ต่อเนื่องจากกระทู้แรก แบกเป้เที่ยวแดนจิงโจ้ 6 วัน 2 เมือง Melbourne & Sydney ที่
http://ppantip.com/topic/34703077
และ ทริปวันที่สาม ตอนที่สอง เยี่ยมชมสัตว์น่ารักๆที่ Taronga Zoo เดินเล่นย่าน The Rocks ชิม Pancake ชื่อดัง ที่
http://ppantip.com/topic/34822793
วันนี้เราไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเหมือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังต้องตื่นเช้าอยู่ดี เรามารอรถ Light Rail ตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานี Central Station ไปเที่ยว Blue Mountain กัน
เพียงแค่ 10 นาทีเราก็มาถึงสถานี Central Station วันนี้เพิ่งได้เห็นความสวยงามและยิ่งใหญ่ของสถานีนี้อย่างเต็มๆ
เราขึ้นรถไฟรอบ 8 โมงเช้า รถไฟที่นี่กว้างขวาง สะอาด แอร์เย็น ดูทันสมัยมาก สิ่งที่ดูแปลก นอกจากจะมีสองชั้นอย่างที่บอกไปในตอนก่อนหน้าแล้วนั้น ก็คือรถไฟที่นี่เค้าออกแบบพนักพิงให้สามารถโยกไปด้านหลังหรือด้านหน้าก็ได้ทั้ง2ด้าน ทำให้ไม่ว่ารถไฟจะวิ่งไปทางไหนก็สามารถปรับที่นั่งให้หันหน้าไปทางหัวขบวนได้ รถไฟบ้านเราน่าปรับเอามาใช้บ้าง
ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่ง เวลา 10.30 เราก็มาถึงสถานี Katoomba ซึ่งเป็นสถานีของ Blue Mountain
ดูปริมาณคนที่มาลงที่นี่แล้วเชื่อได้ว่าลงไม่ผิดแน่ๆ
เดินออกมาจากสถานีรถไฟ มาสักพักจะเจอศูนย์บริการนักท่องเที่ยวซึ่งขายตั๋วรถบัส Hop on / Hop off นำเที่ยวบริเวณโดยรอบของ Blue Mountain เราก็จัดแจงใช้บัตร I-Venture Card มาแลกตั๋วรถบัสในทันที ราคาปกติคนละ 40 AUD ประหยัดไปได้คนละ 7 AUD ^^
จากแผนที่ (เวป www.city-sightseeing.com) จะเห็นได้ว่าเส้นทางจะพาเราวิ่งผ่านเมือง Katoomba ออกไปชมทิวทัศน์บริเวณริมผาตามจุดต่างๆ ซึ่งจะมีจุดจอดทั้งในและนอกเมืองถึง 25 จุด ซึ่งถ้ามีเวลา 1 วันคงไม่สามารถขึ้น-ลงทุกจุดได้ เลยต้องวางแผนให้ดีเพื่อไปลงตามจุดสำคัญต่างๆ
ประมาณ 11.30 น. จุดแรกที่เราไปชม คือจุดหมายเลข 8 บนถนน Cliff Dr. เป็นจุดแรกหลังพ้นจากเขตเมืองที่เราจะสามารถชื่นชมทิวทัศน์ของอุทยาน Blue Mountain ได้อย่างเต็มตา
มองออกไปจะเห็นทิวเขากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นหมอกสีฟ้าๆ ว่ากันว่าเป็นละอองของน้ำมันจากต้นยูคาลิปตัสที่ระเหยขึ้นสู่อากาศ เมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมหักเหกับละอองน้ำมันมากระทบตาเราทำให้มองเห็นเป็นสีฟ้า อันเป็นที่มาของชื่อ Blue Mountain นั่นเอง
วันที่ไปโชคดีมากที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง ทำให้เห็นหมอกสีฟ้าได้ค่อนข้างชัดเจน ที่จุดนี้นอกจากทิวเขาท่ามกลางหมอกสีฟ้าแล้ว เราจะเริ่มเห็นสามอนงค์พี่น้องทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของอุทยานนี้
นอกจากนั้นเมื่อมองลงไปด้านล่าง จะเห็นน้ำตก Katoomba Cascades ซึ่งเดินลงไปได้จากจุดจอดที่ 11 บอกตรงๆว่าไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าน้ำตกบ้านเรา น่ำน้อยมาก
อีก High Light หนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากที่นี่คือ Cable Car ชื่อ SKYWAY ซึ่งเป็นกระเช้าที่ให้บริการให้น้กท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวของเทือกเขาจากด้านบน
เวลา 12.15 น. เรามาถึงจุดจอดหมายเลข 9 ชื่อว่า Scenic World เป็นจุดรวมของเครื่องเล่น 4 ชนิดด้วยกัน คือ SKYWAY ลอยตัวอยู่เหนือเทือกเขา, WALKWAY เดินชมป่าฝนยุค Jurassic, CABLEWAY ผจญภัยบน Cable Car ที่สูงชันที่สุดในซีกโลกใต้ และ RAILWAY ทางรถไฟหลังคากระจกที่สูงชันที่สุดในโลกถึง 52 องศา ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.scenicworld.com.au
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวสนใจมาใช้บริการเครื่องเล่นเป็นจำนวนมาก เครื่องเล่นเหล่านี้ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม ไม่ได้รวมอยู่ในตั๋วที่ใช้ i-Venture Card แลกมา ค่าบริการเป็นแบบเหมารวมคนละ 35 AUD ถ้าซื้อมาจากจุดบริการที่บริเวณสถานีรถไฟแบบเหมารวมจะถูกกว่ามาซื้อที่นี่ แต่อาจมีโอกาสไม่ได้เล่นเนื่องจากต้องต่อคิวยาวมาก วันที่เรามาอากาศดีมาก แต่ละคิวใช้เวลารอไม่ต่ำกว่า 3 ชม. เราเลยจำต้องร่ำลา
เวลา 12.45 เราก็มาถึงจุดที่ 14 ซึ่งเป็น High Light ของอุทยานนี้ ขื่อว่า Echo Point เป็นจุดชมวิวหลักของอุทยาน ที่ Echo Point นอกจากจะเป็นจุดชมทิวเขาสวยๆในระยะไกลแล้ว ใกล้ๆกันยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาเล็กๆ 3 ยอด ที่คนในพื้นที่ตั้งชื่อให้ว่า The Three Sisters
คนขับรถบัสได้เล่าเรื่องเล่าให้เราฟังว่า ในสมัยก่อนหุบเขาแห่งนี้มีพ่อมดซึ่งมีคาถาอาคมแกร่งกล้า มีลูกสาวแสนสวย 3 คน อาศัยอยู่บนยอดเขา ในขณะที่ตีนเขาเป็นที่อยู่ของอสูรกายโหดร้ายน่ากลัว วันหนึ่งลูกสาวแสนซนทั้ง 3 พากันวิ่งเล่นบนเขา เป็นเหตุให้เกิดหินถล่มลงไปด้านล่าง อสูรกายโกรธมาก จึงปีนเขาขึ้นมาหวังจะคว้า3สาวไปกิน พ่อมดเลยเสกคาถาให้ 3 สาวกลายเป็นหิน เสกตัวเองเป็นนกบินคาบคฑาหนีออกมา อสูรกายเลยทำอะไรไม่ได้ แต่พ่อมดเผลอทำคฑาหล่นในหุบเขา คนขับรถเลยบอกว่าถ้าใครเห็นอย่าเอาไปคืนพ่อมด ให้เอาไปให้เค้า ^^
ที่จุดนี้เราจะเห็นทิวเขาที่เรียงตัวกันแบบ Cascade ลึกเข้าไปแบบสุดลูกหูลูกตา แซมด้วยไอหมอกสีฟ้าที่แทรกอยู่ในทุกอณูของขุนเขา
มองดูแล้วรู้สึกคล้าย Grand Canyon ต่างกันที่ที่นี่เป็นภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมไปทั้งหมดให้ความรู้สึกชุ่มชื้นร่มเย็นแตกต่างไปจาก Grand Canyon ที่ให้ความรู้สึกว่าร้อนและแห้งแล้ง
จากจุดชมวิว เราเดินออกกำลังไปชมความงามของพี่น้อง 3 สาวอย่างใกล้ชิด ด้วยการไปปีน The Three Sisters กันเลย
ชมความสวยงามของธรรมชาติโดยรอบ
หน้าตา The Three Sisters ชัดๆ ดูแล้วคิดว่าหน้าตาคล้ายม้ากำลังยก 2 ขาตะกุยอากาศซะมากกว่า ว่ามั้ย?
เดินปีนเขาได้เหงื่อกันพอสมควร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็กลับมาที่ Echo Point กันอีกรอบนึง
ที่ Echo Point มีศูนย์บริการน้กท่องเที่ยวอยู่ มีห้องน้ำให้บริการล้างหน้าล้างตาให้หายเหนื่อย ข้างในมีร้านขายเครื่องดื่มและของที่ระลึก เห็นรูปน้องโคอาล่าตัวนี้ น่ารักน่าเอ็นดู
ออกจากศูนย์บริการฯมาเก็บภาพบริเวณจุดชมวิวกันอีกสักรอบ ลองดูปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวกัน
ภาพสามสาวพี่น้องแบบเต็มๆตา
ภาพนี้ดูแล้วรู้สึกถึงสัจธรรมของมนุษย์ตัวน้อยๆเทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ภาพเต็มๆตาของเทือกเขา Blue Mountain กันอีกสักครั้ง
ปิดท้ายของ Blue Mountain และเมือง Katoomba ด้วยตอกไม้สวยๆที่ปลูกกันแทบทุกบ้าน เรียงรายตลอด 2 ข้างทางที่รสบัสขับผ่าน
ได้เวลาต้องร่ำลา Blue Mountain และ Katoomba กันแล้ว คนขับรถบัสมีช็อตเด็ดพาเรามาส่งที่จุดจอดหมายเลข 26 เป็นสถานี Laura Station ซึ่งจากจุดจอดรถเดินไปสถานีได้เลย ใกล้กว่าที่เดินมาจากสถานี Katoomba เสียอีก เราขึ้นรถไฟประมาณ 15.00 น. ขากลับคนแน่นมาก ต้องนั่งเบียดกันบนขั้นบันไดขึ้นชั้นสอง
ใช้เวลา 2 ชม.ครึ่ง เวลาประมาณ 17.30 น. เราก็กลับเข้ามาถึงตัวเมืองซิดนีย์ จาก Central Station เราเดินเข้ามาใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านธุรกิจและย่านช้อปปิ้ง
เราเห็นร้าน Sushi ร้านนี้โชว์ซูชิหน้าตาแบบต่างๆดูน่ากินมาก เลยจัดมาซะ
แต่ละก้อนใหญ่เท่ากำมือ ขอบอกว่าเป็นซูชิสไตล์คนออสซี่ ที่กินแล้วอิ่มและอร่อยมากๆ
หลังจากเดินเที่ยวและช้อปปิ้งกันพอสมควรแล้ว เรานั่งรถเมล์กลับไปที่ Central Station โดยใช้ตั๋วใบเดียวกันที่ซื้อมาจากสนามบินได้เลย จากนั้นเราก็ขึ้น Light Rail เพื่อกลับที่พัก
ทิ้งท้ายวันนี้ด้วยภาพสวยๆของ Darling Harbour ยามค่ำคืน จากหน้าต่างห้องนอน คืนนี้เราต้องเก็บแรงกันไว้เยอะๆ
พรุ่งนี้เราจะต้องออกตระเวณทั้งวันจนถึงเที่ยงคืนเพื่อชมพลุ Count Down สวยๆ รับปีใหม่ 2015 กัน
ขอเชิญมาร่วมติดตามกันได้ที่นี่ครับ
http://ppantip.com/topic/34854382
[CR] ทริปออสเตรเลีย วันที่สี่ ออกไปเยี่ยมชมธรรมชาติใกล้เมืองซิดนีย์ ที่ Blue Mountain กัน
และ ทริปวันที่สาม ตอนที่สอง เยี่ยมชมสัตว์น่ารักๆที่ Taronga Zoo เดินเล่นย่าน The Rocks ชิม Pancake ชื่อดัง ที่ http://ppantip.com/topic/34822793
วันนี้เราไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเหมือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังต้องตื่นเช้าอยู่ดี เรามารอรถ Light Rail ตั้งแต่ 7 โมงเช้า เพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานี Central Station ไปเที่ยว Blue Mountain กัน
เพียงแค่ 10 นาทีเราก็มาถึงสถานี Central Station วันนี้เพิ่งได้เห็นความสวยงามและยิ่งใหญ่ของสถานีนี้อย่างเต็มๆ
เราขึ้นรถไฟรอบ 8 โมงเช้า รถไฟที่นี่กว้างขวาง สะอาด แอร์เย็น ดูทันสมัยมาก สิ่งที่ดูแปลก นอกจากจะมีสองชั้นอย่างที่บอกไปในตอนก่อนหน้าแล้วนั้น ก็คือรถไฟที่นี่เค้าออกแบบพนักพิงให้สามารถโยกไปด้านหลังหรือด้านหน้าก็ได้ทั้ง2ด้าน ทำให้ไม่ว่ารถไฟจะวิ่งไปทางไหนก็สามารถปรับที่นั่งให้หันหน้าไปทางหัวขบวนได้ รถไฟบ้านเราน่าปรับเอามาใช้บ้าง
ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่ง เวลา 10.30 เราก็มาถึงสถานี Katoomba ซึ่งเป็นสถานีของ Blue Mountain
ดูปริมาณคนที่มาลงที่นี่แล้วเชื่อได้ว่าลงไม่ผิดแน่ๆ
เดินออกมาจากสถานีรถไฟ มาสักพักจะเจอศูนย์บริการนักท่องเที่ยวซึ่งขายตั๋วรถบัส Hop on / Hop off นำเที่ยวบริเวณโดยรอบของ Blue Mountain เราก็จัดแจงใช้บัตร I-Venture Card มาแลกตั๋วรถบัสในทันที ราคาปกติคนละ 40 AUD ประหยัดไปได้คนละ 7 AUD ^^
จากแผนที่ (เวป www.city-sightseeing.com) จะเห็นได้ว่าเส้นทางจะพาเราวิ่งผ่านเมือง Katoomba ออกไปชมทิวทัศน์บริเวณริมผาตามจุดต่างๆ ซึ่งจะมีจุดจอดทั้งในและนอกเมืองถึง 25 จุด ซึ่งถ้ามีเวลา 1 วันคงไม่สามารถขึ้น-ลงทุกจุดได้ เลยต้องวางแผนให้ดีเพื่อไปลงตามจุดสำคัญต่างๆ
ประมาณ 11.30 น. จุดแรกที่เราไปชม คือจุดหมายเลข 8 บนถนน Cliff Dr. เป็นจุดแรกหลังพ้นจากเขตเมืองที่เราจะสามารถชื่นชมทิวทัศน์ของอุทยาน Blue Mountain ได้อย่างเต็มตา
มองออกไปจะเห็นทิวเขากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นหมอกสีฟ้าๆ ว่ากันว่าเป็นละอองของน้ำมันจากต้นยูคาลิปตัสที่ระเหยขึ้นสู่อากาศ เมื่อแสงอาทิตย์ทำมุมหักเหกับละอองน้ำมันมากระทบตาเราทำให้มองเห็นเป็นสีฟ้า อันเป็นที่มาของชื่อ Blue Mountain นั่นเอง
วันที่ไปโชคดีมากที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง ทำให้เห็นหมอกสีฟ้าได้ค่อนข้างชัดเจน ที่จุดนี้นอกจากทิวเขาท่ามกลางหมอกสีฟ้าแล้ว เราจะเริ่มเห็นสามอนงค์พี่น้องทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของอุทยานนี้
นอกจากนั้นเมื่อมองลงไปด้านล่าง จะเห็นน้ำตก Katoomba Cascades ซึ่งเดินลงไปได้จากจุดจอดที่ 11 บอกตรงๆว่าไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าน้ำตกบ้านเรา น่ำน้อยมาก
อีก High Light หนึ่งซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากที่นี่คือ Cable Car ชื่อ SKYWAY ซึ่งเป็นกระเช้าที่ให้บริการให้น้กท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวของเทือกเขาจากด้านบน
เวลา 12.15 น. เรามาถึงจุดจอดหมายเลข 9 ชื่อว่า Scenic World เป็นจุดรวมของเครื่องเล่น 4 ชนิดด้วยกัน คือ SKYWAY ลอยตัวอยู่เหนือเทือกเขา, WALKWAY เดินชมป่าฝนยุค Jurassic, CABLEWAY ผจญภัยบน Cable Car ที่สูงชันที่สุดในซีกโลกใต้ และ RAILWAY ทางรถไฟหลังคากระจกที่สูงชันที่สุดในโลกถึง 52 องศา ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.scenicworld.com.au
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวสนใจมาใช้บริการเครื่องเล่นเป็นจำนวนมาก เครื่องเล่นเหล่านี้ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม ไม่ได้รวมอยู่ในตั๋วที่ใช้ i-Venture Card แลกมา ค่าบริการเป็นแบบเหมารวมคนละ 35 AUD ถ้าซื้อมาจากจุดบริการที่บริเวณสถานีรถไฟแบบเหมารวมจะถูกกว่ามาซื้อที่นี่ แต่อาจมีโอกาสไม่ได้เล่นเนื่องจากต้องต่อคิวยาวมาก วันที่เรามาอากาศดีมาก แต่ละคิวใช้เวลารอไม่ต่ำกว่า 3 ชม. เราเลยจำต้องร่ำลา
เวลา 12.45 เราก็มาถึงจุดที่ 14 ซึ่งเป็น High Light ของอุทยานนี้ ขื่อว่า Echo Point เป็นจุดชมวิวหลักของอุทยาน ที่ Echo Point นอกจากจะเป็นจุดชมทิวเขาสวยๆในระยะไกลแล้ว ใกล้ๆกันยังเป็นที่ตั้งของยอดเขาเล็กๆ 3 ยอด ที่คนในพื้นที่ตั้งชื่อให้ว่า The Three Sisters
คนขับรถบัสได้เล่าเรื่องเล่าให้เราฟังว่า ในสมัยก่อนหุบเขาแห่งนี้มีพ่อมดซึ่งมีคาถาอาคมแกร่งกล้า มีลูกสาวแสนสวย 3 คน อาศัยอยู่บนยอดเขา ในขณะที่ตีนเขาเป็นที่อยู่ของอสูรกายโหดร้ายน่ากลัว วันหนึ่งลูกสาวแสนซนทั้ง 3 พากันวิ่งเล่นบนเขา เป็นเหตุให้เกิดหินถล่มลงไปด้านล่าง อสูรกายโกรธมาก จึงปีนเขาขึ้นมาหวังจะคว้า3สาวไปกิน พ่อมดเลยเสกคาถาให้ 3 สาวกลายเป็นหิน เสกตัวเองเป็นนกบินคาบคฑาหนีออกมา อสูรกายเลยทำอะไรไม่ได้ แต่พ่อมดเผลอทำคฑาหล่นในหุบเขา คนขับรถเลยบอกว่าถ้าใครเห็นอย่าเอาไปคืนพ่อมด ให้เอาไปให้เค้า ^^
ที่จุดนี้เราจะเห็นทิวเขาที่เรียงตัวกันแบบ Cascade ลึกเข้าไปแบบสุดลูกหูลูกตา แซมด้วยไอหมอกสีฟ้าที่แทรกอยู่ในทุกอณูของขุนเขา
มองดูแล้วรู้สึกคล้าย Grand Canyon ต่างกันที่ที่นี่เป็นภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมไปทั้งหมดให้ความรู้สึกชุ่มชื้นร่มเย็นแตกต่างไปจาก Grand Canyon ที่ให้ความรู้สึกว่าร้อนและแห้งแล้ง
จากจุดชมวิว เราเดินออกกำลังไปชมความงามของพี่น้อง 3 สาวอย่างใกล้ชิด ด้วยการไปปีน The Three Sisters กันเลย
ชมความสวยงามของธรรมชาติโดยรอบ
หน้าตา The Three Sisters ชัดๆ ดูแล้วคิดว่าหน้าตาคล้ายม้ากำลังยก 2 ขาตะกุยอากาศซะมากกว่า ว่ามั้ย?
เดินปีนเขาได้เหงื่อกันพอสมควร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็กลับมาที่ Echo Point กันอีกรอบนึง
ที่ Echo Point มีศูนย์บริการน้กท่องเที่ยวอยู่ มีห้องน้ำให้บริการล้างหน้าล้างตาให้หายเหนื่อย ข้างในมีร้านขายเครื่องดื่มและของที่ระลึก เห็นรูปน้องโคอาล่าตัวนี้ น่ารักน่าเอ็นดู
ออกจากศูนย์บริการฯมาเก็บภาพบริเวณจุดชมวิวกันอีกสักรอบ ลองดูปริมาณนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวกัน
ภาพสามสาวพี่น้องแบบเต็มๆตา
ภาพนี้ดูแล้วรู้สึกถึงสัจธรรมของมนุษย์ตัวน้อยๆเทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ภาพเต็มๆตาของเทือกเขา Blue Mountain กันอีกสักครั้ง
ปิดท้ายของ Blue Mountain และเมือง Katoomba ด้วยตอกไม้สวยๆที่ปลูกกันแทบทุกบ้าน เรียงรายตลอด 2 ข้างทางที่รสบัสขับผ่าน
ได้เวลาต้องร่ำลา Blue Mountain และ Katoomba กันแล้ว คนขับรถบัสมีช็อตเด็ดพาเรามาส่งที่จุดจอดหมายเลข 26 เป็นสถานี Laura Station ซึ่งจากจุดจอดรถเดินไปสถานีได้เลย ใกล้กว่าที่เดินมาจากสถานี Katoomba เสียอีก เราขึ้นรถไฟประมาณ 15.00 น. ขากลับคนแน่นมาก ต้องนั่งเบียดกันบนขั้นบันไดขึ้นชั้นสอง
ใช้เวลา 2 ชม.ครึ่ง เวลาประมาณ 17.30 น. เราก็กลับเข้ามาถึงตัวเมืองซิดนีย์ จาก Central Station เราเดินเข้ามาใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านธุรกิจและย่านช้อปปิ้ง
เราเห็นร้าน Sushi ร้านนี้โชว์ซูชิหน้าตาแบบต่างๆดูน่ากินมาก เลยจัดมาซะ
แต่ละก้อนใหญ่เท่ากำมือ ขอบอกว่าเป็นซูชิสไตล์คนออสซี่ ที่กินแล้วอิ่มและอร่อยมากๆ
หลังจากเดินเที่ยวและช้อปปิ้งกันพอสมควรแล้ว เรานั่งรถเมล์กลับไปที่ Central Station โดยใช้ตั๋วใบเดียวกันที่ซื้อมาจากสนามบินได้เลย จากนั้นเราก็ขึ้น Light Rail เพื่อกลับที่พัก
ทิ้งท้ายวันนี้ด้วยภาพสวยๆของ Darling Harbour ยามค่ำคืน จากหน้าต่างห้องนอน คืนนี้เราต้องเก็บแรงกันไว้เยอะๆ
พรุ่งนี้เราจะต้องออกตระเวณทั้งวันจนถึงเที่ยงคืนเพื่อชมพลุ Count Down สวยๆ รับปีใหม่ 2015 กัน
ขอเชิญมาร่วมติดตามกันได้ที่นี่ครับ http://ppantip.com/topic/34854382