พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) บทนำ

กระทู้สนทนา



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



บทนำ


ท่ามกลางความมืดดำของราตรีกาลที่ครอบคลุมท้องฟ้าและผืนน้ำ หมู่เมฆใหญ่ค่อยเคลื่อนคลาย แสงสลัวซีดจากจันทร์เสี้ยวจึงแตะแต้มผืนน้ำเป็นประกายระยิบ ลมทะเลยามดึกพัดพาไอน้ำเค็มมาไล้ผิวกายชายฉกรรจ์ในชุดดำสนิทบนเรือยางหลายลำที่ถูกดับเครื่องยนต์ ปล่อยให้ลอยลำอยู่บนริ้วคลื่นซัดสาด

รอคอยให้ถึงเวลานัดหมาย

จวบจนชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่นั่งกลางเรือยางลำแรกให้สัญญาณมือ จึงช่วยกันจ้วงฝีพายฝ่าเกลียวคลื่นใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

เมื่อมาถึงระยะอันตราย พวกเขาคว่ำเรือให้ครอบร่างแล้วค่อยเคลื่อนเข้าหาเป้าหมาย... เงียบเชียบ

ภารกิจสุดอันตราย... เริ่มตั้งแต่นาทีนั้น


‘ตูม!!!’

Flasbank หรือระเบิดแสงให้แสงจ้าส่งเสียงดังติดๆ กันไม่ต่ำกว่าสามลูก... สัญญาณของการเริ่มเข้าโจมตีจากด้านหน้าคลังสินค้าตามแผนปฏิบัติการเริ่มขึ้นแล้ว ได้เวลาที่เขาเองก็ต้องเริ่มปฏิบัติการภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้แล้วเช่นกัน...

ขัดขวางการลำเลียงอาวุธกลับภูพันแสงของไศล และชิงตัวน้องสาวกลับคืน!

ส่ายีลอยตัวจากใต้ท้องเรือยางขึ้นสู่ผิวน้ำ กวาดสายตาประเมินสถานการณ์โดยรอบ ก่อนจะส่งสัญญาณให้ผู้ร่วมภารกิจเริ่มปีนขึ้นไปบนโกดังเก็บสินค้า

เมื่อเท้าเหยียบพื้นโกดัง รอบตัวยังคงเงียบกริบไร้การเคลื่อนไหวของศัตรู ได้ยินเพียงเสียงการยิงปะทะกันจากด้านหน้าโกดังเท่านั้น

ทุกอย่างน่าจะกำลังเป็นไปตามแผน...ดึงความสนใจของศัตรูไปที่บริเวณด้านหน้าโกดังสินค้าด้วยระเบิดแสง ส่วนทีมของเขาเริ่มจู่โจมจากด้านหลัง

ตู้คอนเทนเนอร์สินค้ามหาศาลที่ตั้งเรียงราย ทำให้ส่ายีเริ่มหนักใจ... อาวุธสงครามที่ศัตรูกำลังจะขนกลับไปถูกซุกซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่

ทันใดนั้น ลูกทีมของเขาคนหนึ่งที่รุกคืบเคลียร์เส้นทางให้หน่วยใหญ่ติดตามไปส่งสัญญาณมือ...

มีศัตรูกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!

ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าชุดตัดสินใจในฉับพลัน... ยุทธวิธีทางทหารสอนไว้ อยู่ในที่สูงย่อมได้เปรียบศัตรูที่อยู่ในชัยภูมิต่ำกว่า ปีนขึ้นไปบนหลังตู้คอนเทนเนอร์ทันที

อดใจรอไม่กี่อึดใจ ก็เริ่มเห็นนักรบในชุดสีดำสนิททั้งตัวของสิมขาลทยอยจรดฝีเท้าเงียบกริบใกล้เข้ามา ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าสีดำสนิทจนเหลือเพียงดวงตา ทำให้ยากที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร

แต่ที่สะดุดตาส่ายี น่าจะเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ ทุกย่างก้าวการเดินระมัดระวังตัวอย่างผู้เจนจัดการต่อสู้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายผู้นั้นคือหัวหน้าของหน่วยรบชุดนี้แน่นอน

แม้ไม่เคยพบเจอ ไม่เคยเห็นหน้า แต่ส่ายีแน่ใจ... ไศล บาวีของสิมขาล

ชายหนุ่มลุกขึ้นชันเข่า อาวุธสังหารในมือถูกใช้ให้ทำหน้าที่อีกครั้ง

สมกับที่เป้ากระสุนของเขาเป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพสิมขาล เพราะชายในชุดดำคนนั้นม้วนตัวลงแล้วกลิ้งหลบ ฉิวเฉียวกับห่ากระสุนที่ระดมเข้าใส่ และเมื่อคนผู้นั้นตั้งหลักได้ ส่ายีก็โดนยิงสวนขึ้นมาเป็นการโต้ตอบ

สงครามย่อมๆ พลันอุบัติ

สุดยอดฝีมือในหน่วยรบที่ดีที่สุดแยกย้ายกันเข้าประจำจุดรวดเร็วเมื่อทราบพิกัดของเป้าหมายหลัก พื้นที่สังหารถูกบีบให้เหลือเล็กลงเรื่อยๆ แต่ห่ากระสุนกลับยิ่งโปรยปรายหนักขึ้นทั้งจากด้ายซ้ายและด้านขวา กระสุนบางนัดเฉี่ยวผ่านปลายเส้นขน กลิ่นดินปืนอวลเคล้ากลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง

ไม่นานนัก เสียงแผดคำรามของกระสุนเริ่มดังห่างขึ้นตามจำนวนผู้รอดชีวิตที่เหลือน้อยลง

ในที่สุด ส่ายีก็ได้เผชิญหน้ากับคนที่เขารอคอยมานาน... บุรุษที่ไม่เคยมีทหารคนใดในการ์เมียนเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ชายในชุดดำสนิทที่ส่ายีแน่ใจ... ผู้นำสูงสุดทางทหารของสิมขาล บาวีไศล

แต่คาดไม่ถึงว่า...

“ได้พบกันเสียทีนะ นายพลส่ายี”

เจ้าของชื่อประหลาดใจ ไศลแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะต้องมาที่นี่แน่ๆ หรือว่า... ส่ายีหวั่นใจ จะเป็นเขาเองที่หลงเดินตามแผนการของศัตรู

“จะไม่เปิดเผยใบหน้าเสียหน่อยหรือ ว่าคนที่คุยกับผมเป็นใคร หรือบาวีของสิมขาลไม่กล้าพอที่จะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแม้กระทั่งในเวลาเจรจา”

ไศลดึงผ้าสีดำที่ปิดหน้าไว้ออก ส่ายีจึงถามตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมเมื่อได้เห็นใบหน้าบาวีผู้นำสิมขาลชัดๆ “คุณเอาน้องสาวผมไปไว้ที่ไหน”

ผู้นำสูงสุดของศัตรูขมวดคิ้ว คล้ายแปลกใจอะไรบางอย่าง แต่ก็รับรองออกมาอย่างแข็งขัน “เธอยังมีชีวิตอยู่ และขอรับรองด้วยเกียรติของบาวีแห่งสิมขาลว่าเธอปลอดภัยดีทุกประการ”

ส่ายีเบาใจขึ้นเมื่อได้ยินว่าน้องสาวยังมีชีวิตอยู่แน่นอน บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ยอมเชื่อคำของผู้นำศัตรูง่ายดายเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะท่าทีมั่นคงทะนงตนของบาวีหนุ่มผู้นี้ก็ได้

“ผมมาที่นี่เพราะคิดว่าถ้าคุณพาน้องผมมาด้วย ผมจะได้รับตัวเธอกลับการ์เมียน”

แต่ไศลกลับแย้งทันควัน “คุณจะพาเธอกลับไปทำไม ในเมื่อไม่ต้องการเธอแล้ว”

“คุณพูดอะไรของคุณ” เขาน่ะหรือไม่ต้องการได้ตัวตโมนุทคืน ถ้าไม่ต้องการได้ตัวน้องสาวที่โดนสิมขาลจับไปเป็นตัวประกันเมื่อหลายเดือนก่อนคืนจริงๆ เขาคงไม่นำทีมลอบเข้ามาถึงโกดังสินค้าของสิมขาลด้วยตัวเองเช่นนี้หรอก

“เหตุการณ์ที่หน้าผากรือซู ไม่ใช่คำสั่งของคุณหรือ” ผู้นำสิมขาลย้อนถามกลับ ความไม่เข้าใจอะไรบางอย่างยังคงแจ่มชัดในสีหน้า

“สายของผมรายงานแค่ว่ามีการปะทะกันของทหารการ์เมียนกับกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายที่นั่น แล้วในการ์เมียนก็มีข่าวปล่อยเรื่องน้องตโมนุทถูกสังหารที่หน้าผานั่นด้วยเหมือนกัน” ส่ายีอธิบายตามความเป็นจริงที่เขารู้สึกมานานแล้วว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังแปลกๆ ในเหตุการณ์นั้น

“ทางการ์เมียนให้คนเดินสารแจ้งเข้ามาว่าคุณยินดียอมรับเงื่อนไขการเจรจายุติสงคราม แต่ขอดูตัวตโมนุทที่นั่นก่อน”

คราวนี้พี่ชายของตโมนุทรีบปฏิเสธทันที “ผมไม่เคยให้คนเดินสารคนไหนถือจดหมายเข้าไปหาคุณทั้งนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เลี้ยงหนอนตัวเบ้อเริ่มไว้ในโหลเกลือแล้วล่ะ”

“นั่นเป็นเรื่องที่ผมจะจัดการเอง เรื่องที่ผมจะมาเจรจาวันนี้มีเพียงเรื่องเดียว... ถ้าเราได้ตัวตโมนุทคืน การ์เมียนก็ยินดีตั้งโต๊ะเจรจาในสามประเด็นที่สิมขาลเรียกร้องมา”

ดูเหมือนข้อต่อรองของเขาจะทำให้ผู้นำของอีกฝ่ายเงียบงันไปหลายอึดใจ

“ทำไม มีปัญหาอะไรหรือ” ส่ายีถามอย่างฉงน ในเมื่อที่ผ่านมาสิมขาลเองเป็นฝ่ายอยากเจรจายุติสงครามถึงขนาดจับตัวน้องสาวของเขาไปเป็นตัวประกันเพื่อบีบการ์เมียนให้ยุติสงคราม

แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?

หรือว่า... พวกนี้ฆ่าน้องสาวของเขาไปแล้วจริงๆ ไศลถึงได้นิ่งเงียบไปเช่นนี้

‘ปังๆๆๆ’

พรึ่บ! โคมไฟปลายยอดเสาสูงถูกยิงแตกกระจายทีละดวง ความมืดมิดเข้าครอบคลุมทันที

... มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาอย่างนั้นหรือ?

ทุกคนถูกผลักให้ตกอยู่ในวงล้อมท่ามกลางความมืดมิด มองไม่เห็นทางหนีทีไล่ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบฝ่ายที่ปิดล้อมและกำลังกระชับพื้นที่เข้ามา ไม่ต่างอะไรจากถูกปิดปากถ้ำตีเสือ

ตามสัญชาตญาณทหาร ส่ายีพุ่งตัวพรวดเข้าหาจุดกำบังที่ใกล้ที่สุด

เสียงระเบิดหนักหน่วงจากรอบด้านดังตามมาทันที ไม่ได้เจาะจงเป้าหมายมาที่เขาเพียงคนเดียว ดูเหมือนสถานการณ์อันย่ำแย่นี้จะเกิดขึ้นกับบาวีของสิมขาลด้วยเช่นกัน เพราะจากประสาทหูที่ได้ยิน ห่ากระสุนปืนที่ระดมกราดมาเต็มอัตราศึกชนิดไม่ต้องเล็งหาเป้าก็พุ่งเข้าหาผู้นำศัตรูไม่น้อยไปกว่าเขาเลย

แสงสว่างที่วาบขึ้นจากปลายกระบอกปืนของฝ่ายที่เขายังไม่รู้ว่าเป็นใคร เป็นเหมือนพอยเตอร์ชี้จุดที่ผู้ลอบโจมตีซุ่มอยู่ ผู้นำการ์เมียนจึงยิงตอบโต้กลับไปเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนบ้าง

ใคร... ใครกันที่มันต้องการกำจัดทั้งเขาและไศลพร้อมกัน? หรือว่า...

ถ้าไม่ตายอยู่ที่นี่เสียก่อน เขาจะจัดการเสี้ยนเล็กๆ พวกนี้ไม่ให้คอยทิ่มแทงเขาและการ์เมียนให้จงได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือ ฝ่าวงล้อมนี่ออกไปให้ได้เร็วที่สุด ส่ายีค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากจุดซุ่มพลางยิงต้านแม้โอกาสพลาดโดนฝ่ายเดียวกันเองมีสูง แต่เขาก็ต้องฝ่าออกไปให้ได้

พร้อมกันนั้นร่างของใครอีกคนก็ระดมยิงตอบโต้อยู่ใกล้ๆ กันกับเขา ไม่ใช่มาวิน... ก่อนไฟดับ มาวินยืนคุมเชิงรวมอยู่กับกลุ่มผู้ติดตามซึ่งห่างจากเขาออกไปไกลมากกว่านี้

ไศลอย่างนั้นหรือ?

“บางที หนอนที่คุณเลี้ยงไว้อาจจะปรากฏตัวในงานนี้ก็ได้”

ส่ายียังไม่ทันได้ตอบอะไรออกมา ห่ากระสุนก็โปรยปรายมาอีกชุด เป็นผลให้ศัตรูคู่สงครามต้องหมอบราบลงกับพื้น ช่วยกันยิงต่อต้านศัตรูคนละด้าน

“ถ้าจับตัวมันได้ ผมจะดองซากมันไว้ในโหลเกลือ” ส่ายีเอ่ยขึ้นอย่างกราดเกรี้ยวในความมืด เมื่อการกราดยิงของฝ่ายตรงข้ามเว้นช่วงไป

“ไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนเถอะ ไม่งั้นเราจะโดนดองเสียเองแน่”

ทันใดนั้น... เสียงบีบแตรยาวดังกรีดแก้วหูไปทั่วบริเวณ ทั้งสองแทบจะหันไปมองรถหกล้อติดเครนสำหรับยกตู้คอนเทนเนอร์ในจุดที่โคมไฟยังไม่ได้ถูกยิงกระจุยเป็นตาเดียวกัน

เครนกำลังยกตู้คอนเทนเนอร์ใบหนึ่งห้อยส่ายไปมาในอากาศ ถ้าสายสลิงขาด... ตู้ใบนั้นก็หล่นลงทะเล

ส่ายียังจับต้นชนปลายไม่ติด นอกจากโดนล้อมกรอบยิงถล่มแล้ว มือที่สามยังมีของเล่นอะไรอีกหรือ?

เสียงการต่อสู้เงียบลง แต่เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น...

‘ตึง!’ เสียงทุบผนังตู้ที่นอกจากจะถูกขัดกลอนแล้วยังปิดตายด้วยซีลล็อก ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ช่วยด้วย”

แสดงว่าสิ่งที่อยู่ในตู้สินค้าใบใหญ่นั่น ไม่ใช่สินค้า ไม่ใช่อาวุธสงครามที่เขาต้องการขัดขวางไม่ให้ไศลนำออกไปได้ แต่เป็น...

เป็นไปไม่ได้... ต้องไม่ใช่ๆ

แม้จะเบาจนแทบต้องเงี่ยหูฟัง แต่น้ำเสียงสตรีที่คุ้นหูนักนั้นทำให้ส่ายีอยากอาละวาด แน่นอนว่าใครก็ตามที่อยู่ข้างในจะขาดอากาศหายใจตายได้ภายในไม่กี่นาทีถ้าไม่รีบช่วยเหลือออกมา

“น้องตาโม!”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่