สวัสดีคะ
ก่อนอื่นขอแชร์เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางจักรยาน (แม่บ้าน) แบบมีตะกร้าหน้าของเรา พอดีไปเที่ยวพักร้อนที่รีสอร์ทชื่อดังที่เกาะพยาม จ. ระนอง
ซึ่งเราได้นำจักรยานที่ทางรีสอร์ทให้บริการแก่นักท่องเที่ยวมาถีบเล่น โดยเรียบไปทางทะเลปกติซึ่งจะมีวัดอยู่ริมทะเล ก่อนหน้าเราเคยอยากตั้งเป็นกระทู้เตือนเพื่อนๆเพื่อเป็นวิทยาทานแด่เพื่อนๆที่จะไปเที่ยวให้ระมัดระวัง เนินที่ว่านี้จะอยู่ก่อนอนามัยเกาะพยาม ซึ่งมองอาจไม่สูงแต่จริงหลอกตาคะ ไม่มีป้ายเตือนใดๆว่าห้ามจักรยาน ปกติคนท้องที่ก็จะขับมอเตอร์ไซด์กัน แต่ว่าประเด็นคือ เราอาจไม่ชำนาญทางพอขี่จักรยานลงมาเราไม่ได้ปั่นเลยนะ แค่ปล่อยไหลมันเริ่มไหลลงเนินเร็วมากและเราพยายามหยุดทั้งใช้เท้าและบีบเบรคไม่ช่วยเลยคะ เวลาแค่เสี้ยวนาทีเห็นโค้งหักศอกข้างหน้าและมองไปก็เห็นเนินลาดลงไปอีก เราตัดสินใจแหกโค้งเพราะไม่รู้ว่าถ้าลงไปอีกเราจะไปประสานงานกับรถอะไรที่สวนขึ้นมาไหม จักรยานเราลงมาด้วยความเร้วและล้มลง ขาขวาเข่าเราฟาดลงอย่างแรงด้วยความเร็วของทางลาด ตัวเรากลิ้งออกมาแผลขูดลึกกับถนนปูนทั้งตัว ด้านขวาจะเป็นแผลลึกเปิดทั้งแถบ ส่วนขาเราเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันที และเข่าก็บิดออกผิดรูปขา มีมอเตอร์ไซด์มาช่วยเรา อาการเราคงหนักเพราะทุกคนพากันไปเรียกผู้ช่วยที่อนามัยมาดูเรา แล้วก็หอบเราขึ้นมอเตอร์ไซด์ไปอนามัยอย่างทุลักทุเร
อนามัยไม่มีหมอและไม่มียาแก้ปวดนอกจากพารา เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เรา ซึ่งเรารู้สึกว่าคนที่ช่วยเราก็จะเป็นเหมือนพยายาลจะไม่ใช่หมอ แต่พี่เขาจะมีการโทรแจ้งอาการกับหมอที่ไหนจะไม่ทราบแต่แกจะพูดตลอดว่าคุณหมอให้ทำแบบนั้นแบบนี้ เลยถามพี่พยาบาลดูแกบอกว่าเนินนี้มีนักท่องเที่ยวมาล้มหลายท่านเราโชคดีมากที่กระดูกไม่ทิ่มออกมา เพราะไม่อย่างนั้นต้องเรียกเรือตำรวจน้ำมารับเราออกจากเกาะทันทีไม่งั้นอาจเสียเลือดจนถึงชีวิตได้ ส่วนเราแค่หักตอนนั้นไม่รู้ว่าหักแค่ไหนบ้าง ก็ใช้ไม้ดามไว้ และล้างแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้น เราปวดมากที่สุดในชีวิตน้ำตาไหลพรากตลอดเวลาเราไม่สามารถออกจากเกาะได้เนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝนและมีพายุ ไม่มีเรื่อเสี่ยงกล้าออกต้องรอเช้าอย่างเดียว อุบัติเหตุตั้งแต่ 5 โมงเย็นเรานอนทนปวดถึงเช้า 8 โมงได้ออกจากเกาะ เรานอนที่อนามัยไร้ยาแก้ปวด แรงสุดแค่ยาแก้ปวดธรรมดาแบบฉีดๆไปไม่รู้สึกหายปวดเลย ทรมานสุดๆคะ ทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่ที่เป็นอาสาบนเกาะมาช่วยเคลื่อนย้ายเราลงเรือ พี่พยาบาลที่อนามัย และผู้จัดการรีสอร์ทชื่อดังที่ช่วยเหลือเราคอยหาข้าวมาส่งที่อนามัย หาผ้าห่มและพยายามช่วยเหลือ อุส่าหยุดไปพักร้อนเข้าเชคอินไม่ถึงชั่วโมงก็ประสบอุบัติเหตุ ไม่ทันได้เที่ยวชมทะเลสวยงามเลย เราอยากขอให้อุบัติเหตุที่เกิดที่เกาะพยาม ตรงเนินนี้เกิดกับเราเป็นคนสุดท้ายและขอเตือนทุกท่านที่ไปเที่ยวที่เกาะให้ระมัดระวังเนินนี้ เราตั้งใจว่าหากเราเดินได้จะกลับไปที่เกาะพยามอีกครั้ง และตั้งใจจะทำป้ายเตือนให้ระวังทางลาด เพราะความเจ็บขาหักครั้งนี้สาหัสจริงๆสำหรับเรา ใครไปที่เกาะพยามก็ระมัดระวังนะคะ หวังว่าเรื่องของเราจะช่วยเป็นอุทาหรณ์เตือนคะ
เข้าเรื่องเลยคือหลังจากประสบเหตุ เราให้รถพยาบาลมารับเราจาก กทม เพราะ รพ. ระนองเองไม่มีรถรพ. เครื่องมือสามารถรักษาเราได้จึงต้องกลับมารักษา กทม เครื่องบินก็กลับไม่ได้เพราะเราต้องนอนยืดขาและให้น้ำเกลือไปตลอด ก้ใช้เวลาเดินทางจากเกาะมาถึงที่ กทม ก็ 2 วัน พอมา ทำสแกน ก็พบว่ากระดูกช่วงรองรับเข่าเราป่นและหักเป็นปากฉลามที่หน้าแข้งและเป็นกระดูกป่น ทั้งหน้าแข้งด้านหน้าและหลัง เราต้องใช้เหล็กพิเศษหมอจึงผ่าตัดให้เราได้เร็วสุดเที่ยงอีกวัน เพื่อรอสั่งเหล็ก ผ่าตัดใส่เหล็กไปเสร็จหมอก็แมคเอาไม่ได้เย็บ ต้องล้างแผลทุกวัน แผลเราหนองไหลมา 2 อาทิตย์แต่หมอไล่เราบอกต้องกลับบ้านได้แล้วให้มาล้างแผลที่ รพ.เอาทุกวัน ทั้งที่เราว่าเราอาการไม่ดีขึ้น ปวดแผล หนองซึมเปียกทำไมให้เรากลับบ้าน เราก็งงไปตามระเบียบแต่ก็ต้องกลับทั้งที่ขออยู่ต่อ จนเราไปล้างแผล รพ. อื่นแถวบางนาใกล้บ้านปรากฏว่าหมอบอกเราติดเชื้อที่กระดูกต้องรีบจัดการไม่งั้นถ้าเชื้อเข้าไปที่กระดูกเราแย่แน่ คราวนี้เราก็รีบกลับไป รพ หมอที่ผ่าเรา หมอผ่าเข้าผ่าตัดไปกรีดแผลและล้างแผลตัดเนื้อยุ่ยๆเอาหนองไปเพาะเชื้อ ก็พบว่าเราติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนึง จึงให้หมอยาด้านฆ่าเชื้อมาจัดยาให้เราโดยตรง จริงๆถ้าหมอระวังให้เราแต่แรกควรอัดยาฆ่าเชื้อตอนผ่าตัดใส่เหล็กเราคงไม่แย่ขนาดนี้ ไม่จบหลังจาก 1 อาทิตย์แผลไม่ยอมปิดต้องผ่าตัดอีกรอบ เพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าทางปากแผลที่ไม่ยอมปิด โดยให้หมอศัลยกรรมมาปิดแผล โดยโกยเนื้อที่น่องมาเย็บปิด ขูดเนื้อตายทิ้ง ตัดเนื้อยุ่ยๆทิ้งจนขาเราจะแหว่งไปตรงใต้หัวเข่า ผ่าตัดครั้งนี้เราเจาะคอให้ยาฆ่าเชื้อทางเส้นเลือดใหญ่เพราะแขนไม่มีพื้นที่ให้เจาะคะ ยาแรงและแสบมาก ทรมานสุดๆ ตอนนั้นยกขาเองก็ไม่ได้ ต้องพาดไว้ที่หมอนขยับไม่ได้ พอหลังผ่ากายภาพก็เริ่มเข้ามาให้เราลงเดินแต่ลำบากมากจริงๆคะ แค่ยกขาให้ลอยเหนือพื้นนิดนึงยังยาก ไม่น่าเชื่อเลย ขาหนักเหมือนเป็น 100 กิโลแต่ก็ต้องกายภาพเบาๆไป
ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนจากการรักษาทั้งหมด เราต้องเริ่มลงเดินด้วย walker จากนั้นก็ไม้ค้ำยันเราไปกายภาพๆ รพ.ก็จับเราหัดเดิน หาว่าสำออยคือช่วง 3-4 เดือนเรายังเจ็บไม่สามารถเดินแบบไม่เกาะอะไรได้ ทำกายภาพก็ไม่ได้แบบที่นักกายภาพคาดหวังคือเราเจ็บจริงๆ เราก็จะถูกนักกายภาพต่อว่าตลอด
ตอนนี้ขาเราเนื้อนิ่มเหมือนคุณยายเหลวๆ พอยกขึ้นต้นขาเราเนื้อห้อยลงมาเลย จากวันเกิดเหตุจนวันนี้ 9 เดือนแล้วคะ เรายังต้องใช้ไม้เท้าเดิน และเดินกะเพ่งๆเราจะเจ็บตรงเข่าส่วนที่เนื้อเราแหว่งไป แต่เรากลับมาไปทำงานได้ 3 เดือนแล้ว ก็เดินใช้ไม้เท้าและก็ปั่นจักยานบกเองที่ฟิตเนส ไปทำกายภาพที่คลีนิคแถวบ้านอาทิตย์ละครั้ง กระตุ้นไฟฟ้า นักกายภาพที่คลีนิคมิดิตรงสุขุมวิท 62 แกก็ให้ความใส่ใจเราดี ดูพัฒนาและใส่ใจเราตรงจุดกว่าที่รพ. ก็แนะนำให้เราไปตรวจ EMG เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาที่ปลายประสาทจะได้แก้ได้ถูกจุด คือเราตอนนี้กังวลว่าจะเดินได้ไหมโดยไม่ใช้ไม้เท้าต้องทำยังไงบ้าง
มีใครประสบอุบัติเหตุคล้ายคลึงกันบ้าง แนะนำบ้างคะ อยากเดินได้ไม่กะเพ่งคะ ต้องกายภาพยังไง หรือมีหมอกระดูกเก่งๆแนะนำหน่อยคะ
เราพยายามหาทางรักษา กังวลกลัวกลับมาเดินไม่ได้เหมือนเก่า
ขอบคุณล่วงหน้าคะ
เล่าประสบการณ์ขี่จักรยานตกเนินที่เกาะพยาม ขาหักใส่เหล็กมา 9 เดือนแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้เอง อยากขอคำแนะนำด้วยคะ
ก่อนอื่นขอแชร์เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางจักรยาน (แม่บ้าน) แบบมีตะกร้าหน้าของเรา พอดีไปเที่ยวพักร้อนที่รีสอร์ทชื่อดังที่เกาะพยาม จ. ระนอง
ซึ่งเราได้นำจักรยานที่ทางรีสอร์ทให้บริการแก่นักท่องเที่ยวมาถีบเล่น โดยเรียบไปทางทะเลปกติซึ่งจะมีวัดอยู่ริมทะเล ก่อนหน้าเราเคยอยากตั้งเป็นกระทู้เตือนเพื่อนๆเพื่อเป็นวิทยาทานแด่เพื่อนๆที่จะไปเที่ยวให้ระมัดระวัง เนินที่ว่านี้จะอยู่ก่อนอนามัยเกาะพยาม ซึ่งมองอาจไม่สูงแต่จริงหลอกตาคะ ไม่มีป้ายเตือนใดๆว่าห้ามจักรยาน ปกติคนท้องที่ก็จะขับมอเตอร์ไซด์กัน แต่ว่าประเด็นคือ เราอาจไม่ชำนาญทางพอขี่จักรยานลงมาเราไม่ได้ปั่นเลยนะ แค่ปล่อยไหลมันเริ่มไหลลงเนินเร็วมากและเราพยายามหยุดทั้งใช้เท้าและบีบเบรคไม่ช่วยเลยคะ เวลาแค่เสี้ยวนาทีเห็นโค้งหักศอกข้างหน้าและมองไปก็เห็นเนินลาดลงไปอีก เราตัดสินใจแหกโค้งเพราะไม่รู้ว่าถ้าลงไปอีกเราจะไปประสานงานกับรถอะไรที่สวนขึ้นมาไหม จักรยานเราลงมาด้วยความเร้วและล้มลง ขาขวาเข่าเราฟาดลงอย่างแรงด้วยความเร็วของทางลาด ตัวเรากลิ้งออกมาแผลขูดลึกกับถนนปูนทั้งตัว ด้านขวาจะเป็นแผลลึกเปิดทั้งแถบ ส่วนขาเราเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันที และเข่าก็บิดออกผิดรูปขา มีมอเตอร์ไซด์มาช่วยเรา อาการเราคงหนักเพราะทุกคนพากันไปเรียกผู้ช่วยที่อนามัยมาดูเรา แล้วก็หอบเราขึ้นมอเตอร์ไซด์ไปอนามัยอย่างทุลักทุเร
อนามัยไม่มีหมอและไม่มียาแก้ปวดนอกจากพารา เป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เรา ซึ่งเรารู้สึกว่าคนที่ช่วยเราก็จะเป็นเหมือนพยายาลจะไม่ใช่หมอ แต่พี่เขาจะมีการโทรแจ้งอาการกับหมอที่ไหนจะไม่ทราบแต่แกจะพูดตลอดว่าคุณหมอให้ทำแบบนั้นแบบนี้ เลยถามพี่พยาบาลดูแกบอกว่าเนินนี้มีนักท่องเที่ยวมาล้มหลายท่านเราโชคดีมากที่กระดูกไม่ทิ่มออกมา เพราะไม่อย่างนั้นต้องเรียกเรือตำรวจน้ำมารับเราออกจากเกาะทันทีไม่งั้นอาจเสียเลือดจนถึงชีวิตได้ ส่วนเราแค่หักตอนนั้นไม่รู้ว่าหักแค่ไหนบ้าง ก็ใช้ไม้ดามไว้ และล้างแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้น เราปวดมากที่สุดในชีวิตน้ำตาไหลพรากตลอดเวลาเราไม่สามารถออกจากเกาะได้เนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝนและมีพายุ ไม่มีเรื่อเสี่ยงกล้าออกต้องรอเช้าอย่างเดียว อุบัติเหตุตั้งแต่ 5 โมงเย็นเรานอนทนปวดถึงเช้า 8 โมงได้ออกจากเกาะ เรานอนที่อนามัยไร้ยาแก้ปวด แรงสุดแค่ยาแก้ปวดธรรมดาแบบฉีดๆไปไม่รู้สึกหายปวดเลย ทรมานสุดๆคะ ทั้งนี้ต้องขอบคุณพี่ที่เป็นอาสาบนเกาะมาช่วยเคลื่อนย้ายเราลงเรือ พี่พยาบาลที่อนามัย และผู้จัดการรีสอร์ทชื่อดังที่ช่วยเหลือเราคอยหาข้าวมาส่งที่อนามัย หาผ้าห่มและพยายามช่วยเหลือ อุส่าหยุดไปพักร้อนเข้าเชคอินไม่ถึงชั่วโมงก็ประสบอุบัติเหตุ ไม่ทันได้เที่ยวชมทะเลสวยงามเลย เราอยากขอให้อุบัติเหตุที่เกิดที่เกาะพยาม ตรงเนินนี้เกิดกับเราเป็นคนสุดท้ายและขอเตือนทุกท่านที่ไปเที่ยวที่เกาะให้ระมัดระวังเนินนี้ เราตั้งใจว่าหากเราเดินได้จะกลับไปที่เกาะพยามอีกครั้ง และตั้งใจจะทำป้ายเตือนให้ระวังทางลาด เพราะความเจ็บขาหักครั้งนี้สาหัสจริงๆสำหรับเรา ใครไปที่เกาะพยามก็ระมัดระวังนะคะ หวังว่าเรื่องของเราจะช่วยเป็นอุทาหรณ์เตือนคะ
เข้าเรื่องเลยคือหลังจากประสบเหตุ เราให้รถพยาบาลมารับเราจาก กทม เพราะ รพ. ระนองเองไม่มีรถรพ. เครื่องมือสามารถรักษาเราได้จึงต้องกลับมารักษา กทม เครื่องบินก็กลับไม่ได้เพราะเราต้องนอนยืดขาและให้น้ำเกลือไปตลอด ก้ใช้เวลาเดินทางจากเกาะมาถึงที่ กทม ก็ 2 วัน พอมา ทำสแกน ก็พบว่ากระดูกช่วงรองรับเข่าเราป่นและหักเป็นปากฉลามที่หน้าแข้งและเป็นกระดูกป่น ทั้งหน้าแข้งด้านหน้าและหลัง เราต้องใช้เหล็กพิเศษหมอจึงผ่าตัดให้เราได้เร็วสุดเที่ยงอีกวัน เพื่อรอสั่งเหล็ก ผ่าตัดใส่เหล็กไปเสร็จหมอก็แมคเอาไม่ได้เย็บ ต้องล้างแผลทุกวัน แผลเราหนองไหลมา 2 อาทิตย์แต่หมอไล่เราบอกต้องกลับบ้านได้แล้วให้มาล้างแผลที่ รพ.เอาทุกวัน ทั้งที่เราว่าเราอาการไม่ดีขึ้น ปวดแผล หนองซึมเปียกทำไมให้เรากลับบ้าน เราก็งงไปตามระเบียบแต่ก็ต้องกลับทั้งที่ขออยู่ต่อ จนเราไปล้างแผล รพ. อื่นแถวบางนาใกล้บ้านปรากฏว่าหมอบอกเราติดเชื้อที่กระดูกต้องรีบจัดการไม่งั้นถ้าเชื้อเข้าไปที่กระดูกเราแย่แน่ คราวนี้เราก็รีบกลับไป รพ หมอที่ผ่าเรา หมอผ่าเข้าผ่าตัดไปกรีดแผลและล้างแผลตัดเนื้อยุ่ยๆเอาหนองไปเพาะเชื้อ ก็พบว่าเราติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนึง จึงให้หมอยาด้านฆ่าเชื้อมาจัดยาให้เราโดยตรง จริงๆถ้าหมอระวังให้เราแต่แรกควรอัดยาฆ่าเชื้อตอนผ่าตัดใส่เหล็กเราคงไม่แย่ขนาดนี้ ไม่จบหลังจาก 1 อาทิตย์แผลไม่ยอมปิดต้องผ่าตัดอีกรอบ เพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าทางปากแผลที่ไม่ยอมปิด โดยให้หมอศัลยกรรมมาปิดแผล โดยโกยเนื้อที่น่องมาเย็บปิด ขูดเนื้อตายทิ้ง ตัดเนื้อยุ่ยๆทิ้งจนขาเราจะแหว่งไปตรงใต้หัวเข่า ผ่าตัดครั้งนี้เราเจาะคอให้ยาฆ่าเชื้อทางเส้นเลือดใหญ่เพราะแขนไม่มีพื้นที่ให้เจาะคะ ยาแรงและแสบมาก ทรมานสุดๆ ตอนนั้นยกขาเองก็ไม่ได้ ต้องพาดไว้ที่หมอนขยับไม่ได้ พอหลังผ่ากายภาพก็เริ่มเข้ามาให้เราลงเดินแต่ลำบากมากจริงๆคะ แค่ยกขาให้ลอยเหนือพื้นนิดนึงยังยาก ไม่น่าเชื่อเลย ขาหนักเหมือนเป็น 100 กิโลแต่ก็ต้องกายภาพเบาๆไป
ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนจากการรักษาทั้งหมด เราต้องเริ่มลงเดินด้วย walker จากนั้นก็ไม้ค้ำยันเราไปกายภาพๆ รพ.ก็จับเราหัดเดิน หาว่าสำออยคือช่วง 3-4 เดือนเรายังเจ็บไม่สามารถเดินแบบไม่เกาะอะไรได้ ทำกายภาพก็ไม่ได้แบบที่นักกายภาพคาดหวังคือเราเจ็บจริงๆ เราก็จะถูกนักกายภาพต่อว่าตลอด
ตอนนี้ขาเราเนื้อนิ่มเหมือนคุณยายเหลวๆ พอยกขึ้นต้นขาเราเนื้อห้อยลงมาเลย จากวันเกิดเหตุจนวันนี้ 9 เดือนแล้วคะ เรายังต้องใช้ไม้เท้าเดิน และเดินกะเพ่งๆเราจะเจ็บตรงเข่าส่วนที่เนื้อเราแหว่งไป แต่เรากลับมาไปทำงานได้ 3 เดือนแล้ว ก็เดินใช้ไม้เท้าและก็ปั่นจักยานบกเองที่ฟิตเนส ไปทำกายภาพที่คลีนิคแถวบ้านอาทิตย์ละครั้ง กระตุ้นไฟฟ้า นักกายภาพที่คลีนิคมิดิตรงสุขุมวิท 62 แกก็ให้ความใส่ใจเราดี ดูพัฒนาและใส่ใจเราตรงจุดกว่าที่รพ. ก็แนะนำให้เราไปตรวจ EMG เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาที่ปลายประสาทจะได้แก้ได้ถูกจุด คือเราตอนนี้กังวลว่าจะเดินได้ไหมโดยไม่ใช้ไม้เท้าต้องทำยังไงบ้าง
มีใครประสบอุบัติเหตุคล้ายคลึงกันบ้าง แนะนำบ้างคะ อยากเดินได้ไม่กะเพ่งคะ ต้องกายภาพยังไง หรือมีหมอกระดูกเก่งๆแนะนำหน่อยคะ
เราพยายามหาทางรักษา กังวลกลัวกลับมาเดินไม่ได้เหมือนเก่า
ขอบคุณล่วงหน้าคะ