รักแรก คิดถึงมาตลอด แต่ไม่รู้จะไปตามหาเค้าได้ที่ไหน

กระทู้คำถาม
เกริ่นก่อนว่า มันเป็นความคิดถึงแบบเป็นห่วง อยากรู้ความเป็นอยู่ เค้าสุขสบายดีไหม ตอนนี้ทำอะไรอยู่

รักแรกของเราคนนี้เป็นเรื่องสมัยเด็กมาก ตั้งแต่สมัยเรียนประถม6 นี่ก็ผ่านมา 10กว่าปีล่ะ เราจำได้แค่ชื่อ-นามสกุล ชื่อเล่นของเค้า เลยไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน

เรื่องราวป๊อปปี้เลิฟของเราเกิดจากความเป็นเพื่อน ตอนเราเรียนอยู่ป.6(โรงเรียนเอกชนทาคอลิกแถวอ.บางปะกง) มีการสลับย้ายห้องของนักเรียนในช่วงที่เราจะเรียนชั้นป.6 เราก็ได้อยู่ห้องใหม่รู้จักเพื่อนใหม่ๆ เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในห้องเก่าก็พอมีบ้าง แต่ด้วยความที่ว่าบ้านเรามีผู้ชายเยอะ เราก็สนิทกับเพื่อนผู้ชาย ถึงแม้จะมีเพื่อนเป็นกลุ่มผู้หญิงเราก็ชอบไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายด้วยความห้าวซนแก่นตามประสาเด็กๆ บวกกับคุณครูจะจัดโต๊ะนั่งเรียน ให้เด็กผู้ชายนั่งกับเด็กผู้หญิงข้างกัน เพื่อไม่ให้เด็กผู้ชายเล่นกันและเด็กผู้หญิงมั่วแต่นั่งคุยกัน จึงเป็นเหตุให้เรานั่งข้างๆเค้า

รักแรกของเราคนนี้มีชื่อเล่นว่า "เฟรนด์" เราและเฟรนด์นั่งข้างๆกันตอนเรียน เฟรนด์เป็นเด็กเฮี้ยว ซน เรียกได้ว่าเป็นเด็กบ้านรวย พ่อแม่ตามใจ และเกเรียนคนนึง ส่วนเราเป็นเด็กเรียน(ไม่ได้เนิตจ๋านะ แค่เรียนเก่งเข้าใจง่าย บวกกับเป็นลูกบ้านคนจีนที่บ้านสอนมาให้ต้องตั้งใจเรียน แต่เรื่องเล่นเต้นซนก็มี) ด้วยความที่เรานั่งข้างๆกัน เราเด็กเรียนเก่ง เข้าใจง่ายและขยัน ส่วนเฟรนด์เด็กเก ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ก็เลยทำให้ทุกครั้งที่มีงาน การบ้านเฟรนด์จึงต้องมาถามและให้เราช่วยอยู่ประจำ เราจึงสนิทกันมาก แต่ถึงแม้จะเป็นเด็เกเรียน แต่นิสัยส่วนตัวแล้วเฟรนด์เป็คนที่ดีมาก มีน้ำใจ ชอบอ้อนให้ช่วยเอาใจเอาขนมมาฝาก จึงทำให้เราเริ่มแอบชอบเฟรนด์

แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นอ่ะสิ เพราะเฟรนด์มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะย้ายมาเรียรชั้นป.6ด้วยกัน เพื่อนๆทุกคนก็รู้ว่า เฟรนด์ชอบผู้หญิงคนนี้ เธอชื่อว่า "มล" เป็นเด็กเรียนเก่งคนนึงเหมือนกัน แถมอยู่วงโยธวาทิตของโรงเรียนด้วย หน้าตาก็ดี คือครบอ่ะ แถมมลก็ชอบเฟรนด์ คือใครๆก็รู้ว่าสองคนนี้แอบชอบกัน ก็เหมือนคบกันเป็นแฟนกันอยู่กลายๆ เราก็คงอยู่ไดใยสถานะเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกับเฟรนด์เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์อะไร ให้ใครรู้ไม่ได้ แถมต้องรับฟังคำปรึกษาของเฟรนด์เรื่องมลอีก เราก็ได้ให้แต่ความหวังดีกับเฟรนด์ ไม่เคยคิดอิจฉาหรืออยากให้เฟรนด์คิดแบบเราเลย มีอะไรที่ทำให้ได้ หรือให้คำปรึกษาแนะนำได้ เราก็จะช่วยด้วยความเต็มใจเสมอ จนเฟรนด์มักจะบอกว่าเราเป็นเพื่อนที่นิสัยดีมากคนนึง

เราเรียนชั้นป.6แล้ว เหมือนเป็นธรรมเนียม พอจะขึ้นชั้นม.1 เด็กนักเรียนโรงเรียนเราก็จะไปสอบเข้าโรงเรียนดัง โรงเรียนใหญ่ๆของภาครัฐ ซึ่งบ้านเฟรนด์อยู่แถวบางพลี และด้วยความที่มลจะไปต่อโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว เฟรนด์ก็เลยจะตามไปเรียนที่นั้นด้วย และสามารถเข้าได้สบายๆด้วยโควต้านักกีฬาวิ่งของโรงเรียนและเส้นสายของพ่อ เราด้วยความอยากตามเฟรนด์ไปบวกกับป๊าเป็นศิษย์เก่าที่นั้น ซึ่งป๊าเรามีความปรารถนาว่า อยากกลับไปโรงเรียนราชวินิตอีกครั้งในฐานะผู้ปกครองก็คือพ่อของนักเรียนนั้นเอง เราก็สมัครสอบที่นั้น แต่แม่เรากลับให้เราไปสอบโรงเรียนนวมินเตรียมพัฒน์แทน ด้วยความที่ใกล้บ้านกว่า เป็นโรงเรียนระดับเดียวกัน และเคยมีเคสที่เจ้เราเคยไปสอบแล้วด้วยความที่อยากทำให้ป๊าสมความปรารถนา แต่เจ้กลับสอบไม่ติดและต้องเสียใจมาก แม่ไม่อยากให้เราต้องเสียใจแบบเจ้ถ้าสอบไม่ได้ (จริงๆแล้วเจ้ของเราาเป็นคนเก่งด้านภาษาซึ่งจริงๆแล้วไม่แปลกที่จะสอบไม่ติด เพราะโรงเรียนนั้นเน้นวิชาวิทย์-คณิตมาก ซึ่งเราถนัดด้านนี้ เสียดายอยู่นะที่ไม่ได้ไป เพราะเพื่อนที่เรียนเก่งพอๆกับเราคนนึงไปสอบก็ผ่านสบายๆ) ด้วยเหตุผลนี้เราจึงได้เรียนคนละโรงเรียนกัน และไม่มีโอกาสเจอหรือติดต่อกันอีกเลย

จนวันนึงหลังจากที่เราเข้าโรงเรียนใหม่ได้ไม่นาน โรงเรียนเรากับโรงเรียนของเฟรด์ก็มีงานกีฬาและวิชาการร่วมกัน ซึ่งจัดที่โรงเรียนของเฟรนด์ ห้องเราได้ไปเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการแข่งด้านวิชาการ เราจึงมีโอกาสไปที่นั้น เราดีใจมากเพราะอาจเจอเฟรนด์ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่เฟรนด์จะเป็นนักกีฬาวิ่งและลงแข่ง แต่คนค่อนข้างเยอะ เจอไม่เจอเราก็ลุ้นเผื่อใจไว้ และเราก็ได้เจอเฟรนด์ จริงๆเพราะตอนที่เราไปโรงเรียนนั้น เพื่อนผู้ชายคนนึงที่มาจากโรงเรียนประถมด้วยกันที่สนิทกับเฟรนด์ก็มาด้วย เค้าก็นัดเจอกันแต่เรามีเวลาน้อยมาก ไม่ได้คุยกันเลย เพราะเป็นจังหวะตอนเย็นที่รถของโรงเรียนเรามารับกลับโรงเรียนแล้ว เราได้แต่โบกมือลา โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกมั๊ย

นานมากและแทบไม่มีวี่แววอีกเลยที่เราจะติดต่อ หรือเจอเฟรนด์อีก จนเราขึ้นม.ปลาย(ม.4)เราต้องไปซ้อมลีดเดอร์ช่วงปิดเทอมแถวๆเซนทรัลบางนาทุกวัน วันนั้นเป็นวันเสาร์ตอนจะกลับบ้านแล้ว เราอยู่บนรถเมล รถกำลังรอคนขึ้นอยู่ เราก็มองไปเรื่อยมองคนหน้าเซ็นทรัล สายตาไปสะดุดที่คนคนนึง นั้นเฟรนด์นี่!! กำลังยืนอยู่หน้าประตูทางออกห้าง ใส่ชุดรด.อยู่ ดูดีมาก แวบแรกเราจำได้ทันทีว่าใช่ จำได้ไม่ลืมเลย ถึงแม้จะไม่เจอกันนานแล้ว จะดูโตเป็นหนุ่มกว่าเดิมมากแล้วก็ตาม หน้าตาเคล้าโคลงเราเห็นเราก็คิดว่าไม่ผิดคน เราตะโกนออกนอกหน้าต่างรถเมลเรียก เฟรนด์ ไป แต่คงไม่ได้ยิน เพราะเสียงรถบนถนนค่อนข้างดัง บวกกับรถกำลังจะขับออกไป เราได้แต่มองเฟรนด์บนรถและให้รถขับออกไป ระหว่างรถขับออกไป เราเห็นผู้หญิงคนนึงเดินมาหาเฟรนด์และเรียกเฟรนด์ ว่าเฟรนด์ เราแน่ใจมั่นใจว่าใช่จริงๆ ถึงเฟรนด์จะไม่ได้ยินเรา ไม่เห็นเรา แต่เราก็รู้สึกดีใจ ที่เราได้เจอเฟรนด์ในวันนั้น ถึงแม้จะด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาอะๆรก็ตาม เราก็รู้สึกสุขใจมาก ที่เห็นเฟรนด์ ได้รู้ว่าทำอะไรอยู่ และดูมีความสุขอยู่

ทุกวันนี้พอนึกถึงเฟรนด์มันเป็นความสุขใจเล็กๆกับความรู้สึกดีๆที่เรามีให้ใครซักคนนึง ไม่ว่าตอนนี้จะอยู่ในสถานะอะไร จนผ่านมาถึงวันนี้ ความรู้สึกดีๆที่มีให้กับเฟรนด์อาจจะไม่ใช่ความรู้สึกชอบเหมือนก่อน แต่ความห่วงใยเรายังมีให้เหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นไปได้เราก็อยากหาเฟรนด์ให้เจอ แค่อยากรู้ความสุขสบายชีวิตความเป็นไปของเเฟรนด์ในทุกวันนี้ ความห่วงใยของเพื่อนคนนนี้ยังเหมือนเดิมจากใจจริง คิดถึงเสมอ...

มีอีกสองสิ่งที่เรายังเก็บไว้ ตอนวันสอบวันสุดท้ายของป.6. เราเอากล้องไปถ่ายรูปเพื่อนๆเก็บไว้ และเราได้ถ่ายรูปเฟรนด์ไว้ด้วย แต่เป็นรูปรวมกับเพื่อนกลุ่มผู้ชายทั้งห้อง และวันก่อนจะเรียนจบคุณครูได้ให้เราแลกกันเขียนบอกลา และความในใจในกระดาษเป็นเฟรนด์ชิพให้เพื่อน เฟรนด์เขียนให้เราด้วยเป็นสิ่งของสองสิ่งที่เราเก็บรวมกันไว้อย่างดี เพราะมันคือความทรงจำดีๆที่เราพอจะอ่านได้ สัมผัสได้ สุขใจทุกครั้งที่ได้เห็นมัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่