้าชมและลองชิมสาเกสดๆ กัน นอกจากนั้นแล้วเมืองนี้ยังมีร้านซูชิอร่อยๆที่มีชื่อหลายร้าน เนื่องจากชิโอะกะมะเป็นเมืองท่าจับปลาใหญ่ของญี่ปุ่น อาหารทะเลที่นี่จึงสด อร่อยจน หลายคนเดินทางมาจากไกลๆเพื่อทานซูชิที่เมืองนี้กัน
เสร็จจากศาลเจ้าชิโอะกะมะแล้ว เราจะขึ้นเรือล่องอ่าวไปลงฝั่งเมืองมัทซึชิมะกัน ดังนั้นให้หาทางไปที่ท่าขึ้นเรือมารีนเกท(マリンゲート塩釜) ซึ่งอยู่ห่างจากศาลระยะทาง 2 กม. หากเดินไปก็จะใช้เวลา 25 นาที หรือจะขึ้นแท็กซี่ไปก็ใช้เวลา 6 นาที
ที่ท่าเรือมารีนเกท มีร้านค้า ภัตตาคารอยู่หลายร้าน ร้านซูชิในนี้ก็มีชื่ออยู่ไม่น้อย เช่นร้านซูชิยะ โนะ ยะมะโค (すしやの山孝) ที่อยู่ชั้น 2
http://shiogama.co.jp/marinegate/shop20.html
จากท่าเรือมารีนเกท ซื้อตั๋วเรือทัศนาจรล่องข้ามไปฝั่งเมืองมัทซึชิมะได้ในราคา 1500 เยน (เด็ก 750 เยน) เรือทัศนาจรนี้ดีตรงที่จะมีอธิบายเกาะใหญ่น้อยต่างๆที่ผ่านไปในอ่าว ตำนานต่างๆ ความเป็นมาของการตั้งชื่อเกาะ เป็นภาษาญี่ปุ่น ตามด้วยภาษาอังกฤษ
ถึงฝั่งมัทซึชิมะแล้ว มองไปทางขวา จะเห็นไอคอนของมัทซึชิมะ นั่นคือวิหารโกะไดโด้ (五大堂)ที่นี่เป็นจุดที่พลาดแวะไม่ได้เมื่อมามัทซึชิมะ สร้างเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 1350 และสร้างใหม่ขึ้นอีกทีโดยดะเตะ มะซะมุเนะ พ.ศ.2147 เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป 5 องค์ ตัววิหารตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆเชื่อมกับฝั่งด้วยสะพานไม้โปร่งเห็นพื้นทะเลข้างล่าง มีความหมายให้ตั้งสมาธิทำใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องก่อนจะก้าวข้าม
มัทซึชิมะนี้จะเที่ยวทั้งวันก็ยังได้ แต่มาถึงจุดนี้เราเหลือเวลาแค่ครึ่งวัน ดังนั้นเสร็จจากวิหารโกะไดโด้แล้ว ย้อนกลับมาทางเดิม แต่ข้ามถนนไปอีกฝั่ง มุ่งหน้าไปยังวัดซุยกันจิ (瑞巌寺)วัดเซนที่มีชื่อของภูมิภาคโทโฮะกุ วัดนี้เป็นวัดของตระกูลดะเตะ เดิมทีสร้างโดยพระภิกษุนามว่าจิคะคุ ไทชิ ในปีพ.ศ.1371 แต่ที่เห็นในปัจจุบันเป็นอาคารสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2152 โดยดะเตะ มะซะมุเนะ ไดเมียวผู้ครองแคว้นเซนได ปีนี้เป็นโอกาสดีที่จะแวะวัดซุยกันจิ เพราะวัดนี้ได้ปิดเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์มาเป็นเวลาถึง 8 ปีจะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2559 นี้เป็นต้นไป
นมัสการวัดซุยกันจิเสร็จ เดินออกมาทางซ้าย ต่อไปวัดเอ็นทซึอิน (円通院)ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งสุสานหลานชายของดะเตะ มะซะมุเนะที่ตายเมื่ออายุเพียง 19 ปี ที่วัดนี้มีสวนญี่ปุ่นที่สวยงาม สวนหินจำลองภูมิทัศน์ของอ่าวมัทซึชิมะ ตัววัดเองเป็นบ้านโบราณที่มีประวัติศาสตร์ ในบริเวณวัดมีหอ Sankeiden ซึ่งถูกจัดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น วัดมีกิจกรรมร้อยกำไลลูกประคำประจำตัวกัน โดยให้เราเลือกลูกปัดสีต่างๆที่ทำจากหิน แก้ว หรือไม้หอม หลังจากนั้นก็จะมีคำอธิบายว่าที่เราเลือกลูกปัดลักษณะนั้นๆบ่งถึงสภาพ จิตใจของเราอย่างไร และลูกประคำนี้จะช่วยเตือนสติเราได้อย่างไร เป็นกิจกรรมที่นิยมกลุ่มนักท่องเที่ยวสาวๆ ที่มาเที่ยววัดนี้
จากวัดเอ็นทซึอินให้เดินไปทางขวาเรื่อยๆ กลับไปที่สถานีรถไฟ Matsushima Kaigan (松島海岸)เพื่อหาแท็กซี่ที่จะพาเราไปที่สวน Saigyou Modoshi no Matsu (西行戻しの松) ที่อยู่บนเนินเขา จากสวนแห่งนี้มองลงมา จะเห็นวิวอ่าวมัทซึชิมะแบบพาโนราม่าผ่านทิวต้นซะกุระที่บานสะพรั่ง ที่นี่เป็นสถานที่ชมซะกุระบานที่มีชื่อของเมือง จากสถานี Matsushima Kaigan นั่งรถแท็กซี่ไป 5 นาที จะใช้เวลาสักเท่าไรบอกแท็กซี่ได้ว่า เช่น อีกชั่วโมงให้มารับกลับ แท็กซี่จะคิดแค่ค่ารถเท่านั้น
ดูวิวที่สวนไซเกียว โมะโดะชิ โนะ มัทซึเสร็จแล้ว หากมีเวลา มุ่งหน้าไปที่เรือนน้ำชาคันรันเทอิ(観瀾亭) ซึ่งเปิดถึง 17.00 น. เพื่อพักขา ชิมชาเขียวญี่ปุ่นกับขนมหวานกัน เมื่อสี่ร้อยปีก่อน ดะเตะ มะซะมุเนะได้รับเรือนน้ำชานี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทฟุจิมิมาจากโทโยโทมิ ฮิเดะโยะชิ ขุนศึกผู้นำประเทศในครั้งนั้น ณ ปัจจุบัน เรือนน้ำชาเปิดให้ผู้มาเยือนเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อ่าวมัทซึชิมะขณะจิบชาเขียวพร้อมขนมญี่ปุ่น
เป็นอันเสร็จสิ้น 1 วันแห่งการชมซะกุระใกล้เมืองเซนได หากมีเวลาอยากเที่ยวมัทซึชิมะต่อก็พักโรงแรมที่นี่ได้ หรือจะนั่งรถไฟกลับเซนไดจากสถานี Matsushima Kaigan ก็ใช้เวลาเพียง 40 นาทีค่ะ