[หนังโรงเรื่องที่ 126] Zootopia/นครสัตว์มหาสนุก ; (Byron Howard, Rich Moore,2016)
คะแนน : 12/10 (ประทับใจมาก,ควรจะดูซักครั้งในชีวิต)
เรื่องย่อ : เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่บรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลายใช้ชีวิตอยู่ในความศิวิไลซ์และมีอาชีพเป็นของตัวเอง ซึ่งตัวเอกของเราอย่าง 'จูดี้' เป็นกระต่ายน้อยที่อยากจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็มีอุปสรรคมากมายเพราะถึงแม้ในโลกนี้สัตว์ทุกๆตัวจะสามารถเลือกอาชีพของตัวเองได้อย่างเสรี แต่ก็ยังมีการเหยียดแบบ stereotype ว่า 'เป็นกระต่ายก็ไปทำฟาร์มแครอทเถอะ ตำรวจไม่ใช่งานของแก' ... แต่จูดี้ก็บ่ยั่นปากกัดตีนถีบจนจบจากโรงเรียนตำรวจด้วยคะแนนอันดับหนึ่งได้ และในขณะเดียวกันนคร 'ซูโทเปีย' ก็อยู่ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ที่มีสัตว์ในเมืองหายตัวไปอย่างลึกลับด้วย
.
สิ่งแรกที่ชอบที่สุดเลยคือแกนหลักของเรื่องที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามและแม่นยำ ด้วยข้อความแฝงที่สื่อถึงการเหยียดชนชาติ (racism) ... แม้ในซูโทเปียก็หนีปัญหานี้ไม่พ้น เช่นใครๆต่างก็คิดว่าหมาจิ้งจอกจะต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปลิ้นปล้อนไว้ใจไม่ได้แน่ๆ หรือจำเป็นมั้ยที่ตัวสล็อธจะต้องเป็นสัตว์ที่โคตรจะเชื่องช้าตลอดเวลา? คำถามที่หนังถามเราย้อนกลับมามันชวนให้เราฉุกคิดถึงการที่เราเหมารวมคนซักกลุ่มว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แน่ๆมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ? ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องของอุปนิสัยแต่ละคนไป
.
สิ่งที่ชื่นชอบรองลงมาก็คือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครเอกทั้งสองที่ออกมาแบบมาได้ดีจนน่าชื่นชม อาทิตัวเอกอย่างจูดี้เองก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากในตัวเลือกชีวิตของตัวเองจากการโดนดูถูกของคนรอบข้าง เพราะไม่มีใครเชื่อว่าสัตว์ตัวเล็กจ้อยนิสัยรักสงบอย่างกระต่ายจะเป็นตำรวจที่ดีได้ เช่นเดียวกับ 'นิค' หมาจิ้งจอกนักตุ๋นที่ทำมาหากินโดยการหลอกลวงชาวบ้านไปวันๆที่ต้องหลวมตัวมาร่วมไขคดีกับจูดี้ที่เปรียบเสมือนด้านตรงข้ามของนิสัยตัวเองโดยสิ้นเชิง
.
ซึ่งไอ้ความแตกต่างของสองคนนี้แหละที่ทำให้รูปแบบของมิตรภาพมันออกมาในลักษณะน่ารักน่าชังมากกกกกกกกกกกกกกเหมือนเป็นคู่ซี้-คู่กัดกันในเวลาเดียวกัน, ซึ่งการที่ทั้งคู่ค่อยๆสร้างความเชื่อใจ(trust)ขึ้นมาทีละนิดจากการผจญภัยเสี่ยงอันตรายร่วมกันมันทำให้เรื่องราวมีน้ำหนักโคตรๆส่งผลให้ฉากดราม่าบีบน้ำตาได้ผลอย่างที่สุด (แอบเหลือบไปมองเช็ดน้ำตากันครึ่งค่อนโรง) โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าการที่ตัวละครทั้งสองตัวต้องผ่านเรื่องราวยากๆในชีวิตร่วมกันมา มันทำให้เราอินกับหนังได้มากกว่าในฐานะผู้ใหญ่นะ
.
นอกเหนือจากเรื่องราวที่เข้มข้นแล้ว 'การเก็บรายละเอียด' ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เวรี่คูลมากๆ คือในประเด็นนี้ต้องกราบความเนี้ยบของทีมงานดิสนี่ย์ที่ใส่ใจกับดีเทลเล็กๆน้อยในเรื่องให้คนช่างสังเกตอย่างเราๆเก็บมาอมยิ้มได้ อาทิเช่นโทรศัพท์ของจูดี้เองถ้ามองดีๆที่ด้านหลังก็จะเป็นโลโก้ 'แครอต' ที่แซวแบรนด์แอปเปิ้ลอีกที หรือจะเป็นกิมมิกล้อเลียนการ์ตูนค่ายตัวเองอย่าง Tangled,Frozen บนแผงซีดีเถื่อนอีก และที่พิเศษสุดคือมุกที่ล้อเลียนหนังคลาสสิคอย่าง 'The Godfather' ที่ให้หนูตัวจ้อยมารับบทบาทเจ้าพ่อ ดอน คอลิโอเน่ กับสำเนียงการพูดแก้มตุ่ยที่เราคุ้นเคย (ฉากนี้ขำคนเดียวในโรง รู้สึกผิดมาก XD)
.
ดังนั้นพอจับข้อดีทั้งหลายมารวมๆกันแล้ว Zootopia มันเลยเป็นส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบในข้อความที่หนังพยายามจะสื่อออกมาให้คนดูทราบ มันเป็นการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดจนเด็กสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก และผู้ใหญ่สามารถตีความต่อได้ไปพร้อมๆกัน ซึ่งความซับซ้อนในความเรียบง่ายของเรื่องนี่แหละที่มันเป็นเสน่ห์ให้หนังมันน่าจดจำ และผํ้เขียนเชื่อว่าในแง่ของความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนที่หนังสื่อออกมานั้นอาจจะทำได้ยอดเยี่ยมกว่า Inside Out เสียอีก
ต้องขออวยว่ามันเป็นสื่อที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง และเป็นความบันเทิงที่งดงามเหมาะสมที่จะดูได้ทั้งครอบครัว.
ป.ล.ความ stereotype ที่ฮาอีกอย่าง คือหมีลูกน้องเจ้าพ่ออิตาลีที่แต่งตัวเหมือนมาเฟียรัสเซีย
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า FB ครับ ...
[หนังโรงเรื่องที่ 126] Zootopia/นครสัตว์มหาสนุก by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 126] Zootopia/นครสัตว์มหาสนุก ; (Byron Howard, Rich Moore,2016)
คะแนน : 12/10 (ประทับใจมาก,ควรจะดูซักครั้งในชีวิต)
เรื่องย่อ : เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่บรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลายใช้ชีวิตอยู่ในความศิวิไลซ์และมีอาชีพเป็นของตัวเอง ซึ่งตัวเอกของเราอย่าง 'จูดี้' เป็นกระต่ายน้อยที่อยากจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็มีอุปสรรคมากมายเพราะถึงแม้ในโลกนี้สัตว์ทุกๆตัวจะสามารถเลือกอาชีพของตัวเองได้อย่างเสรี แต่ก็ยังมีการเหยียดแบบ stereotype ว่า 'เป็นกระต่ายก็ไปทำฟาร์มแครอทเถอะ ตำรวจไม่ใช่งานของแก' ... แต่จูดี้ก็บ่ยั่นปากกัดตีนถีบจนจบจากโรงเรียนตำรวจด้วยคะแนนอันดับหนึ่งได้ และในขณะเดียวกันนคร 'ซูโทเปีย' ก็อยู่ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ที่มีสัตว์ในเมืองหายตัวไปอย่างลึกลับด้วย
.
สิ่งแรกที่ชอบที่สุดเลยคือแกนหลักของเรื่องที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามและแม่นยำ ด้วยข้อความแฝงที่สื่อถึงการเหยียดชนชาติ (racism) ... แม้ในซูโทเปียก็หนีปัญหานี้ไม่พ้น เช่นใครๆต่างก็คิดว่าหมาจิ้งจอกจะต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปลิ้นปล้อนไว้ใจไม่ได้แน่ๆ หรือจำเป็นมั้ยที่ตัวสล็อธจะต้องเป็นสัตว์ที่โคตรจะเชื่องช้าตลอดเวลา? คำถามที่หนังถามเราย้อนกลับมามันชวนให้เราฉุกคิดถึงการที่เราเหมารวมคนซักกลุ่มว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แน่ๆมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ? ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องของอุปนิสัยแต่ละคนไป
.
สิ่งที่ชื่นชอบรองลงมาก็คือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครเอกทั้งสองที่ออกมาแบบมาได้ดีจนน่าชื่นชม อาทิตัวเอกอย่างจูดี้เองก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากในตัวเลือกชีวิตของตัวเองจากการโดนดูถูกของคนรอบข้าง เพราะไม่มีใครเชื่อว่าสัตว์ตัวเล็กจ้อยนิสัยรักสงบอย่างกระต่ายจะเป็นตำรวจที่ดีได้ เช่นเดียวกับ 'นิค' หมาจิ้งจอกนักตุ๋นที่ทำมาหากินโดยการหลอกลวงชาวบ้านไปวันๆที่ต้องหลวมตัวมาร่วมไขคดีกับจูดี้ที่เปรียบเสมือนด้านตรงข้ามของนิสัยตัวเองโดยสิ้นเชิง
.
ซึ่งไอ้ความแตกต่างของสองคนนี้แหละที่ทำให้รูปแบบของมิตรภาพมันออกมาในลักษณะน่ารักน่าชังมากกกกกกกกกกกกกกเหมือนเป็นคู่ซี้-คู่กัดกันในเวลาเดียวกัน, ซึ่งการที่ทั้งคู่ค่อยๆสร้างความเชื่อใจ(trust)ขึ้นมาทีละนิดจากการผจญภัยเสี่ยงอันตรายร่วมกันมันทำให้เรื่องราวมีน้ำหนักโคตรๆส่งผลให้ฉากดราม่าบีบน้ำตาได้ผลอย่างที่สุด (แอบเหลือบไปมองเช็ดน้ำตากันครึ่งค่อนโรง) โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าการที่ตัวละครทั้งสองตัวต้องผ่านเรื่องราวยากๆในชีวิตร่วมกันมา มันทำให้เราอินกับหนังได้มากกว่าในฐานะผู้ใหญ่นะ
.
นอกเหนือจากเรื่องราวที่เข้มข้นแล้ว 'การเก็บรายละเอียด' ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เวรี่คูลมากๆ คือในประเด็นนี้ต้องกราบความเนี้ยบของทีมงานดิสนี่ย์ที่ใส่ใจกับดีเทลเล็กๆน้อยในเรื่องให้คนช่างสังเกตอย่างเราๆเก็บมาอมยิ้มได้ อาทิเช่นโทรศัพท์ของจูดี้เองถ้ามองดีๆที่ด้านหลังก็จะเป็นโลโก้ 'แครอต' ที่แซวแบรนด์แอปเปิ้ลอีกที หรือจะเป็นกิมมิกล้อเลียนการ์ตูนค่ายตัวเองอย่าง Tangled,Frozen บนแผงซีดีเถื่อนอีก และที่พิเศษสุดคือมุกที่ล้อเลียนหนังคลาสสิคอย่าง 'The Godfather' ที่ให้หนูตัวจ้อยมารับบทบาทเจ้าพ่อ ดอน คอลิโอเน่ กับสำเนียงการพูดแก้มตุ่ยที่เราคุ้นเคย (ฉากนี้ขำคนเดียวในโรง รู้สึกผิดมาก XD)
.
ดังนั้นพอจับข้อดีทั้งหลายมารวมๆกันแล้ว Zootopia มันเลยเป็นส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบในข้อความที่หนังพยายามจะสื่อออกมาให้คนดูทราบ มันเป็นการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดจนเด็กสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก และผู้ใหญ่สามารถตีความต่อได้ไปพร้อมๆกัน ซึ่งความซับซ้อนในความเรียบง่ายของเรื่องนี่แหละที่มันเป็นเสน่ห์ให้หนังมันน่าจดจำ และผํ้เขียนเชื่อว่าในแง่ของความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนที่หนังสื่อออกมานั้นอาจจะทำได้ยอดเยี่ยมกว่า Inside Out เสียอีก
ต้องขออวยว่ามันเป็นสื่อที่ใช่ในเวลาที่ถูกต้อง และเป็นความบันเทิงที่งดงามเหมาะสมที่จะดูได้ทั้งครอบครัว.
ป.ล.ความ stereotype ที่ฮาอีกอย่าง คือหมีลูกน้องเจ้าพ่ออิตาลีที่แต่งตัวเหมือนมาเฟียรัสเซีย
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า FB ครับ ...