จากเด็กนอกเมือง สู่การใช้ชีวิตเมืองนอก กับ 3 โครงการ 3 สถานที่ : Work and Travel – Working Experience – Au Pair

ตอนที่ 2 : Working Experience 1 ปีที่ โตรอนโต แคนาดา
Part I : ขั้นตอนก่อนโบยบิน



ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่า นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ตั้งแต่เล่นพันทิปมาหลายปี (จะเรียกว่าแอบส่องก็ว่าได้ 555+) หากผิดพลาดประการใด ต้องของอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ โดยเฉพาะภาษาที่ใช้เขียน เรามั่นใจว่าไม่ได้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย 100% แน่ เพราะเขียนตามประสาวัยรุ่นอ่ะเนาะ แต่จะพยายามค่ะ
พอดีแอบเห็นกระทู้ (อีกแล้ว) ที่มีคนถามในพันทิป แต่ไม่ค่อยมีคนตอบ เราเลยคิดว่า เห้ย! ถึงเวลาแล้วนะ ที่เราควรจะมาแชร์ประสบการณ์ของเราม่าง (หลังจากส่องของชาวบ้านมานาน)

ถ้าให้เรียงลำดับการใช้ชีวิตที่เมืองนอกตัวคนเดียวของเรา เราเริ่มจาก Work and Travel ที่เมกา 4 เดือน (ทำงาน 3 เดือน เที่ยวเดือนนึง) จากนั้นก็ Working Experience (เรียกตามชื่อโครงการของเอเจนบริษัทนึงที่เราเคยไปด้วย) ที่ โตรอนโต ประเทศแคนาดา 1 ปี (เรียน 2 เดือน ทำงาน 10 เดือน) จบท้ายด้วย Au Pair 1 ปี ที่รัฐแมสซาชูเซส เมกา อีก 1 ปี

หลายคนอาจกำลังสงสัย ว่าเห้ย ตอนแรกอยู่ไหน จะไปกดอ่านก่อน บอกเลยว่า ยังไม่มี 55+ เนื่องจากเคยเห็นหลายกระทู้แล้วเกี่ยวกับ Work and Travel เราก็เลยจะขอข้ามไปก่อน หากกระทู้นี้ได้รับการตอบรับอย่างดี เราจะมาแชร์ ประสบการณ์ Work and Travel และ Au Pair ที่เมกากัน ไม่อย่างนั้นนี่คงเป็นกระทู้แรกและกระทู้สุดท้าย บั้ยยยย ลาขาดค่ะ ขอแอบส่องชาวบ้านต่อไปแล้วกัน อิอิ

ทำไมถึงเลือกไป Working Experience ที่แคนาดา
คำตอบ คือ จิงๆแล้ว เราตั้งใจจะไป Working and Holiday ที่ ออสเตรเลียค่ะ (ตั้งใจจะตาม ผช ไป) 555+
เราไปสอบ Ielts (คะแนนผ่านหมดทุกเกณฑ์ แบบเฉียดฉิว อิอิ) + ถ่ายรูปที่ใช้ในการสมัครออนไลน์เตรียมไว้เรียบร้อย พอถึงวันที่เค้ารับสมัครออนไลน์จริง เวปล่มบ่อยมาก พอเข้าได้อีกที เค้าก็ปิดรับสมัครไปแล้ว (เต็มภายในไม่ถึง 1 ชม ซึ่งเราไม่ได้เป็น 1 ใน 500 นั้น ก้ออดไปตามระเบียบ TT)

แล้วพอดีช่วงที่ศึกษาเกี่ยวกับ WHA เราบังเอิญเห็นว่า ที่แคนาดาก็มีโครงการคล้ายๆกันนะ ต่างกันที่ ต้องลงเรียนอย่างน้อย 2 เดือน และต้องทำผ่านเอเจ้นเท่านั้น เพราะสำหรับคนไทย ไม่สามารถทำออนไลน์ได้ด้วยตนเองเหมือนประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ (แอบอิจฉา เพราะถามพวกนางตอนที่ทำงานด้วยกันที่แคนาดา นางบอกทำเองหมด ยื่นเอกสารออนไลน์ ค่าใช้จ่ายหายไปครึ่งนึงของเราเลย ไม่ไม่ต้องผ่านเอเจ้นที่ประเทศเขา แต่ยังต้องมีเอเจ้นที่แคนาดานะคะ)

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า หลังจากนั้นเราจึงตัดสินใจ เดินหน้าเต็มกำลัง ไปแคนาดาโล้ดดดดด
จากข้อมูลที่เอเจ้นบอกเรานะคะ (ขอสงวนชื่อเอเจ้นนะคะ ถ้าใครอยากรู้หลังไมค์มาได้ค่ะ ยินดีตอบ ทั้งข้อดี ข้อเสีย แบบไม่กั๊กเลยค่ะ เพราะไม่ได้ค่าโฆษณา 555+) ว่าสำหรับคนไทย ที่จะเข้าร่วม Work Experience ที่แคนาดา 1 ปี จะต้องมีคุณสมบัติคร่าวๆ คือ
-    ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโท แต่ไม่เกิน 2 ปี
-    เงินในบัญชีของตัวเอง 10,000 CAD หรือ 400,000 บาท โดยประมาณ แล้วแต่เรทในตอนนั้นนะคะ
(อ้อ ลืมบอกค่ะ เราเริ่มเตรียมเอกสารต่างๆ ตั้งแต่ สิงหา 2011 ค่ะ และเดินทาง ช่วงเดือน พฤษภา 2012
ในส่วนนี้ ข้อมูลอาจจะไม่อัพเดท แนะนำให้สอบถามกับทางเอเจ้นโดยตรงค่ะ เพราะเท่าที่ศึกษามา ประเทศไทย ไม่สามารถยื่นวีซ่า Working Holiday ที่แคนาดาได้โดยตรง ต้องผ่านเอเจ้นเท่านั้นค่ะ ไม่เหมือนของ ออสเตรเลีย และนิวซีแลน)
แต่เงินที่ใช้ในการดำเนินโครงการทั้งหมด+ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 40000+ และเงินที่นำติดตัวไปด้วย 700 CAD ก็ประมาณ 3 แสนบาทค่ะ

หลังจากที่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติ 2 ข้อหลักๆที่แจ้งไปแล้ว ถ้าสนใจสมัครโครงการนี้ ทางเอเจ้น เค้าจะมีให้เลือก 2 โปรแกรม คือ
1.    เรียนภาษา 2 เดือน + ที่พักช่วงเรียน 2 เดือน พร้อมอาหาร 2 มื้อ (กลางวัน+เย็น) และค่าดำเนินการ จัดเตรียมเอกสาร วีซ่า และ ปฐมนิเทศ 1 วัน พร้อมที่พัก 1 คืน
2.    เรียนภาษา 2 เดือน + ที่พักช่วงเรียน 2 เดือน พร้อมอาหาร 2 มื้อ (กลางวัน+เย็น) และค่าดำเนินการ จัดเตรียมเอกสาร วีซ่า และ ปฐมนิเทศ 1 วัน พร้อมที่พัก 1 คืน + ค่าจัดหางาน
สังเกตุดูนะคะ ว่าข้อ 2 จะมีค่าบริการจัดหางานมาด้วย

ในตอนนั้นเราคิดว่า เราเป็นชะนีผอมบางร่างน้อย (คิดไปเอง อิอิ) ขอแบบปลอยภัยไว้ก่อน คือ มีที่ซุกหัวนอน และมีงานทำระหว่างอยู่ที่นั่น จะดีที่สุด จะได้ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ ส่งตังไปให้ใช้อีก (เพราะเราไปแบบไม่อยู่จักใครที่แคนาดาเลย) อีกอย่าง เราไม่อยากจะไปเดินตระเวนหางาน ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่พ้นร้านอาหารไทย (แต่ร้านอาหารส่วนใหญ่ที่แคนาดา ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆเหมือนเมกานะคะ) ปล เด๋วจะมาเล่าให้ฟังทีหลังค่ะ

ข้อดีของ Work Experience ที่แคนาดาคือ
เราสามารถเลือกวันเดินทางได้เอง เนื่องจากเราถือ Working Holiday Visa และหากใครให้เอเจ้นหางานให้ คุณก็จะได้ Work Permit (เอกสารที่แสดงว่าเราสามารถทำงานได้ถูกต้องตามกฎหมายที่แคนาดา) แถมมาด้วยค่ะ (จิงๆไม่ได้แถม ตังกูล้วนๆ TT)
ยกตัวอย่าง เช่น เราเลือกแบบที่ 2 ที่จะให้เอเจ้นหางานให้ ก็จะมีขั้นตอนคร่าวๆ คือ
1.    เตรียมวีดีโอพรีเซ้น ประวัติส่วนตัว คร่าวๆ 2 นาที โดยประมาณ โดยจะต้องอัพโหลดขึ้นทาง youtube (สำหรับให้นายจ้างดู จากนั้นถ้าเค้าพอใจในผลงาน หรือฟังสกิลภาษาแล้ว เค้าถึงจะนัดสัมภาษณ์ ผ่าน Skype อีกที)
2.    ระหว่างนั้นเตรียมเอกสารต่างๆ ที่ใช้ในการขอวีซ่าทั่วๆไป เช่น รูปถ่าย (ขนาดตามที่กงศุลแคนาดากำหนด) พาสปอร์ต Transcript หนังสือรับรองจบ Resume ฯลฯ
ปล เอกสารเหล่านี้ ให้ถามเอเจ้นอีกทีค่ะ เพราะผ่านมาหลายปี เราก็จำไม่ค่อยได้ละ ไม่อยากให้ข้อมูลผิดๆ ป้องกันการดราม่าที่จะตามมา อิอิ
3.    หากใครที่ให้เอเจ้นหางานให้ เค้าจะมี ช่วงเวลาให้เลือกว่า
3.1     จะไปทำงานช่วงไหน เช่นหลักๆคือ  ช่วงฤดูร้อน (เริ่มงานช่วง พ.ค) หรือ ฤดูหนาว (เริ่มงาน ธ.ค)
3.2     ทำงานประเภทไหน เช่น ร้านอาหาร รีสอร์ท ฯลฯ
3.3     จะทำโซนไหน เช่น Toronto, Vancouver and Ottawa (แต่ Ottawa นี่ตัดไปได้เลยค่ะ เพราะเค้าอยากได้คนที่มีพื้นฐาน ภาษาฝรั่งเศษ) เพราะที่แคนาดาเค้ามี ภาษาราชการสองภาษาคือ อังกฤษและฝรั่งเศสค่ะ

ส่วนตัวเราเลือกไปโซนไหนก็ได้ แต่ขอเป็นที่สกีรีสอร์ท ช่วงฤดูร้อน ค่ะ เพราะอยากไปทำงานก่อน จะได้มีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายตอนเรียน แล้วกลับไปทันทำงานฤดูหนาวอีกทีที่รีสอร์ทเดิม (ตั้งใจจะไปเล่นสกีฟรี อิอิ) เพราะเราเรียน 5 วัน จ-ศ ตั้งแต่ 9.00 – 15.00 เลยค่ะ อีกอย่าง เพราะกลัวร่างกายปรับสภาพไม่ไหว ขนาดเราเป็นคนเชียงใหม่แม้อากาศจะค่อนข้างเย็นช่วง ธ.ค แต่ก้อประมาณ 20 องศา แต่อากาศที่ แคนาดาช่วง ธ.ค นี่ ประมาณ -10 องศาเซสเซียส นอนในตู้เย็นยังอุ่นกว่าอะคะ
เราเลยเลือกที่จะไปช่วง พ.ค เพราะที่แคนาดา อากาศ 10-15 องศา แต่พี่ไทย ปาไป จะ 40 ละคะตอนบินไป (อากาศนรกมากกกก ทุกวันนี้ถ้าแว้นมอไซแถวบ้าน ยังนึกว่าขี่อูฐไปตลาดเลยค่ะ)
4.    จากนั้น เอเจ้นเค้าก็จะส่งข้อมูลเราให้ทางเอเจ้นที่แคนาดาอีกทีค่ะ แล้วเค้าก็มีชื่อประเภทงาน พร้อมกับสถานที่ทำงานมาให้เลือกคะ จากนั้นถึง จะนัดเราสัมภาษณ์
ยกตัวอย่าง ของเราสัมภาษณ์กับที่แรกเป็นสกีรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ Collingwood, ON ตอนแรกกะจะไม่สัมภาษณ์ เพราะเค้าบอกว่า จะสัมภาษณ์ตำแหน่ง Housekeeping (แม่บ้าน) ซึ่งเราไม่อยากได้ เลยแค่ตั้งใจว่าจะลองไว้เป็นประสบการณ์เฉยๆ จะได้รู้ว่าฝรั่งเค้าสัมภาษณ์งานกันไง  ไม่ใช่ว่า Housekeeping ไม่ดีนะคะ แต่ คหสต เราคิดว่า เราอยากไปฝึกภาษา ถ้าไปเป็นแม่บ้าน ตอนทำงาน คุณจะไม่ได้ฝึกภาษากับใคร นอกจากหัวหน้าของคุณเท่านั้น เพราะว่าหลังจากได้รับสรุปงานที่หัวหน้าเสร็จตอนก่อนเริ่มงาน ก็จะได้แยกย้ายกันไปทำความสะอาดห้องตามที่แต่ละคนได้รับมอบหมายมาเลยค่ะ
ถ้าถามว่าเรารู้ได้อย่างไร คำตอบคือ ตอนเราสัมภาษณ์งาน เค้าก็จะบอกลักษณะงานว่าเราต้องทำอะไร ยังไงบ้าง แล้วเค้าก็จะเปิดโอกาสให้เราถาม เราเรียกว่าเป็นการพูดคุยมากกว่าค่ะ เพราะอยู่ๆเค้าบอกว่า จิงๆเค้าก็รู้แหละค่ะ ว่าตำแหน่งที่เค้ามาสัมภาษณ์เรา เราก็ไม่อยากได้ แต่เรายังนัดสัมภาษณ์กับเค้าอยู่ เค้าเลยอยากรู้ว่าเราอยากทำงานอะไร และอีกอย่าง เราเป็นคนไทยคนแรกที่รับนัดสัมภาษณ์จากเค้าด้วย เราก็เลยตอบเค้าไปตรงๆเลยว่า เราอยากไปฝึกภาษา ถ้าไปทำ Housekeeping คงไม่ได้คุยกับใครนอกจากหัวหน้าใช่รึเปล่า เพื่อนร่วมงานคงเจอแค่ตอนพักกินข้าว เพราะฟังจากลักษณะงานที่เค้าเล่ามา เค้าเลยบอกว่า เห็นเราเป็นคนช่างพูด กล้าถาม มันมีงานนึง ที่จิงๆแล้วเค้าจะเก็บไว้ให้เด็กๆ(วัยรุ่น)ชาวแคนาดามาทำ Part time ช่วงปิดซัมเมอร์ และเห็นว่าภาษาเราโอเคในระดับนึง ถ้าสนใจเค้าจะให้ทำ ชื่อตำแหน่งคือ Pool Attendant (พนักงานดูแลสระว่ายน้ำ) ตอนแรกเราเข้าใจว่าน่าจะเหมือน Life Guard รึเปล่า เค้าบอกคล้ายๆ แต่ต่างกันตรงที่ เราไม่ต้องโดดลงไปช่วยเค้าในสระเฉยๆ เพราะสระในรีสอร์ทเป็นสร้างเล็กๆ ไม่ใหญ่เหมือนสวนน้ำ ลักษณะงานเลยเป็นแค่ การดูแลความเรียบร้อยในสระ เตรียมผ้าเช็ดตัว เช็คสภาพน้ำในสระ และ Hot Tub (อ่างแช่น้ำอุ่น) และดูแลให้คนที่เข้ามาใช้บริการในสระปฎิบัติตามกฎ อย่างเคร่งครัด ขอบอกว่าเคร่งครัดมากกกกก ห้ามคือห้ามค่ะ ไม่มีการหยวนๆเหมือนพี่ไทยค่ะ
เราเลยตกลงรับงานนี้ ค่าจ้างอยู่ที่ 11 CAD/hr ทำได้ไม่เกิน 40 ชม ต่อสัปดาห์
มีที่พักให้เลือกแบบพักคู่ (200 CAD/2 week) หรือเดี่ยว (375 CAD/2 week)  แต่แชร์ห้องครัว จะหักจาก paycheck โดยตรงเลยค่ะ
5.    หลังจากทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้ว ทางรีสอร์ทจะออกใบ Job Offer ให้เรา แล้วเราใช้ตัวนี้ในการเป็นเอกสารรับรองในการขอ Work Permit ต่อไปค่ะ ส่วนขั้นตอน เราไม่รู้ว่าทำไง เอเจ้นที่ทาง แคนาดา ส่งเข้าเมลให้อีกทีค่ะ
6.    ระหว่างนั้นเราก็ไปตรวจสุขภาพค่ะ แต่ขอย้ำนะคะ ว่าต้องเป็น รพ.ที่ทางกงศุลแคนาดารับรองเท่านั้น (รายชื่อรพ. ถามที่เอเจ้นได้ค่ะ มีให้เลือกเยอะแยะ ส่วนเราอยู่ เชียงใหม่ก็ตรวจที่เชียงใหม่นี่แหละค่ะ) แล้วก็รอผลค่ะ ประมาณเดือนนึง
7.    หลังจากนั้นเอเจ้นที่ไทย ก็จะนัดเราไปทำ Visa ที่กงศุลแคนาดาที่ กทม ค่ะ (เอกสารตามที่เอเจ้นแจ้งให้เราเตรียม + Work Permit และ ประวัติอาชญากรรมที่ไปทำที่กทม เหมือนกัน)

เราใช้เวลา 3 วันที่กทม ในการทำ วีซ่าค่ะ
วันแรก :  พี่ๆที่เอเจ้น จะเรียกให้ไปรับเอกสารที่ใช้ในการทำวีซ่าที่ศูนย์ที่ กทม (พี่ๆน่ารักมาก เตรียมเอกสารที่เราส่งให้หมดใส่ในซองอย่างดี พร้อมบอกวิธีตอบคำถามกับทางกงศุล)
วันที่สอง : ไปทำประวัติอาชญากรรมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
วันที่สาม : ไปทำวีซ่าที่กงศุลแคนาดา กทม (ให้ที่อยู่ของเอเจ้นไปนะคะ เพราะเอเจ้น จะก๊อปปี้ไว้ เผื่อฉุกเฉิน แล้วเค้าจะส่งให้เราอีกทีพร้อมกับพาสปอร์ตหลังจากที่ได้คืนจากกงศุล)

8.    หลังจากนั้นก้อรอค่ะ ไม่แน่ใจว่านานเท่าไหร่ แต่เหมือนจะพอๆกับของเมกา ที่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แล้วเราก็ได้วีซ่ามากอดไว้อย่างสวยงาม ขอบอกว่าวีซ่าแคนาดาสวยงามมากกกกกก วีซ่าเมกานี่ชิดซ้ายค่ะ

ขั้นตอนต่อไปคือ เตรียมตัวโบยบินได้เลยค่า (ไว้มาต่อในกระทู้หน้าน้า) มาแน่ แต่อาจช้าหน่อย เห็นใจมือใหม่หน่อยโน๊ะ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่