คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
http://haamor.com/th/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%99/
ยาแอมเฟตามีน (Amphetamine) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลางหรือสมองถูกนำมา ใช้บำบัดโรคสมาธิสั้น (Attention deficit hyperactiviry disorder) และโรคลมหลับ (Narcolepsy) ยานี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) และพัฒนาเป็นยาแผนปัจจุบันในเวลาต่อมา โดยมีรูปแบบของ ยารับประทาน ยาพ่นจมูก ยาเหน็บทวาร และยาฉีด
มีการนำยาแอมเฟตามีนมาใช้ผิดวัตถุประสงค์เช่น ใช้กระตุ้นสมองให้ตื่นตัวและเพิ่มระยะเวลาทำงานได้ยาวนานขึ้น การใช้ยาดังกล่าวส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต เกิดการติดยา นอก จากนี้ยังแสดงฤทธิ์และส่งผลเสียต่อระบบประสาทเช่น มีอาการสับสน การตอบสนองต่อสิ่งเร้าผิดปกติ เกิดอาการชักกระตุก มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ไม่เพียงเท่านี้ ยานี้ยังอาจส่งผลต่อระบบการทำงานของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่ำหรือสูง หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะขัด ปวดเบ่งเวลาปัสสาวะ ฯลฯ ปัจจุบันจึงมีการรณรงค์และออกกฎหมายเรื่องการใช้ยาแอมเฟตามีนอย่างผิดวัตถุ ประสงค์ ซึ่งผู้บริโภคต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจไม่ทดลองหรือเชื่อคำแนะนำจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่แนะ นำให้ใช้ยานี้
จากการศึกษาเรื่องการกระจายตัวของยานี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายพบว่า แอมเฟตามีนจะดูดซึมยาจากทางเดินอาหารได้ประมาณ 75 - 100% เมื่อยาเข้าสู่กระแสเลือดจะเข้าจับกับพลาสมาโปรตีน 15 - 40% และต้องใช้เวลาในการกำจัดยา 50% ออกจากร่างกายในประมาณ 9 - 14 ชั่วโมง โดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะ
ปัจจุบันแอมเฟตามีนถูกคณะกรรมการอาหารและยาของไทยระบุให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ประเทศไทยจึงไม่มีการผลิตยานี้ แต่ในแถบอเมริกากำหนดให้ยาแอมเฟตามีนเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องมีใบสั่งจากแพทย์เท่านั้นจึงจะซื้อได้ ส่วนในแถบเอเชียมีบางประเทศที่ระงับการใช้ยานี้ แล้วเช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
http://www.hfocus.org/content/2012/06/508
สารตั้งต้นที่นำมาผลิตยาบ้า-ยาไอซ์ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน คือ ซูโดอีเฟดรีน เพราะลักษณะโครงสร้างโมเลกุลใกล้เคียงกัน กระบวนการผลิตจึงค่อนข้างง่ายในการเปลี่ยนซูโดอีเฟดรีนเป็นเมทแอมเฟตามีน
นอกจากซูโดอีเฟดรีน ยังมีสารเคมีอีกหลายตัวที่สามารถนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเมทแอมเฟตามีนปรากฏรายชื่อตามบัญชีหมายเลข 1 ท้าย "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดให้โทษ และวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2531"ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญานี้เมื่อวันที่3 พ.ค. 2545
ในกระบวนการผลิตสารเสพติดนี้ ยังมีสารเคมีตัวอื่นที่จำเป็นต้องนำไปใช้ร่วมปรากฏตามบัญชี2 ท้ายอนุสัญญาดังกล่าว ได้แก่ อะซีโตน เอทิลอีเทอร์ กรดเกลือ กรดกำมะถัน กรดฟีนิลแอซีติกและโทลูอีน (ที่เกิดไฟไหม้โรงงานที่ระยองเมื่อต้นเดือน พ.ค.นี้)
สารเคมีต่างๆ ตามบัญชีทั้งสองนี้ คือ สารเคมีที่ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด แต่มีปัญหาคือสารเหล่านี้มีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นทั้งในทางการแพทย์และการอุตสาหกรรม ทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก เพราะหากควบคุมเข้มงวดมากก็จะกระทบต่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยสุจริตและถึงมีมาตรการควบคุมเข้มงวดอย่างไร ขบวนการค้ายาเสพติดก็หารูรั่วได้เสมอ
สำหรับซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญแต่เดิมใช้เป็นยาลดอาการบวมของเยื่อบุจมูกและโพรงจมูก จึงนำไปใช้มากในโรคหวัดซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อย ยานี้มีการนำไปใช้ในรูปยาเดี่ยวและยาสูตรผสม
ในประเทศไทย แม้จะมีมาตรการควบคุมทั้งตัวยาและยาสูตรผสมเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆแต่ควบคุมได้ไม่หมด ดังกรณีที่เป็นข่าวครึกโครมในช่วงที่ผ่านมานี้
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดมาตรการควบคุมให้ยาแก้หวัดหรือยาอื่นที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น โดยหวังว่าระบบโรงพยาบาลซึ่งของรัฐมีมาตรการควบคุมโดยระเบียบวินัยของทางราชการ และโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติสถานพยาบาล นอกจากนั้นยังมีระบบการควบคุมทางวิชาชีพโดยแพทยสภาและสภาเภสัชกรรม แต่มาตรการเหล่านั้นทั้งหมดก็มีรูรั่วจนได้
แน่นอนว่า การสั่งซื้อยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนจำนวนมาก แล้วนำไปขายต่อ คงไม่นำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นนอกจากนำไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้า-ยาไอซ์ เพราะกรรมวิธีการละลายตัวยาซูโดอีเฟดรีนจากยาสูตรผสมทำได้ง่ายมาก ใช้ตัวทำละลายที่มีขายทั่วไป เขย่าให้ตกตะกอนแล้วนำตะกอนไปทำให้ระเหย จะได้ตัวยาซูโดอีเฟดรีนถึงร้อยละ 95 ของตัวยาที่มีอยู่ในเม็ดยาทั้งหมด
การนำซูโดอีเฟดรีนไปผลิตเป็นเมทแอมเฟตามีนก็ทำได้ไม่ยาก มีวิธีการต่างๆ เท่าที่ฝ่ายปราบปรามโดยเฉพาะในสหรัฐพบมีถึง 6 วิธี การควบคุมป้องกันจึงทำได้ยาก เพราะจะต้องสกัดสารตั้งต้นและสารอื่นๆให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นเรื่องยากเข้าตำรา "โปลิศไล่จับขโมย"ซึ่งย่อมจับได้บางส่วนเท่านั้น
ในสหรัฐช่วงทศวรรษ 1990 พบว่าเส้นทางยาบ้าส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเม็กซิโกและมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 2538 มลรัฐอินดีแอนาจับกุมห้องแล็บผลิตยาบ้าได้ 6 แห่ง แต่พอถึงปี 2546 เข้าทำลายห้องแล็บผลิตยาบ้าได้ถึง1,260 แห่ง
สะท้อนชัดเจนว่า กรรมวิธีการผลิตยาบ้าทำได้ง่ายและทำกันอย่างกว้างขวางมาก แม้ในสหรัฐซึ่งกลไกรัฐถือว่าเข้มแข็งมากก็ตาม
กรรมวิธีการสกัดตัวยาซูโดอีเฟดรีนออกจากยาสูตรผสมแก้หวัด และกรรมวิธีการผลิตยาบ้าจากซูโดอีเฟดรีนทำได้ไม่ยาก สามารถทำได้ในห้องแล็บเล็กๆ (Kitchen Lab) รายละเอียดกรรมวิธีเหล่านี้มีการเผยแพร่กว้างขวางในอินเทอร์เน็ต
แต่น่าสังเกตว่าเมื่อปี2539 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศฉบับที่ 97 ให้จัดให้ยาแก้หวัดสูตรผสมที่มีซูโดอีเฟดรีนอยู่ด้วย มีสถานภาพเป็นยา (เพื่อมิให้ต้องถูกควบคุมเข้มงวดถ้ามีสถานภาพเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท)
โดยครั้งนั้นมีการให้เหตุผลว่า การสกัดตัวยาซูโดอีเฟดรีนออกจากยาสูตรผสมทำไม่ได้ ฝ่ายกฎหมายจึงยอมให้ยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมมีสถานภาพเป็นยาได้ ตามข้อยกเว้นในกฎหมาย ยาดังกล่าวจึงสามารถผลิตและจำหน่ายได้อย่างกว้างขวาง
น่าจะมีการตรวจสอบว่าการออกประกาศครั้งนั้น เป็นไปโดยเขลา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเหตุอื่นเพราะบัดนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าการสกัดตัวยาซูโดอีเฟดรีนออกจากสูตรยาแก้หวัด ทำได้ และทำได้ค่อนข้างง่ายด้วย
ยาแอมเฟตามีน (Amphetamine) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลางหรือสมองถูกนำมา ใช้บำบัดโรคสมาธิสั้น (Attention deficit hyperactiviry disorder) และโรคลมหลับ (Narcolepsy) ยานี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430) และพัฒนาเป็นยาแผนปัจจุบันในเวลาต่อมา โดยมีรูปแบบของ ยารับประทาน ยาพ่นจมูก ยาเหน็บทวาร และยาฉีด
มีการนำยาแอมเฟตามีนมาใช้ผิดวัตถุประสงค์เช่น ใช้กระตุ้นสมองให้ตื่นตัวและเพิ่มระยะเวลาทำงานได้ยาวนานขึ้น การใช้ยาดังกล่าวส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต เกิดการติดยา นอก จากนี้ยังแสดงฤทธิ์และส่งผลเสียต่อระบบประสาทเช่น มีอาการสับสน การตอบสนองต่อสิ่งเร้าผิดปกติ เกิดอาการชักกระตุก มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ไม่เพียงเท่านี้ ยานี้ยังอาจส่งผลต่อระบบการทำงานของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่ำหรือสูง หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะขัด ปวดเบ่งเวลาปัสสาวะ ฯลฯ ปัจจุบันจึงมีการรณรงค์และออกกฎหมายเรื่องการใช้ยาแอมเฟตามีนอย่างผิดวัตถุ ประสงค์ ซึ่งผู้บริโภคต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจไม่ทดลองหรือเชื่อคำแนะนำจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่แนะ นำให้ใช้ยานี้
จากการศึกษาเรื่องการกระจายตัวของยานี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายพบว่า แอมเฟตามีนจะดูดซึมยาจากทางเดินอาหารได้ประมาณ 75 - 100% เมื่อยาเข้าสู่กระแสเลือดจะเข้าจับกับพลาสมาโปรตีน 15 - 40% และต้องใช้เวลาในการกำจัดยา 50% ออกจากร่างกายในประมาณ 9 - 14 ชั่วโมง โดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะ
ปัจจุบันแอมเฟตามีนถูกคณะกรรมการอาหารและยาของไทยระบุให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ประเทศไทยจึงไม่มีการผลิตยานี้ แต่ในแถบอเมริกากำหนดให้ยาแอมเฟตามีนเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องมีใบสั่งจากแพทย์เท่านั้นจึงจะซื้อได้ ส่วนในแถบเอเชียมีบางประเทศที่ระงับการใช้ยานี้ แล้วเช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
http://www.hfocus.org/content/2012/06/508
สารตั้งต้นที่นำมาผลิตยาบ้า-ยาไอซ์ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน คือ ซูโดอีเฟดรีน เพราะลักษณะโครงสร้างโมเลกุลใกล้เคียงกัน กระบวนการผลิตจึงค่อนข้างง่ายในการเปลี่ยนซูโดอีเฟดรีนเป็นเมทแอมเฟตามีน
นอกจากซูโดอีเฟดรีน ยังมีสารเคมีอีกหลายตัวที่สามารถนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเมทแอมเฟตามีนปรากฏรายชื่อตามบัญชีหมายเลข 1 ท้าย "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดให้โทษ และวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2531"ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญานี้เมื่อวันที่3 พ.ค. 2545
ในกระบวนการผลิตสารเสพติดนี้ ยังมีสารเคมีตัวอื่นที่จำเป็นต้องนำไปใช้ร่วมปรากฏตามบัญชี2 ท้ายอนุสัญญาดังกล่าว ได้แก่ อะซีโตน เอทิลอีเทอร์ กรดเกลือ กรดกำมะถัน กรดฟีนิลแอซีติกและโทลูอีน (ที่เกิดไฟไหม้โรงงานที่ระยองเมื่อต้นเดือน พ.ค.นี้)
สารเคมีต่างๆ ตามบัญชีทั้งสองนี้ คือ สารเคมีที่ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด แต่มีปัญหาคือสารเหล่านี้มีการนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นทั้งในทางการแพทย์และการอุตสาหกรรม ทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก เพราะหากควบคุมเข้มงวดมากก็จะกระทบต่อการนำไปใช้ประโยชน์โดยสุจริตและถึงมีมาตรการควบคุมเข้มงวดอย่างไร ขบวนการค้ายาเสพติดก็หารูรั่วได้เสมอ
สำหรับซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญแต่เดิมใช้เป็นยาลดอาการบวมของเยื่อบุจมูกและโพรงจมูก จึงนำไปใช้มากในโรคหวัดซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อย ยานี้มีการนำไปใช้ในรูปยาเดี่ยวและยาสูตรผสม
ในประเทศไทย แม้จะมีมาตรการควบคุมทั้งตัวยาและยาสูตรผสมเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆแต่ควบคุมได้ไม่หมด ดังกรณีที่เป็นข่าวครึกโครมในช่วงที่ผ่านมานี้
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดมาตรการควบคุมให้ยาแก้หวัดหรือยาอื่นที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น โดยหวังว่าระบบโรงพยาบาลซึ่งของรัฐมีมาตรการควบคุมโดยระเบียบวินัยของทางราชการ และโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติสถานพยาบาล นอกจากนั้นยังมีระบบการควบคุมทางวิชาชีพโดยแพทยสภาและสภาเภสัชกรรม แต่มาตรการเหล่านั้นทั้งหมดก็มีรูรั่วจนได้
แน่นอนว่า การสั่งซื้อยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนจำนวนมาก แล้วนำไปขายต่อ คงไม่นำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นนอกจากนำไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้า-ยาไอซ์ เพราะกรรมวิธีการละลายตัวยาซูโดอีเฟดรีนจากยาสูตรผสมทำได้ง่ายมาก ใช้ตัวทำละลายที่มีขายทั่วไป เขย่าให้ตกตะกอนแล้วนำตะกอนไปทำให้ระเหย จะได้ตัวยาซูโดอีเฟดรีนถึงร้อยละ 95 ของตัวยาที่มีอยู่ในเม็ดยาทั้งหมด
การนำซูโดอีเฟดรีนไปผลิตเป็นเมทแอมเฟตามีนก็ทำได้ไม่ยาก มีวิธีการต่างๆ เท่าที่ฝ่ายปราบปรามโดยเฉพาะในสหรัฐพบมีถึง 6 วิธี การควบคุมป้องกันจึงทำได้ยาก เพราะจะต้องสกัดสารตั้งต้นและสารอื่นๆให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นเรื่องยากเข้าตำรา "โปลิศไล่จับขโมย"ซึ่งย่อมจับได้บางส่วนเท่านั้น
ในสหรัฐช่วงทศวรรษ 1990 พบว่าเส้นทางยาบ้าส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเม็กซิโกและมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 2538 มลรัฐอินดีแอนาจับกุมห้องแล็บผลิตยาบ้าได้ 6 แห่ง แต่พอถึงปี 2546 เข้าทำลายห้องแล็บผลิตยาบ้าได้ถึง1,260 แห่ง
สะท้อนชัดเจนว่า กรรมวิธีการผลิตยาบ้าทำได้ง่ายและทำกันอย่างกว้างขวางมาก แม้ในสหรัฐซึ่งกลไกรัฐถือว่าเข้มแข็งมากก็ตาม
กรรมวิธีการสกัดตัวยาซูโดอีเฟดรีนออกจากยาสูตรผสมแก้หวัด และกรรมวิธีการผลิตยาบ้าจากซูโดอีเฟดรีนทำได้ไม่ยาก สามารถทำได้ในห้องแล็บเล็กๆ (Kitchen Lab) รายละเอียดกรรมวิธีเหล่านี้มีการเผยแพร่กว้างขวางในอินเทอร์เน็ต
แต่น่าสังเกตว่าเมื่อปี2539 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศฉบับที่ 97 ให้จัดให้ยาแก้หวัดสูตรผสมที่มีซูโดอีเฟดรีนอยู่ด้วย มีสถานภาพเป็นยา (เพื่อมิให้ต้องถูกควบคุมเข้มงวดถ้ามีสถานภาพเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท)
โดยครั้งนั้นมีการให้เหตุผลว่า การสกัดตัวยาซูโดอีเฟดรีนออกจากยาสูตรผสมทำไม่ได้ ฝ่ายกฎหมายจึงยอมให้ยาแก้หวัดที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมมีสถานภาพเป็นยาได้ ตามข้อยกเว้นในกฎหมาย ยาดังกล่าวจึงสามารถผลิตและจำหน่ายได้อย่างกว้างขวาง
น่าจะมีการตรวจสอบว่าการออกประกาศครั้งนั้น เป็นไปโดยเขลา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเหตุอื่นเพราะบัดนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าการสกัดตัวยาซูโดอีเฟดรีนออกจากสูตรยาแก้หวัด ทำได้ และทำได้ค่อนข้างง่ายด้วย
แสดงความคิดเห็น
สงสัยเรื่องยาบ้าครับ
สารประกอบ"เมทแอมเฟตามีน"เนี่ยที่เป็นส่วนประกอบหลัก ที่มีผลต่อระบบประสาท
แล้วเขาไปหาซื้อที่ไหนมาผลิต วัตถุดิบมาหาง่ายมากเลยหรอ ถึงมีโรงงานผลิต
มันต้องหาวัตถุดิบ หรืออุปกรณ์มาสร้างเครื่องผลิต งั้นก็แสดงว่าคนทั่วๆไปสามารถหาวัตถุดิบตามตลาดขายของทั่วมาทำเองได้เลยหรอ
โดยที่ไม่มีใครมาสงสัยได้ ขอแค่มีความรู้ ใช่ไหมครับ
ถ้าคนเรียนเอกเคมี คงตอบผมได้ ผมอยากรู้จริงๆครับ ขอบคุณครับ
ผมถามเพราะผมไม่ชอบ อยากรู้ว่าทำไมมันไม่หมดไป