เหลโหล้วววววว ชาวพันทิป เรานั่งว่างๆ ดูรูปเก่าๆ ก็คิดถึงหนึ่งในทริปที่ประทับใจในฟามทรงจำเก่าๆ ทริปบุกบ้านเพื่อนที่นครศรีธรรมราช เลยอยากมาเขียนแบ่งปัน ชาวพันทิปกันนะคะ
ที่มาของทริปนี้คือเพื่อนเราคนหนึ่ง เป็นคนนครศรีธรรมราช เรารู้จักนางมาตั้งแต่สมัยเด็กน้อย เพราะนางมาเรียนหนังสือกรุงเทพ พอนางเรียนจบ นางกลับไปทำงานที่บ้าน นางเหงา นางไม่ได้เจอเพื่อนนาน นางเลยชวนชาวเราไปเที่ยวบ้านนาง ด้วยความเป็นเพื่อนที่แสนดีของเรา เพื่อนชวนมา เราก็ต้องไป รวบรวมชาวแก๊ง นักเที่ยว นักถ่ายรูป รวมกัน 5 หน่อ มีวันหยุด 3 วันพอดี พวกเราเลยจองตั๋ว แพ็กกระเป๋า ละออกเดินทาง บุกบ้านเพื่อนเลยข่าาา
เนื่องจากทริปนี้เราไม่ได้มีเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ขับรถไปแน่นอน นั่งเครื่องบินสิรออะไร สายการบินที่เราเลือกในครั้งนี้คือ ไทยไลอ้อนแอร์ ไม่มีอะไรมากค่ะ ถูกที่สุดนั่นเอง 555 ไปกลับ ตกอยู่คนละ 1600 บาทค่ะ (คือเราจองกันกระชั้นนิดนึง แต่จริงๆ ถ้าวางแผนกันนานกว่านี้มีราคาโปรมาเพียบ ใครโชคดีอาจได้ราคาถูกกว่านี้นะ) เดินทางแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ กำลังจะหลับๆ อ้าวถึงพอดี เร็วมากๆ 55555
พอไปถึงสนามบิน เราก็รีบติดต่อเพื่อนเลย เพื่อนบอกว่ากำลังจะถึงแล้ว สำหรับใครที่นั่งเครื่องมาเราแนะนำให้เช่ารถนะ เพราะไม่งั้นจะไปไหนมาไหนยังไง แท๊กซี่ไม่มีให้โบกนะเออ แต่เพื่อนเราบอกนะว่าสำหรับสายการบินนกแอร์ กับแอร์เอเชียเค้าจะมีบริการรถรับส่งพาเข้าเมืองนครฯด้วย โดยราคาก็รวมไปกับค่าตั๋วเครื่องบินไปเลย ยังไงเพื่อนๆก็ลองหาข้อมูลการเดินทางดีๆกันก่อนจองตั๋วเครื่องบินแล้วกันนะ
ระหว่างที่เรารอเพื่อนมารับ เราก็แวะกินโกปี๊รองท้องกันก่อนค่ะ เป็นร้านโกปี๊สาขาเล็กๆ อยู่ในแอร์พอร์ท โกปี๊ เป็นภาษาจีนที่แปลว่า Coffee หรือว่ากาแฟ มาใต้ทั้งที ก็ต้องแวะกินกาแฟ จิบน้ำชากันสักหน่อย เล็กๆน้อยๆสำหรับใครจะสั่งเครื่องดื่ม รสชาติค่อนข้างติดหวาน ถ้าใครไม่ชอบทานหวานจัด แนะนำให้บอกพนักงานตอนสั่งด้วยนะคะ จะหวานน้อย หวานน๊อยน้อย หรือหวานน้อยสุดๆ ก็ว่าไป (เพราะส่วนใหญ่ได้มาก็หวานอยู่ดีนะ ฮ่าๆๆๆ)
โอ้โหยยยยย นึกว่าฮันนี่โทสแถวบ้าน
ไม่นานเพื่อนก็มา ทักทายกันพอหายคิดถึง ก็ลุยกันเลยยยย การมาเที่ยวตามคำชวนของเพื่อน โดยมีเพื่อนเป็นเจ้าบ้านนั้น มันช่างดีจริงๆ เพราะนอกจากเราจะให้นางมารับถึงที่แล้ว นางยังอาสาแพลนทุกอย่างไว้ให้เราหมดแล้วด้วย (นี่เพื่อนอาสา หรือว่าเราใช้เพื่อนกันแน่ 555555 ไม่นะ เพื่อนเต็มใจช่วยเราจริงๆ 55555)
เพื่อนบอกว่าเดี๋ยววันนี้จะยังไม่ได้เข้าเมืองหรือไปทะเลนะ แต่จะพาเข้าป่า พบเจอธรรมชาติและจะไปล่องห่วงยางกัน เราก็นึกภาพไปถึงพวกล่องแก่งแบบในสี่แพร่งที่เค้าเล่นกันแล้วคว่ำตาย เอ้ยไม่ใช่ 5555555 เราถามเพื่อนว่าล่องห่วงยางนี่เป็นไง เพื่อนก็บอก ว่ามันก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่อยู่นครฯ มาตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยเล่นมาก่อน 5555 แล้วที่ๆมันจะไปวันนี้มันก็ไม่เคยไปเหมือนกันนะ ไปเปิดประสบการณ์ครั้งแรกพร้อมกันเลย โอเครจร้าาา เป็นไงเป็นกัน
เพื่อนพาขับรถแบบแลดูเข้าป่ามาก วิวเมืองเริ่มหาย ภูเขาต้นไม้เริ่มเยอะ ฟีลการผจญภัยเริ่มมา เรากำลังมุ่งหน้าไปยังอำเภอพรมคีรี ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 20 กม.ระหว่างทางเพื่อนชวนหยุดแวะกินข้าวเที่ยงเราเลยได้แวะกินส้มตำกัน ส้มตำร้านนี้พิเศษตรงที่เป็นร้านส้มตำที่อยู่ติดกับน้ำตกเลย คือกินส้มตำไปก็มีวิวน้ำตกอยู่ข้างๆงี้เลย เกร๋ๆอะ น้ำตกนี้ชื่อว่าน้ำตกพรหมโลก ระหว่างรออาหารมา ทุกคนก็หยิบกล้องไปถ่ายรูปฆ่าเวลากันเพลินๆ อากาศเย็นๆ สบายๆ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติและเป็นส่วนตัวขนาดนี้ รู้สึกดีไปอีกแบบจริงๆ
เดินทางมาเหนื่อยๆ ประเดิมอาหารมื้อแรกอย่างเป็นทางการของทริปนี้ พวกเราเลยจัดเต็มกันเลยค่ะ เมนูมีดังนี้
ส้มตำไข่เค็ม ส้มตำมะพร้าวอ่อน น้ำตกหมู ไก่ย่าง ต้มแซ่บหมู ข้าวเหนียว ขนมจีน เฉลี่ยแล้วคนละประมาณ 100 บาทเท่านั้นค่ะ อิ่มแปร้ มีแรงไปเที่ยวต่อ มาชมภาพกันเลยยยย
หลังจากโซ้ยส้มตำเสร็จ ก็มีพี่อุ๊มารับเราบอกจะพาไปล่องห่วงยาง พี่อุ๊เป็นเพื่อนของเพื่อนเรา พี่เค้าเป็นคนเท่ๆ เรียนจบที่กรุงเทพ แล้วก็ตัดสินใจกลับบ้าน มารับช่วงทำสวนผลไม้ต่อจากที่บ้าน แล้วก็รู้สึกว่า Belong to the wild หง่อวววว เท่เด้อค่าาา เมื่อมีเจ้าถิ่นเป็นไกด์ให้ ทริปเราจึงสุดค่ะ สุด เริ่มจากที่พัก คือบอกตรงๆ ไม่ได้เตรียมใจว่าเพื่อนจะพามานอนอะไรแบบนี้เลย เป็นบ้านไม้ เล็กๆ โอเพ่นแอร์ กางมุ้งนอนแค่นั้นเอง บอกเลย super duper close to the nature เหมือนเราตัดขาดจากความสุขสบายในชีวิตกรุง และได้มาพบความสงบกลางป่าของจริง
ตอนกลางคืน ก็มีไฟอยู่ไม่กี่ดวง มีปลั๊ก เสียบแบตชาร์จแบตได้ แต่ไม่แน่ใจว่าไฟเข้าหรือเปล่า แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะได้ใช้เวลากับเพื่อนตรงหน้า มีความสุขกับสิ่งที่ทำ
พี่บ่าว หรือ เจ้าของบ้าน เป็นนักเดินป่า อยู่กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติเขาหลวง (เขาหลวง เป็นหนึ่งในยอดเขาที่เขาว่ากันว่าโหดที่สุดในประเทศไทย) บ้านพักนี้ พี่บ่าวสร้างขึ้นเพื่อให้เพื่อนนักเดินป่ามาค้างแรมก่อนเข้าป่า บรรยากาศเลยออกมาเป็นส่วนตัวมาก เป็นกันเอง ไม่มีจองใน booking.com หรือ agoda นะ มีแต่ปากต่อปากเท่านั้น
หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปล่องห่วงยางกัน ก่อนจะออกไปจากที่พัก พี่อุ๊ก็ยื่น Welcome Drink มาให้ เป็นเหล้าข้าว เหล้าป่าต้นตำรับ เรียกได้ว่า เข้าถึงอารมณ์บ้านกลางป่าสุดๆไปเลย เราจัดกันคนละกรึ๊บ แล้วก็ขึ้นรถกระบะเดินทางไปล่องห่วงยางกัน
ห่วงยางที่ไว้ล่องก็จะเป็นห่วงยางสีดำ อันใหญ่ๆ วิธีล่องคือเหมือนเรานอนไปบนห่วงยาง หย่อนตูดลงไปในห่วงแบบนั้นแหละ คือเรานึกถึงเวลาไปเล่นสวนน้ำ ที่เรานอนบนห่วงยางหย่อนตูด สบายๆ แล้วค่อยๆลอยไปตามน้ำ แต่อันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นนะ มันไม่ได้ชิวๆ ไหลเอื่อยๆ แต่มันไหลแรงแล้วมันมาก 5555 ก่อนที่เราจะล่อง พี่อุ๊ก็จะสอนก่อนว่า พยายามอย่าเอามือยื่นออกไปนอกห่วงยางนะ แล้วก็ให้พยายามแอ่นตูดไว้ด้วยเพราะตูดอาจจะกระแทกหินได้ เราก็โอเค เข้าใจ พร้อมแล้ว อยากล่องห่วงยางแล้ว พอปล่อยตัวไปเท่านั้นแหละ โป๊กกก!!!! โอ้ยยยย ตูดกระแทกหิน ยังไม่ทันไรเลย โอ้ยยย คือเจ็บ คือตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าที่ให้แอ่นตูดต้องทำไง ตอนนี้คือเข้าใจละ คือเราจะหย่อนตูดไปเยอะๆไม่ได้ เราต้องพยายามแอ่นไม่ให้ตูดเรามันเลยขอบห่วงยางลงไป นึกออกมั้ยอะ 555555 หลังจากนั้นเราก็พยายามตั้งสติ คอยเซฟตัวเอง ไม่อยากกระแทกหินแล้ว 5555 คือมันสนุกมากเลยนะ มันทำให้เรานึกถึงเวลาเราไปเที่ยวสวนน้ำ แล้วลื่นห่วงยางบนสไลด์เดอร์ แต่อันนี้มันเจ๋งตรงที่ว่าทุกอย่างมันเกิดจากธรรมชาติโดยทั้งหมดเลย มันสนุกมากเลยว่าห่วงยางเราไปชนหินแล้วมันทำให้ห่วงยางเราหมุน เปลี่ยนทิศทางบ้าง แล้วน้ำก็ค่อนข้างไหลแรง บางครั้งก็เสียวเหมือนกัน มีคว่ำบ้างกันเป็นบางครั้ง แต่ทั้งหมดที่เราเล่นกันนี้ จะมีพี่มาช่วยดูอยู่ตลอด คอยช่วยเวลาเราคว่ำ ช่วยดึงเราเวลาเราติดกับพุ่มไม้ เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องห่วงเลย แต่พูดถึงเราก็ต้องคอยเซฟตัวเองด้วยเหมือนกัน คอยดูหิน สังเกต ตลอดเวลา แล้วก็ต้องอย่าลืมที่จะแอ่นตูด เราโดนหินกระแทกตูดเยอะสุดเลย 5555 สรุปเราล่องห่วงยางกันไป 2 รอบ บอกตรงๆว่าสนุก แต่ขาเราแอบช้ำเลย เพราะกระแทกหิน ถ้าใครมาเล่นก็ระวังกันนิดนึงแล้วกันนะ แต่รับรองว่าสนุกจริงๆ
ล่องห่วงยางเสร็จ พี่อุ๊ก็ชวนเราไปเที่ยวน้ำตกพรหมโลก หรือว่าต้นสายของสายน้ำที่เราเพิ่งล่องกันไป เว่อวังอลังการมากมาย ทั้งความเชี่ยวของน้ำตก และ ความกว้างใหญ่ของสายน้ำ
เสร็จแล้ว เราก็กลับมา อาบน้ำกันเรียบร้อย เพื่อนบางคนก็เดินไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้ๆ เพราะห้องน้ำมีแค่ห้องเดียว close to nature สุดๆ มื้อเย็น เค้าก็มีอาหารให้เราทาน ออกจะแนวอาหารท้องถิ่น น่าจะหาทานยากอยู่ รสชาดอาจจะไม่ค่อยคุ้นปาก แต่ก็ทานได้นะ หลังจากทานเสร็จเราก็นั่งเม้าท์ต่อกันยาวเลย แต่จะนอนดึกมากไม่ได้เพราะพรุ่งนี้เราต้องรีบตื่นกันแต่เช้า เพราะเรามีโปรแกรมชมทะเลหมอกแต่เช้ามืดเลย
เช้าวันที่สอง เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี4 อ่านไม่ผิดค่ะ ตี4จริงจริ๊ง เป้าหมายของเช้านี้คือการได้เห็นทะเลหมอกเต็มๆตา ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าจะพาไปดูทะเลหมอก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าภาคใต้ก็มีทะเลหมอกด้วย เราเข้าใจว่าต้องไปภาคเหนือภาคอีสานถึงจะมี(คือคิดไปเองล้วนๆ) เราก็ตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยเห็นทะเลหมอกมาก่อน มาถึงจุดนี้แล้ว ตี4 ก็ตี4เถอะค่ะ ลุยยยยย
จุดที่เราไปชมทะเลหมอกกันนั้นเรียกว่า “จุดชมทะเลหมอกกรุงชิง” ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอนบพิตำ
พี่อุ๊เป็นไกด์ให้เราเช่นเดิม มากันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง มีเพียงแสงไฟฉายส่องทางเดินเรียงกันไปจากที่จอดรถ ขึ้นไปถึงจุดชมวิวใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ ไม่ไกลนะ แต่ทางมันมืดและต้องเดินระวังทางหน่อย อากาศก็ชื้นๆ เย็นๆ พอขึ้นไปถึงจุดชมวิว เราก็เดินสำรวจ หาที่ทางเตรียมถ่ายรูปกัน จากนั้นก็รอ รอค่ะ แล้วก็รอ รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น และเผยภาพทะเลหมอก ทั้งรอทั้งลุ้นในเวลาเดียวกัน แต่เราไม่ได้รอกันแบบน่าเบื่อนะ พี่อุ๊เค้าเอาไก่ทอดข้าวเหนียว และกาแฟมาให้กินบนนี้ด้วย ฟินสุดๆ 55555 คือดีงามมาก ณ จุดนั้น อากาศเย็นสบาย สดชื่น จิบกาแฟร้อนๆ เปิบข้าวเหนียวไก่อร่อยๆ กับเพื่อนดีๆ จนเวลาผ่านไป พระอาทิตย์ขึ้น สรุป เราก็ไม่ได้เห็นทะเลหมอกแบบชัดๆ ...เศร้าแพพ แต่วิวก็สวยอยู่ดีนะ อากาศดี แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว
เมื่อเราดูทะเลหมอก จางๆ และควันเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปขนอม หรือ บ้านเพื่อนของเรานั่นเอง แต่เพราะเมื่อเช้าเราตื่นกันเช้ามากกกกกกก ทุกคนจึงร้องเรียกหากาแฟ เพื่อนเราเลยแวะ “ขนอมEspresso” ร้านน่ารักเป็นกันเอง กาแฟอร่อย ลาเต้อาร์ตงามตา
[CR] ☆*:.。. รีวิวทริปแบกเป้ หิ้วกล้อง ไปท่องเมืองคอน (ทริป 3 วัน 2 คืน ที่ฉันตื่นมากลางธรรมชาติ) .。.:*☆
เหลโหล้วววววว ชาวพันทิป เรานั่งว่างๆ ดูรูปเก่าๆ ก็คิดถึงหนึ่งในทริปที่ประทับใจในฟามทรงจำเก่าๆ ทริปบุกบ้านเพื่อนที่นครศรีธรรมราช เลยอยากมาเขียนแบ่งปัน ชาวพันทิปกันนะคะ
ที่มาของทริปนี้คือเพื่อนเราคนหนึ่ง เป็นคนนครศรีธรรมราช เรารู้จักนางมาตั้งแต่สมัยเด็กน้อย เพราะนางมาเรียนหนังสือกรุงเทพ พอนางเรียนจบ นางกลับไปทำงานที่บ้าน นางเหงา นางไม่ได้เจอเพื่อนนาน นางเลยชวนชาวเราไปเที่ยวบ้านนาง ด้วยความเป็นเพื่อนที่แสนดีของเรา เพื่อนชวนมา เราก็ต้องไป รวบรวมชาวแก๊ง นักเที่ยว นักถ่ายรูป รวมกัน 5 หน่อ มีวันหยุด 3 วันพอดี พวกเราเลยจองตั๋ว แพ็กกระเป๋า ละออกเดินทาง บุกบ้านเพื่อนเลยข่าาา
เนื่องจากทริปนี้เราไม่ได้มีเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ขับรถไปแน่นอน นั่งเครื่องบินสิรออะไร สายการบินที่เราเลือกในครั้งนี้คือ ไทยไลอ้อนแอร์ ไม่มีอะไรมากค่ะ ถูกที่สุดนั่นเอง 555 ไปกลับ ตกอยู่คนละ 1600 บาทค่ะ (คือเราจองกันกระชั้นนิดนึง แต่จริงๆ ถ้าวางแผนกันนานกว่านี้มีราคาโปรมาเพียบ ใครโชคดีอาจได้ราคาถูกกว่านี้นะ) เดินทางแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ กำลังจะหลับๆ อ้าวถึงพอดี เร็วมากๆ 55555
พอไปถึงสนามบิน เราก็รีบติดต่อเพื่อนเลย เพื่อนบอกว่ากำลังจะถึงแล้ว สำหรับใครที่นั่งเครื่องมาเราแนะนำให้เช่ารถนะ เพราะไม่งั้นจะไปไหนมาไหนยังไง แท๊กซี่ไม่มีให้โบกนะเออ แต่เพื่อนเราบอกนะว่าสำหรับสายการบินนกแอร์ กับแอร์เอเชียเค้าจะมีบริการรถรับส่งพาเข้าเมืองนครฯด้วย โดยราคาก็รวมไปกับค่าตั๋วเครื่องบินไปเลย ยังไงเพื่อนๆก็ลองหาข้อมูลการเดินทางดีๆกันก่อนจองตั๋วเครื่องบินแล้วกันนะ
ระหว่างที่เรารอเพื่อนมารับ เราก็แวะกินโกปี๊รองท้องกันก่อนค่ะ เป็นร้านโกปี๊สาขาเล็กๆ อยู่ในแอร์พอร์ท โกปี๊ เป็นภาษาจีนที่แปลว่า Coffee หรือว่ากาแฟ มาใต้ทั้งที ก็ต้องแวะกินกาแฟ จิบน้ำชากันสักหน่อย เล็กๆน้อยๆสำหรับใครจะสั่งเครื่องดื่ม รสชาติค่อนข้างติดหวาน ถ้าใครไม่ชอบทานหวานจัด แนะนำให้บอกพนักงานตอนสั่งด้วยนะคะ จะหวานน้อย หวานน๊อยน้อย หรือหวานน้อยสุดๆ ก็ว่าไป (เพราะส่วนใหญ่ได้มาก็หวานอยู่ดีนะ ฮ่าๆๆๆ)
โอ้โหยยยยย นึกว่าฮันนี่โทสแถวบ้าน
ไม่นานเพื่อนก็มา ทักทายกันพอหายคิดถึง ก็ลุยกันเลยยยย การมาเที่ยวตามคำชวนของเพื่อน โดยมีเพื่อนเป็นเจ้าบ้านนั้น มันช่างดีจริงๆ เพราะนอกจากเราจะให้นางมารับถึงที่แล้ว นางยังอาสาแพลนทุกอย่างไว้ให้เราหมดแล้วด้วย (นี่เพื่อนอาสา หรือว่าเราใช้เพื่อนกันแน่ 555555 ไม่นะ เพื่อนเต็มใจช่วยเราจริงๆ 55555)
เพื่อนบอกว่าเดี๋ยววันนี้จะยังไม่ได้เข้าเมืองหรือไปทะเลนะ แต่จะพาเข้าป่า พบเจอธรรมชาติและจะไปล่องห่วงยางกัน เราก็นึกภาพไปถึงพวกล่องแก่งแบบในสี่แพร่งที่เค้าเล่นกันแล้วคว่ำตาย เอ้ยไม่ใช่ 5555555 เราถามเพื่อนว่าล่องห่วงยางนี่เป็นไง เพื่อนก็บอก ว่ามันก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่อยู่นครฯ มาตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยเล่นมาก่อน 5555 แล้วที่ๆมันจะไปวันนี้มันก็ไม่เคยไปเหมือนกันนะ ไปเปิดประสบการณ์ครั้งแรกพร้อมกันเลย โอเครจร้าาา เป็นไงเป็นกัน
เพื่อนพาขับรถแบบแลดูเข้าป่ามาก วิวเมืองเริ่มหาย ภูเขาต้นไม้เริ่มเยอะ ฟีลการผจญภัยเริ่มมา เรากำลังมุ่งหน้าไปยังอำเภอพรมคีรี ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 20 กม.ระหว่างทางเพื่อนชวนหยุดแวะกินข้าวเที่ยงเราเลยได้แวะกินส้มตำกัน ส้มตำร้านนี้พิเศษตรงที่เป็นร้านส้มตำที่อยู่ติดกับน้ำตกเลย คือกินส้มตำไปก็มีวิวน้ำตกอยู่ข้างๆงี้เลย เกร๋ๆอะ น้ำตกนี้ชื่อว่าน้ำตกพรหมโลก ระหว่างรออาหารมา ทุกคนก็หยิบกล้องไปถ่ายรูปฆ่าเวลากันเพลินๆ อากาศเย็นๆ สบายๆ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติและเป็นส่วนตัวขนาดนี้ รู้สึกดีไปอีกแบบจริงๆ
เดินทางมาเหนื่อยๆ ประเดิมอาหารมื้อแรกอย่างเป็นทางการของทริปนี้ พวกเราเลยจัดเต็มกันเลยค่ะ เมนูมีดังนี้
ส้มตำไข่เค็ม ส้มตำมะพร้าวอ่อน น้ำตกหมู ไก่ย่าง ต้มแซ่บหมู ข้าวเหนียว ขนมจีน เฉลี่ยแล้วคนละประมาณ 100 บาทเท่านั้นค่ะ อิ่มแปร้ มีแรงไปเที่ยวต่อ มาชมภาพกันเลยยยย
หลังจากโซ้ยส้มตำเสร็จ ก็มีพี่อุ๊มารับเราบอกจะพาไปล่องห่วงยาง พี่อุ๊เป็นเพื่อนของเพื่อนเรา พี่เค้าเป็นคนเท่ๆ เรียนจบที่กรุงเทพ แล้วก็ตัดสินใจกลับบ้าน มารับช่วงทำสวนผลไม้ต่อจากที่บ้าน แล้วก็รู้สึกว่า Belong to the wild หง่อวววว เท่เด้อค่าาา เมื่อมีเจ้าถิ่นเป็นไกด์ให้ ทริปเราจึงสุดค่ะ สุด เริ่มจากที่พัก คือบอกตรงๆ ไม่ได้เตรียมใจว่าเพื่อนจะพามานอนอะไรแบบนี้เลย เป็นบ้านไม้ เล็กๆ โอเพ่นแอร์ กางมุ้งนอนแค่นั้นเอง บอกเลย super duper close to the nature เหมือนเราตัดขาดจากความสุขสบายในชีวิตกรุง และได้มาพบความสงบกลางป่าของจริง
ตอนกลางคืน ก็มีไฟอยู่ไม่กี่ดวง มีปลั๊ก เสียบแบตชาร์จแบตได้ แต่ไม่แน่ใจว่าไฟเข้าหรือเปล่า แต่ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะได้ใช้เวลากับเพื่อนตรงหน้า มีความสุขกับสิ่งที่ทำ
พี่บ่าว หรือ เจ้าของบ้าน เป็นนักเดินป่า อยู่กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติเขาหลวง (เขาหลวง เป็นหนึ่งในยอดเขาที่เขาว่ากันว่าโหดที่สุดในประเทศไทย) บ้านพักนี้ พี่บ่าวสร้างขึ้นเพื่อให้เพื่อนนักเดินป่ามาค้างแรมก่อนเข้าป่า บรรยากาศเลยออกมาเป็นส่วนตัวมาก เป็นกันเอง ไม่มีจองใน booking.com หรือ agoda นะ มีแต่ปากต่อปากเท่านั้น
หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปล่องห่วงยางกัน ก่อนจะออกไปจากที่พัก พี่อุ๊ก็ยื่น Welcome Drink มาให้ เป็นเหล้าข้าว เหล้าป่าต้นตำรับ เรียกได้ว่า เข้าถึงอารมณ์บ้านกลางป่าสุดๆไปเลย เราจัดกันคนละกรึ๊บ แล้วก็ขึ้นรถกระบะเดินทางไปล่องห่วงยางกัน
ห่วงยางที่ไว้ล่องก็จะเป็นห่วงยางสีดำ อันใหญ่ๆ วิธีล่องคือเหมือนเรานอนไปบนห่วงยาง หย่อนตูดลงไปในห่วงแบบนั้นแหละ คือเรานึกถึงเวลาไปเล่นสวนน้ำ ที่เรานอนบนห่วงยางหย่อนตูด สบายๆ แล้วค่อยๆลอยไปตามน้ำ แต่อันนี้มันไม่ใช่แบบนั้นนะ มันไม่ได้ชิวๆ ไหลเอื่อยๆ แต่มันไหลแรงแล้วมันมาก 5555 ก่อนที่เราจะล่อง พี่อุ๊ก็จะสอนก่อนว่า พยายามอย่าเอามือยื่นออกไปนอกห่วงยางนะ แล้วก็ให้พยายามแอ่นตูดไว้ด้วยเพราะตูดอาจจะกระแทกหินได้ เราก็โอเค เข้าใจ พร้อมแล้ว อยากล่องห่วงยางแล้ว พอปล่อยตัวไปเท่านั้นแหละ โป๊กกก!!!! โอ้ยยยย ตูดกระแทกหิน ยังไม่ทันไรเลย โอ้ยยย คือเจ็บ คือตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าที่ให้แอ่นตูดต้องทำไง ตอนนี้คือเข้าใจละ คือเราจะหย่อนตูดไปเยอะๆไม่ได้ เราต้องพยายามแอ่นไม่ให้ตูดเรามันเลยขอบห่วงยางลงไป นึกออกมั้ยอะ 555555 หลังจากนั้นเราก็พยายามตั้งสติ คอยเซฟตัวเอง ไม่อยากกระแทกหินแล้ว 5555 คือมันสนุกมากเลยนะ มันทำให้เรานึกถึงเวลาเราไปเที่ยวสวนน้ำ แล้วลื่นห่วงยางบนสไลด์เดอร์ แต่อันนี้มันเจ๋งตรงที่ว่าทุกอย่างมันเกิดจากธรรมชาติโดยทั้งหมดเลย มันสนุกมากเลยว่าห่วงยางเราไปชนหินแล้วมันทำให้ห่วงยางเราหมุน เปลี่ยนทิศทางบ้าง แล้วน้ำก็ค่อนข้างไหลแรง บางครั้งก็เสียวเหมือนกัน มีคว่ำบ้างกันเป็นบางครั้ง แต่ทั้งหมดที่เราเล่นกันนี้ จะมีพี่มาช่วยดูอยู่ตลอด คอยช่วยเวลาเราคว่ำ ช่วยดึงเราเวลาเราติดกับพุ่มไม้ เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องห่วงเลย แต่พูดถึงเราก็ต้องคอยเซฟตัวเองด้วยเหมือนกัน คอยดูหิน สังเกต ตลอดเวลา แล้วก็ต้องอย่าลืมที่จะแอ่นตูด เราโดนหินกระแทกตูดเยอะสุดเลย 5555 สรุปเราล่องห่วงยางกันไป 2 รอบ บอกตรงๆว่าสนุก แต่ขาเราแอบช้ำเลย เพราะกระแทกหิน ถ้าใครมาเล่นก็ระวังกันนิดนึงแล้วกันนะ แต่รับรองว่าสนุกจริงๆ
ล่องห่วงยางเสร็จ พี่อุ๊ก็ชวนเราไปเที่ยวน้ำตกพรหมโลก หรือว่าต้นสายของสายน้ำที่เราเพิ่งล่องกันไป เว่อวังอลังการมากมาย ทั้งความเชี่ยวของน้ำตก และ ความกว้างใหญ่ของสายน้ำ
เสร็จแล้ว เราก็กลับมา อาบน้ำกันเรียบร้อย เพื่อนบางคนก็เดินไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้ๆ เพราะห้องน้ำมีแค่ห้องเดียว close to nature สุดๆ มื้อเย็น เค้าก็มีอาหารให้เราทาน ออกจะแนวอาหารท้องถิ่น น่าจะหาทานยากอยู่ รสชาดอาจจะไม่ค่อยคุ้นปาก แต่ก็ทานได้นะ หลังจากทานเสร็จเราก็นั่งเม้าท์ต่อกันยาวเลย แต่จะนอนดึกมากไม่ได้เพราะพรุ่งนี้เราต้องรีบตื่นกันแต่เช้า เพราะเรามีโปรแกรมชมทะเลหมอกแต่เช้ามืดเลย
เช้าวันที่สอง เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี4 อ่านไม่ผิดค่ะ ตี4จริงจริ๊ง เป้าหมายของเช้านี้คือการได้เห็นทะเลหมอกเต็มๆตา ตอนแรกที่เพื่อนบอกว่าจะพาไปดูทะเลหมอก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าภาคใต้ก็มีทะเลหมอกด้วย เราเข้าใจว่าต้องไปภาคเหนือภาคอีสานถึงจะมี(คือคิดไปเองล้วนๆ) เราก็ตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยเห็นทะเลหมอกมาก่อน มาถึงจุดนี้แล้ว ตี4 ก็ตี4เถอะค่ะ ลุยยยยย
จุดที่เราไปชมทะเลหมอกกันนั้นเรียกว่า “จุดชมทะเลหมอกกรุงชิง” ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอนบพิตำ
พี่อุ๊เป็นไกด์ให้เราเช่นเดิม มากันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง มีเพียงแสงไฟฉายส่องทางเดินเรียงกันไปจากที่จอดรถ ขึ้นไปถึงจุดชมวิวใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ ไม่ไกลนะ แต่ทางมันมืดและต้องเดินระวังทางหน่อย อากาศก็ชื้นๆ เย็นๆ พอขึ้นไปถึงจุดชมวิว เราก็เดินสำรวจ หาที่ทางเตรียมถ่ายรูปกัน จากนั้นก็รอ รอค่ะ แล้วก็รอ รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น และเผยภาพทะเลหมอก ทั้งรอทั้งลุ้นในเวลาเดียวกัน แต่เราไม่ได้รอกันแบบน่าเบื่อนะ พี่อุ๊เค้าเอาไก่ทอดข้าวเหนียว และกาแฟมาให้กินบนนี้ด้วย ฟินสุดๆ 55555 คือดีงามมาก ณ จุดนั้น อากาศเย็นสบาย สดชื่น จิบกาแฟร้อนๆ เปิบข้าวเหนียวไก่อร่อยๆ กับเพื่อนดีๆ จนเวลาผ่านไป พระอาทิตย์ขึ้น สรุป เราก็ไม่ได้เห็นทะเลหมอกแบบชัดๆ ...เศร้าแพพ แต่วิวก็สวยอยู่ดีนะ อากาศดี แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว
เมื่อเราดูทะเลหมอก จางๆ และควันเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปขนอม หรือ บ้านเพื่อนของเรานั่นเอง แต่เพราะเมื่อเช้าเราตื่นกันเช้ามากกกกกกก ทุกคนจึงร้องเรียกหากาแฟ เพื่อนเราเลยแวะ “ขนอมEspresso” ร้านน่ารักเป็นกันเอง กาแฟอร่อย ลาเต้อาร์ตงามตา