นักวิ่งทุกคนล้วนมีสนามแข่งขันที่ใฝ่ฝันเป็นของตัวเอง
ยิ่งเป็น
"นักวิ่งTrai"(นักวิ่งวิบากในป่า)ด้วยแล้ว
การได้ไปวิ่งในสถานที่สวยๆท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นั่นคือความใฝ่ฝันของพวกเราเลยล่ะค่ะ
อุ๊บอิ๊บเองก็เป็นนักวิ่งTrail แต่อาจไม่ใช่นักวิ่งที่มีโอกาสไปมาหลายสนามทั่วทุกมุมโลก
แต่อิ๊บว่าบางสนามที่อิ๊บไป ก็เป็นความฝันของนักวิ่งTrailบางคนอยู่เหมือนกัน
ฮ่องกง...ฟิลิปปินส์...มาเลเซีย...ญี่ปุ่น...เนปาล...หรือแม้แต่บ้านเราเอง "ประเทศไทย"
ทุกสนามมีความแตกต่างกันทั้งทางสภาพภูมิศาสตร์ สภาพอากาศ
อย่างที่บอกค่ะ...แม้ประสบการณ์การไปสนามแข่งของ ออ.จะไม่ได้กว้างขวางนัก
แต่ละสนามที่ไปก็หลากหลายพอที่จะแยกแยะให้เข้าใจกันได้
สนามที่จัดดีเวอร์...ทุกอย่างเป๊ะ...เป็นระเบียบ...ครบ...ยิ่งใหญ่
ไปจนถึงสนามเล็กๆ...จริงใจ...อบอุ่น...วิ่งไปตามงบลงทุนที่มี...นักวิ่งต้องดูแลตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่
บางงานริบบิ้นนำทางผูกซะจนแอบคิดว่า "จะเอาใจนักวิ่งไปไหน เรียงกันเป็นแถวพริ้วไสวเหมือนวิ่งอยู่ในงานปีใหม่"
แต่บางงานนี่แทบไม่มีริบบิ้นเลย เรียกได้ว่า หลงทางจนเบื่อ หลงแล้วหลงอีก ทำอย่างกับเราเป็นเจ้าของพื้นที่ มีเรดาห์นำทางส่วนตัวงั้นแหละ
++++
ตามนั้นค่ะ
ธรรมชาติของงานที่ยิ่งใหญ่ มักจะไม่ได้รับบรรยากาศของความอบอุ่น แต่ทุกอย่างคือ
"มาตรฐาน"
เวลารับของ(เบอร์วิ่ง ชิพจับเวลา ฯลฯ)
ตรงเวลาเป๊ะ/ทีมงานมีระเบียบ/ใช้เวลาไม่นาน
งานExpo
มีหลากหลายแบรนด์ที่สนับสนุนมาเปิดบูธสินค้า เดินกันสนุกเลือกสรรสินค้าได้เสียทรัพย์กันถ้วนหน้า
Briefingชี้แจงรายละเอียดการแข่ง
สถานที่สะดวกสบายกว้างขวาง ตรงเวลา บรรยายได้ดีเพื่อนักวิ่งเข้าใจและปฎิบัติถูกต้องตามกฏกติกาที่สุด
จุด Start/Finish
ยิ่งใหญ่ อลังการงานสร้าง สมกับงานที่ผู้คนลงทุนเดินทางมาร่วมแข่งขันจากทั่วทุกมุมโลก
Check point
อาหาร น้ำ เกลือแร่พร้อม แต่ละจุดจะบอกนักวิ่งล่วงหน้าด้วยว่า พอวิ่งมาถึงมีอะไรบริการให้นักวิ่งบ้าง
Drop bag จุดฝากกระเป๋า
ให้นักวิ่งฝากกระเป๋าสัมภาระส่วนตัวก่อนstart แล้วทีมงานจะนำไปไว้ตามจุด CP ที่ระบุ กระเป๋าจะหาง่ายและปลอดภัย
(บางงานมีหลายจุด/บางงานมีจุดเดียว/บางงานไม่มีเลย แล้วแต่ระดับความโหด)
รถพยาบาล การรักษาความปลอดภัย
มีแทบจะทุก CP มียาทุกชนิด พยาบาลอยู่ดูแลตลอด ตามเส้นทางมีป้ายเตือนจุดระวังอันตรายไว้ชัดเจน
นี่คืองานใหญ่ มีมาตรฐาน ปัญหาต่างๆจึงเกิดขึ้นน้อยมากๆเมื่อเทียบกับงานขนาดเล็ก
แต่ใช่ว่า “งานเล็กๆ” จะแย่ไปซะทุกอย่างนะคะ (บางงาน ออ.เองกลับชอบเสียด้วยซ้ำ)
เวลารับของ(เบอร์วิ่ง ชิพจับเวลา ฯลฯ)
ไปถึงคนจัดยังนั่งงมๆกันอยู่ นักวิ่งรอแป๊ปนะ (แฮร่...)
งานExpo
ไม่มี ใครขาดอะไรก็ไปหาเอาเอง ซึ่งมีขายที่ไหนก็ไม่รู้ 5555
Briefingชี้แจงรายละเอียดการแข่ง
บางงานก็ไม่มี (บอกผ่าน website) บางงานก็นั่งถามกันง่ายๆวันรับเบอร์วิ่งนั่นแหละ
จุด Start/Finish
ป้ายไวนิลธรรมดา บอกว่าข้าคือจุด Start
จุดCheck point
มีขนมปังแห้งๆไม่กี่แผ่น แยมเหลวๆ เนยถั่วเฟะๆ น้ำเปล่า น้ำอัดลมบ้าง(ก็บุญละ)
Drop bag จุดฝากกระเป๋า
ไม่มีอ่ะ อยากใช้อะไรระหว่างทางบ้าง ก็แบกเองไปนะ T^T
รถพยาบาล การรักษาความปลอดภัย
มีบางจุด (แต่เราต้องพกยาเองติดตัวไว้อยู่แล้ว ชัวร์กว่าค่ะ)
ออ.ว่ามันก็น่ารักดี อบอุ่นดี นักวิ่งก็มีกันไม่กี่คน
ผู้จัดก็ลงมาคุยได้กับทุกคน เฮฮา เหมือนงานเล็กๆที่พวกเรามาวิ่งสังสรรค์
จะมีงานไหนที่ทั้ง
“สถานที่สวย...ปลอดภัย...ยิ่งใหญ่...แต่ยังคงอบอุ่น”
ออ.ยกให้งานนี้
"Tarawera Ultramarathon" ประเทศ New Zealand
มาทำความรู้จักสนามนี้กันค่ะ
2 กพ.ที่ผ่านมา ออ.เดินทางไปแข่งวิ่งระยะ 100 Kmที่งานนี้กับโค้ชด้วยการสนับสนุนจากทางเครื่องดื่มเกลือแร่ซันโว
เหตุผลที่เราไปเพราะสนามนี้เป็นสนามที่ขึ้นชื่อเรื่องความงามของธรรมชาติมาก
และอีกอย่างคือยังไม่เคยมีคนไทยร่วมลงแข่งขันเลยสักครั้ง
เราต้องเดินทางไปกันก่อนตั้งแต่คืนวันอังคารที่ 2 เพื่อไปปรับตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งในวันที่ 6 ที่จะมาถึง
การสมัคร การเดินทาง ที่พัก...ทุกอย่างโค้ชเป็นคนวางแผนและจัดการทั้งหมด
ออ.เองมีหน้าที่ฟังและเรียนรู้เพียงอย่างเดียว
จริงๆแล้วหลายงานที่ไปกันมา โค้ชก็จัดการทุกครั้ง
แต่งานนี้ ออ.สังเกตได้เลยว่า
โค้ชมีความสุขมากที่ได้เล่ารายละเอียดของงานให้ฟัง
ออ.รับรู้ได้ถึงความน่ารักของผู้จัดผ่านการเล่าของโค้ช
โค้ชบอกว่า...เค้าเขียนรายละเอียดใน Facebook Fan Page ของงานได้ตลกมาก
วิธีเดินทางมายังสถานที่แข่งให้ทำยังไง
(โบกๆรถข้างทางนะ บอกเค้าว่าจะมานี่ๆๆ ถ้าเค้าไปทางเดียวกันเค้าก็พาเรามาส่งเอง 5555)
เดินทางจากสนามบินมายังไง
ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
(ไว้ค่อยบอกนะ...ดูหน้างานก่อนวันแข่งละกันว่าจะให้เอาอุปกรณ์ไรไปบ้าง =*= )
เค้าอธิบายไว้ได้ชิลมาก สบายมาก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่างานนี้จะเป็นงานใหญ่ระดับ
Ultra trail world tour กันเลย
โค้ชเปิด Youtube งานแข่งนี้ให้ ออ.ดู
ออ.ถึงกับกรีดร้องและตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงวันเดินทางเลยล่ะค่ะ
มันสวยมากจริงๆ!!!
( รัชชี่ ... ออ ... โค้ชรอน คนไทย 3 คนที่ไปแข่งขัน ออกเดินทางพร้อมกันและเที่ยวบินเดียวกันค่ะ ^^ )
เราเดินทางคืนวันอังคารบินมาถึงNew Zealandวันพุธช่วงกลางวัน (ใช้เวลาเดินทางราวๆ 13 ชม. //เวลาที่นั่นอยู่หน้าประเทศไทย 6 ชม.)
มาถึง Auckland แล้วเราต้องต่อเครื่องเล็กเพื่อไปเมือง Rotorua ต่อ(ถ้าหากไม่ต่อเครื่องบิน เราสามารถนั่งรถบัสไปได้เช่นกัน โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ถึงRotoruaค่ะ)
Air New Zealand คือสายการบินเล็กที่เราเลือกใช้บริการบินต่อ เราเดินจากอาคารใหญ่ไปยังอาคารที่ใช้เดินทางภายในประเทศ
เดินไกลพอสมควร แต่ไม่มีทางหลงแน่นอนเพราะเค้าทำทางไว้ให้เดินได้ชัดเจน (แต่ก็มีบริการรถบัสรับ-ส่งเช่นกันค่ะ)
เดินมาถึงอาคารโดยสารภายในประเทศ ทุกอย่างเล็กและสะดวกสบาย เรา Check in ผ่านตู้ที่ตั้งเรียงรายอยู่
เอากระเป๋าไปโหลด และไปนั่งรถที่ lounge สักพักก่อนถึงเวลาบิน
นั่งเครื่องบินเล็ก เล็กจริงๆค่ะ มองเห็นห้องเครื่องเลยล่ะ
กัปตันทำหน้าที่เองทุกอย่าง ตั้งแต่ต้อนรับยันปิดประตู) ใช้เวลาประมาณ 40นาทีมาถึง
นั่งรถตู้ต่ออีกนิดหน่อยไปถึงโรงแรม
โรงแรมที่ ออ.พัก อยู่ติดกับ "Te Puia" สถานที่ท่องเที่ยวน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงของที่นี่เลยค่ะ
ใครมาถึง Rotorua ไม่เข้า Te Puia ถือว่ายังมาไม่ถึง ( 555 อันนี้ ออ.คิดเอง )
จากโรงแรมเรา มองออกไปก็เห็นน้ำพุร้อนพุ่งฟู่ๆอยู่ใกล้ๆเลย (สวยมากกกกก)
(นี่คือภาพที่ถ่ายจากข้างโรงแรมค่ะ)
ออ.มองหน้าโค้ช พยายามสื่อว่า
“อยากเข้าไป” 5555
โค้ชบอกว่าไม่ต้องห่วง เราได้เข้าไปแน่นอน เพราะว่าวันพฤหัสที่จะถึง
ทางงานแข่งจะให้พวกเราได้เข้าไปวิ่งเล่นข้างในกันฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย!!!!
กรี๊ดดดดดดดดดด..คือดีอะไรอย่างเน๊!!!!!
ค่าเข้าชม Te Puia ไม่ใช่น้อยๆเลยค่ะ
เริ่มต้นที่ 50 เหรียญไปจนเกือบ 200 เหรียญ (แล้วแต่กิจกรรมที่จะเข้าไปทำ)
นักวิ่งทุกคนจะได้เข้าไปวิ่งข้างในฟรีในเวลา 17:00 ของวันพฤหัส (ซึ่งสถานที่จะปิดแล้ว ก็จะเหลือแค่พวกเรานักวิ่งเท่านั้น!! คือดีงาม)
งั้นรอไปก่อนละกัน มองผ่านโรงแรมไปก่อน วันพฤหัสค่อยเข้าไปลัลล้าข้างใน
ที่ New Zealand ทุ่ม-สองทุ่มยังสว่างโล่ แถม ออ.กับโค้ชก็ยังปรับเวลาไม่ได้
สองสามทุ่มยังเดินออกจากโรงแรมไปSuper marketกันอยู่เลย
โค้ชบอกว่า ประเทศนี้ร้านค้าปิดไวนะ 17:00-18:00 ก็ปิดกันหมดแล้ว (ซึ่งก็จริง)
เราเดินจากโรงแรมเข้ามาในตัวเมืองประมาณ 2 Km ซึ่งพนักงานโรงแรมบอกแล้วบอกอีกว่าไม่ควรเดินค่ะ
มันไกลมากกก...เดินไม่ไหวหรอก
เค้าคงไม่รู้จักพวกนักวิ่งอัลตร้ามั้งว่า 2 กิโลนี่ถือว่าจิ๊บๆกันมาก ^^
บ้านเรือนที่เมืองนี้สังเกตดูไม่มีอาคารสูงเลยค่ะ มองออกไปเห็นภูเขาด้านหลังได้กว้างๆ
โล่งและสบายตามาก อากาศก็เย็นสบายดี ( ดึกๆมาหนาวพอสมควร )
เราเดินๆวิ่งๆไปตามทาง อากาศเย็นสบายไปในตัวเมืองเล็กๆที่ร้านรวงปิดไปแล้ว
เหลือเพียงร้านอาหารบางร้านที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่เท่านั้น
เดินเล่นสักพักก็ไปหามื้อเย็นทานกัน
นี่คือมื้อแรกของการมาถึงที่นี่ค่ะ
ร้านสเต็กที่เค้าบอกว่า เนื้อของเค้าอร่อยที่สุดแล้ว ... ออ สั่งไก่ทอด ส่วนโค้ชรอนสั่งเนื้อ
และสุดท้าย ... ออ ก็แย่งโค้ชทานไปตามระเบียบ
ก่อนกลับเราแวะไป Super market ที่เราเล็งไว้แล้วว่าปิดตอนเที่ยงคืน
Supermarket นั้นมีชื่อว่า“Countdown”
และหลังจากนั้น ...
ทุกวันเราสองคนก็ชอบชวนกันไป Countdown แม้จะไม่ใช่วันปีใหม่ก็ตาม
วันพุธผ่านไป เริ่มต้นใหม่เช้าวันพฤหัส
(วันนี้แล้วที่จะได้เข้า Te Puia) เย้เย~~
เช้าๆเราสองคนก็เข้าไปเดินเล่นในเมืองเช่นเคยค่ะ ในเมืองไม่มีอะไรมาก
ร้านค้าเปิดแล้ว แต่พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาไปแค่ร้านขายอุปกรณ์กีฬาวิ่ง
เท่าที่หาข้อมูล ก็มีเพียงไม่กี่ร้าน เราก็ไปซะหมดทุกร้าน ^___^
ร้านสุดท้ายอยู่ออกมาไกลจากตัวเมือง เราจึงต้องนั่งรถ bus เพื่อไปถึง
และร้านนั้นก็อยู่ใกล้จุด Start งานแข่ง นั่นคือ Redwoods, Whakarewarewa Forest
เราสองคนจึงไม่พลาดที่จะเดินเข้าไปบริเวณนั้นเพื่อแอบลองดูว่าเส้นทางคร่าวๆเป็นยังไง
สมใจพวกเราจริงๆค่ะ สวยงามมากกกกกกกกกก แทบจะอยากวิ่งกันวันนั้นเลย ><
แน่นอนค่ะ พวกเราวิ่งกันจริงๆ
นี่แค่จุด Start นะ...
100 Km ของวันพรุ่งนี้จะสวยงามขนาดไหน
"ชักจะรอไม่ไหวแล้วสิ"
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ... งดงามมากจริงๆค่ะ
❤ ไม่ว่าสนามจะเลือกฉันหรือไม่...แต่ฉันเลือกจะไปสนามนี้ ❤ "Tarawera Ultramarathon" New Zealand ✿
ยิ่งเป็น"นักวิ่งTrai"(นักวิ่งวิบากในป่า)ด้วยแล้ว
การได้ไปวิ่งในสถานที่สวยๆท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นั่นคือความใฝ่ฝันของพวกเราเลยล่ะค่ะ
อุ๊บอิ๊บเองก็เป็นนักวิ่งTrail แต่อาจไม่ใช่นักวิ่งที่มีโอกาสไปมาหลายสนามทั่วทุกมุมโลก
แต่อิ๊บว่าบางสนามที่อิ๊บไป ก็เป็นความฝันของนักวิ่งTrailบางคนอยู่เหมือนกัน
ฮ่องกง...ฟิลิปปินส์...มาเลเซีย...ญี่ปุ่น...เนปาล...หรือแม้แต่บ้านเราเอง "ประเทศไทย"
ทุกสนามมีความแตกต่างกันทั้งทางสภาพภูมิศาสตร์ สภาพอากาศ
อย่างที่บอกค่ะ...แม้ประสบการณ์การไปสนามแข่งของ ออ.จะไม่ได้กว้างขวางนัก
แต่ละสนามที่ไปก็หลากหลายพอที่จะแยกแยะให้เข้าใจกันได้
สนามที่จัดดีเวอร์...ทุกอย่างเป๊ะ...เป็นระเบียบ...ครบ...ยิ่งใหญ่
ไปจนถึงสนามเล็กๆ...จริงใจ...อบอุ่น...วิ่งไปตามงบลงทุนที่มี...นักวิ่งต้องดูแลตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่
บางงานริบบิ้นนำทางผูกซะจนแอบคิดว่า "จะเอาใจนักวิ่งไปไหน เรียงกันเป็นแถวพริ้วไสวเหมือนวิ่งอยู่ในงานปีใหม่"
แต่บางงานนี่แทบไม่มีริบบิ้นเลย เรียกได้ว่า หลงทางจนเบื่อ หลงแล้วหลงอีก ทำอย่างกับเราเป็นเจ้าของพื้นที่ มีเรดาห์นำทางส่วนตัวงั้นแหละ
++++
ตามนั้นค่ะ
ธรรมชาติของงานที่ยิ่งใหญ่ มักจะไม่ได้รับบรรยากาศของความอบอุ่น แต่ทุกอย่างคือ "มาตรฐาน"
เวลารับของ(เบอร์วิ่ง ชิพจับเวลา ฯลฯ)
ตรงเวลาเป๊ะ/ทีมงานมีระเบียบ/ใช้เวลาไม่นาน
งานExpo
มีหลากหลายแบรนด์ที่สนับสนุนมาเปิดบูธสินค้า เดินกันสนุกเลือกสรรสินค้าได้เสียทรัพย์กันถ้วนหน้า
Briefingชี้แจงรายละเอียดการแข่ง
สถานที่สะดวกสบายกว้างขวาง ตรงเวลา บรรยายได้ดีเพื่อนักวิ่งเข้าใจและปฎิบัติถูกต้องตามกฏกติกาที่สุด
จุด Start/Finish
ยิ่งใหญ่ อลังการงานสร้าง สมกับงานที่ผู้คนลงทุนเดินทางมาร่วมแข่งขันจากทั่วทุกมุมโลก
Check point
อาหาร น้ำ เกลือแร่พร้อม แต่ละจุดจะบอกนักวิ่งล่วงหน้าด้วยว่า พอวิ่งมาถึงมีอะไรบริการให้นักวิ่งบ้าง
Drop bag จุดฝากกระเป๋า
ให้นักวิ่งฝากกระเป๋าสัมภาระส่วนตัวก่อนstart แล้วทีมงานจะนำไปไว้ตามจุด CP ที่ระบุ กระเป๋าจะหาง่ายและปลอดภัย
(บางงานมีหลายจุด/บางงานมีจุดเดียว/บางงานไม่มีเลย แล้วแต่ระดับความโหด)
รถพยาบาล การรักษาความปลอดภัย
มีแทบจะทุก CP มียาทุกชนิด พยาบาลอยู่ดูแลตลอด ตามเส้นทางมีป้ายเตือนจุดระวังอันตรายไว้ชัดเจน
นี่คืองานใหญ่ มีมาตรฐาน ปัญหาต่างๆจึงเกิดขึ้นน้อยมากๆเมื่อเทียบกับงานขนาดเล็ก
แต่ใช่ว่า “งานเล็กๆ” จะแย่ไปซะทุกอย่างนะคะ (บางงาน ออ.เองกลับชอบเสียด้วยซ้ำ)
เวลารับของ(เบอร์วิ่ง ชิพจับเวลา ฯลฯ)
ไปถึงคนจัดยังนั่งงมๆกันอยู่ นักวิ่งรอแป๊ปนะ (แฮร่...)
งานExpo
ไม่มี ใครขาดอะไรก็ไปหาเอาเอง ซึ่งมีขายที่ไหนก็ไม่รู้ 5555
Briefingชี้แจงรายละเอียดการแข่ง
บางงานก็ไม่มี (บอกผ่าน website) บางงานก็นั่งถามกันง่ายๆวันรับเบอร์วิ่งนั่นแหละ
จุด Start/Finish
ป้ายไวนิลธรรมดา บอกว่าข้าคือจุด Start
จุดCheck point
มีขนมปังแห้งๆไม่กี่แผ่น แยมเหลวๆ เนยถั่วเฟะๆ น้ำเปล่า น้ำอัดลมบ้าง(ก็บุญละ)
Drop bag จุดฝากกระเป๋า
ไม่มีอ่ะ อยากใช้อะไรระหว่างทางบ้าง ก็แบกเองไปนะ T^T
รถพยาบาล การรักษาความปลอดภัย
มีบางจุด (แต่เราต้องพกยาเองติดตัวไว้อยู่แล้ว ชัวร์กว่าค่ะ)
ออ.ว่ามันก็น่ารักดี อบอุ่นดี นักวิ่งก็มีกันไม่กี่คน
ผู้จัดก็ลงมาคุยได้กับทุกคน เฮฮา เหมือนงานเล็กๆที่พวกเรามาวิ่งสังสรรค์
จะมีงานไหนที่ทั้ง “สถานที่สวย...ปลอดภัย...ยิ่งใหญ่...แต่ยังคงอบอุ่น”
ออ.ยกให้งานนี้
"Tarawera Ultramarathon" ประเทศ New Zealand
มาทำความรู้จักสนามนี้กันค่ะ
2 กพ.ที่ผ่านมา ออ.เดินทางไปแข่งวิ่งระยะ 100 Kmที่งานนี้กับโค้ชด้วยการสนับสนุนจากทางเครื่องดื่มเกลือแร่ซันโว
เหตุผลที่เราไปเพราะสนามนี้เป็นสนามที่ขึ้นชื่อเรื่องความงามของธรรมชาติมาก
และอีกอย่างคือยังไม่เคยมีคนไทยร่วมลงแข่งขันเลยสักครั้ง
เราต้องเดินทางไปกันก่อนตั้งแต่คืนวันอังคารที่ 2 เพื่อไปปรับตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งในวันที่ 6 ที่จะมาถึง
การสมัคร การเดินทาง ที่พัก...ทุกอย่างโค้ชเป็นคนวางแผนและจัดการทั้งหมด
ออ.เองมีหน้าที่ฟังและเรียนรู้เพียงอย่างเดียว
จริงๆแล้วหลายงานที่ไปกันมา โค้ชก็จัดการทุกครั้ง
แต่งานนี้ ออ.สังเกตได้เลยว่า โค้ชมีความสุขมากที่ได้เล่ารายละเอียดของงานให้ฟัง
ออ.รับรู้ได้ถึงความน่ารักของผู้จัดผ่านการเล่าของโค้ช
โค้ชบอกว่า...เค้าเขียนรายละเอียดใน Facebook Fan Page ของงานได้ตลกมาก
วิธีเดินทางมายังสถานที่แข่งให้ทำยังไง (โบกๆรถข้างทางนะ บอกเค้าว่าจะมานี่ๆๆ ถ้าเค้าไปทางเดียวกันเค้าก็พาเรามาส่งเอง 5555)
เดินทางจากสนามบินมายังไง
ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง (ไว้ค่อยบอกนะ...ดูหน้างานก่อนวันแข่งละกันว่าจะให้เอาอุปกรณ์ไรไปบ้าง =*= )
เค้าอธิบายไว้ได้ชิลมาก สบายมาก ซึ่งไม่น่าเชื่อว่างานนี้จะเป็นงานใหญ่ระดับ Ultra trail world tour กันเลย
โค้ชเปิด Youtube งานแข่งนี้ให้ ออ.ดู
ออ.ถึงกับกรีดร้องและตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงวันเดินทางเลยล่ะค่ะ
มันสวยมากจริงๆ!!!
( รัชชี่ ... ออ ... โค้ชรอน คนไทย 3 คนที่ไปแข่งขัน ออกเดินทางพร้อมกันและเที่ยวบินเดียวกันค่ะ ^^ )
เราเดินทางคืนวันอังคารบินมาถึงNew Zealandวันพุธช่วงกลางวัน (ใช้เวลาเดินทางราวๆ 13 ชม. //เวลาที่นั่นอยู่หน้าประเทศไทย 6 ชม.)
มาถึง Auckland แล้วเราต้องต่อเครื่องเล็กเพื่อไปเมือง Rotorua ต่อ(ถ้าหากไม่ต่อเครื่องบิน เราสามารถนั่งรถบัสไปได้เช่นกัน โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ถึงRotoruaค่ะ)
Air New Zealand คือสายการบินเล็กที่เราเลือกใช้บริการบินต่อ เราเดินจากอาคารใหญ่ไปยังอาคารที่ใช้เดินทางภายในประเทศ
เดินไกลพอสมควร แต่ไม่มีทางหลงแน่นอนเพราะเค้าทำทางไว้ให้เดินได้ชัดเจน (แต่ก็มีบริการรถบัสรับ-ส่งเช่นกันค่ะ)
เดินมาถึงอาคารโดยสารภายในประเทศ ทุกอย่างเล็กและสะดวกสบาย เรา Check in ผ่านตู้ที่ตั้งเรียงรายอยู่
เอากระเป๋าไปโหลด และไปนั่งรถที่ lounge สักพักก่อนถึงเวลาบิน
นั่งเครื่องบินเล็ก เล็กจริงๆค่ะ มองเห็นห้องเครื่องเลยล่ะ
กัปตันทำหน้าที่เองทุกอย่าง ตั้งแต่ต้อนรับยันปิดประตู) ใช้เวลาประมาณ 40นาทีมาถึง
นั่งรถตู้ต่ออีกนิดหน่อยไปถึงโรงแรม
โรงแรมที่ ออ.พัก อยู่ติดกับ "Te Puia" สถานที่ท่องเที่ยวน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงของที่นี่เลยค่ะ
ใครมาถึง Rotorua ไม่เข้า Te Puia ถือว่ายังมาไม่ถึง ( 555 อันนี้ ออ.คิดเอง )
จากโรงแรมเรา มองออกไปก็เห็นน้ำพุร้อนพุ่งฟู่ๆอยู่ใกล้ๆเลย (สวยมากกกกก)
(นี่คือภาพที่ถ่ายจากข้างโรงแรมค่ะ)
ออ.มองหน้าโค้ช พยายามสื่อว่า “อยากเข้าไป” 5555
โค้ชบอกว่าไม่ต้องห่วง เราได้เข้าไปแน่นอน เพราะว่าวันพฤหัสที่จะถึง
ทางงานแข่งจะให้พวกเราได้เข้าไปวิ่งเล่นข้างในกันฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย!!!!
กรี๊ดดดดดดดดดด..คือดีอะไรอย่างเน๊!!!!!
ค่าเข้าชม Te Puia ไม่ใช่น้อยๆเลยค่ะ
เริ่มต้นที่ 50 เหรียญไปจนเกือบ 200 เหรียญ (แล้วแต่กิจกรรมที่จะเข้าไปทำ)
นักวิ่งทุกคนจะได้เข้าไปวิ่งข้างในฟรีในเวลา 17:00 ของวันพฤหัส (ซึ่งสถานที่จะปิดแล้ว ก็จะเหลือแค่พวกเรานักวิ่งเท่านั้น!! คือดีงาม)
งั้นรอไปก่อนละกัน มองผ่านโรงแรมไปก่อน วันพฤหัสค่อยเข้าไปลัลล้าข้างใน
ที่ New Zealand ทุ่ม-สองทุ่มยังสว่างโล่ แถม ออ.กับโค้ชก็ยังปรับเวลาไม่ได้
สองสามทุ่มยังเดินออกจากโรงแรมไปSuper marketกันอยู่เลย
โค้ชบอกว่า ประเทศนี้ร้านค้าปิดไวนะ 17:00-18:00 ก็ปิดกันหมดแล้ว (ซึ่งก็จริง)
เราเดินจากโรงแรมเข้ามาในตัวเมืองประมาณ 2 Km ซึ่งพนักงานโรงแรมบอกแล้วบอกอีกว่าไม่ควรเดินค่ะ มันไกลมากกก...เดินไม่ไหวหรอก
เค้าคงไม่รู้จักพวกนักวิ่งอัลตร้ามั้งว่า 2 กิโลนี่ถือว่าจิ๊บๆกันมาก ^^
บ้านเรือนที่เมืองนี้สังเกตดูไม่มีอาคารสูงเลยค่ะ มองออกไปเห็นภูเขาด้านหลังได้กว้างๆ
โล่งและสบายตามาก อากาศก็เย็นสบายดี ( ดึกๆมาหนาวพอสมควร )
เราเดินๆวิ่งๆไปตามทาง อากาศเย็นสบายไปในตัวเมืองเล็กๆที่ร้านรวงปิดไปแล้ว
เหลือเพียงร้านอาหารบางร้านที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่เท่านั้น
เดินเล่นสักพักก็ไปหามื้อเย็นทานกัน
นี่คือมื้อแรกของการมาถึงที่นี่ค่ะ
ร้านสเต็กที่เค้าบอกว่า เนื้อของเค้าอร่อยที่สุดแล้ว ... ออ สั่งไก่ทอด ส่วนโค้ชรอนสั่งเนื้อ
และสุดท้าย ... ออ ก็แย่งโค้ชทานไปตามระเบียบ
ก่อนกลับเราแวะไป Super market ที่เราเล็งไว้แล้วว่าปิดตอนเที่ยงคืน
Supermarket นั้นมีชื่อว่า“Countdown”
และหลังจากนั้น ... ทุกวันเราสองคนก็ชอบชวนกันไป Countdown แม้จะไม่ใช่วันปีใหม่ก็ตาม
วันพุธผ่านไป เริ่มต้นใหม่เช้าวันพฤหัส (วันนี้แล้วที่จะได้เข้า Te Puia) เย้เย~~
เช้าๆเราสองคนก็เข้าไปเดินเล่นในเมืองเช่นเคยค่ะ ในเมืองไม่มีอะไรมาก
ร้านค้าเปิดแล้ว แต่พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาไปแค่ร้านขายอุปกรณ์กีฬาวิ่ง
เท่าที่หาข้อมูล ก็มีเพียงไม่กี่ร้าน เราก็ไปซะหมดทุกร้าน ^___^
ร้านสุดท้ายอยู่ออกมาไกลจากตัวเมือง เราจึงต้องนั่งรถ bus เพื่อไปถึง
และร้านนั้นก็อยู่ใกล้จุด Start งานแข่ง นั่นคือ Redwoods, Whakarewarewa Forest
เราสองคนจึงไม่พลาดที่จะเดินเข้าไปบริเวณนั้นเพื่อแอบลองดูว่าเส้นทางคร่าวๆเป็นยังไง
สมใจพวกเราจริงๆค่ะ สวยงามมากกกกกกกกกก แทบจะอยากวิ่งกันวันนั้นเลย ><
แน่นอนค่ะ พวกเราวิ่งกันจริงๆ
นี่แค่จุด Start นะ...
100 Km ของวันพรุ่งนี้จะสวยงามขนาดไหน
"ชักจะรอไม่ไหวแล้วสิ"
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ... งดงามมากจริงๆค่ะ