เกาะซาโมเซียและทะเลสาบโตบา ความงดงามและสงบเกินจะบรรยาย
ความเดิมจากตอนที่แล้ว :
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 1 – ดั่งต้องมนต์ที่น้ำตกสองสี
http://ppantip.com/topic/34835228
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 2 – ซิบายัค & ซินาบุง คู่กันตลอดไป
http://ppantip.com/topic/34835327
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2016
พวกเรานั่งรถออกจากเบอราสตากี้ตอนราว ๆ 11 โมง เราจะตรงไปเมืองปาราปัตโดยจะแวะที่น้ำตกซิปิโซปิโซ(Sipisopiso) กันก่อน
ระยะทางระหว่างเบอราสตากี้ - ปาราปัต
ระหว่างทาง แมรี่กำชับให้คนขับแวะให้เรากินข้าวที่ร้านหมูย่างแห่งหนึ่ง หมูย่างเป็นของขึ้นชื่อของเบอราสตากี้ อั๊บดีบอกว่าเราจะกินหมูย่างได้เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น เขาจะไม่ย่างกันในตอนเย็น
ถ้านึกถึงอินโดฯ ก็มักจะนึกถึงประเทศที่มีคนนับถืออิสลามเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับเขตสุมาตราเหนือแล้ว ชนชาวคริสต์จะเยอะกว่า จึงทำให้มีร้านอาหารที่ขายเนื้อหมู
เนื้อหมูย่าง ย่างค่อนข้างเกรียม ดำจนกรอบ รสชาติที่กิน พวกเราสรุปเป็นเอกฉันท์ว่า หมูย่างที่ไทยอร่อยกว่าครับ
เกรียมกรอบ ๆ (ภาพจากอินเตอร์เนต พอดีลืมถ่ายมา)
จากร้านหมูย่าง เรานั่งรถอีกไม่นานก็ถึงน้ำตกซิปิโซ-ปิโซ (Sipiso-piso) น้ำตกนี้มีมีความสูงราว 120 เมตร เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในอินโดนีเซีย
นำ้ตกซิปิโซ-ปิโซ
จากที่ผมอ่านมา ที่มาของชื่อน้ำตกมาจากคำว่าPisau(ปิเซา)ที่แปลว่ามีด คงเป็นเพราะความยาวของน้ำตกที่ทำให้ดูเหมือนมีดยาว
ค่าชมน้ำตกอยู่ที่คนละ 4,000 รูเปีย(10.4 บาท) เท่านั้น โดยเราสามารถเดินลงไปชมน้ำตกแบบใกล้ชิดถึงส่วนล่างของน้ำตกได้เลย
มีทางเดินยาวไปถึงด้านล่าง
พวกเราไม่ได้เดินไปถึงข้างล่าง เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น (ยังปวดขาจากซิบายัคด้วย –“) ก็เลยเดินไปถึงจุดชมน้ำตกชัด ๆ เพื่อแอ้กท่าถ่ายรูปนิดหน่อย
น้ำขวดจากธรรมชาติแท้ ๆ ^^
เราใช้เวลาที่นี่ราวครึ่งชม.ก็เริ่มเดินทางต่อ ตอนแรกผมคิดว่าเราใกล้ถึงแล้ว เพราะจากน้ำตกซิปิโซ-ปิโซ เราสามารถมองไปเห็นทะเลสาบโตบาได้ แต่ในความเป็นจริง เราต้องขับอ้อมไปอ้อมมาจนเวียนหัว กว่าจะถึงปาราปัตก็เกือบสองชั่วโมง –”
ใกล้แค่ไหนก็ยังไกล --"
ปาราปัตเป็นเมืองท่าอยู่ริมทะเลสาบโตบา(Toba lake) เราจะนั่งเรือข้ามไปยังเกาะซาโมเซีย(Samosir Island)จากที่นี่ ท่าเรือที่นี่เรียกว่า tiga raja(ติการาจา) ค่าเรือคนละ 15,000 รูเปีย แต่ถ้าให้ส่งถึงรีสอร์ทเลย (รีสอร์ทพวกเราอยู่ริมน้ำ) เพิ่มอีกห้าพัน เป็น 20,000 รูเปีย (52 บาท)
รีสอร์ทของเราอยู่ที่หมู่บ้านตุ๊กตุ๊ก(Tuk Tuk) แหล่งที่พักบนเกาะซาโมเซียส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณนี้ทั้งหมด
ภาพแผนที่คร่าว ๆ ของเกาะซาโมเซีย(ภาพจากอินเตอร์เนต)
ป.ล. จริง ๆ แล้วภาพนี้ผิดนิดนึง เพราะเกาะซาโมเซียจะไม่ตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่
ก่อนหน้าที่จะมาเที่ยวสุมาตราเหนือ สิ่งที่ทำให้ผมสนใจจะมาที่นี่ก็คือทะเลสาบโตบานี่แหล่ะครับ เพราะมันเป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ใหญ่แค่ไหนน่ะหรือครับ ก็แค่ยาวราว 100 กิโลเมตร กว้าง 30 กิโลเมตร และลึก 505 กิโลเมตร แค่นั้นเอง ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ เกาะซาโมเซียที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบโตบานั้น มีขนาดใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์!
การระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดทะเลสาบโตบาเกิดขึ้นเมื่อกว่าเจ็ดหมื่นปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์คาดกันว่า การระเบิดครั้งนั้นถึงขั้นทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งกันเลย เรียกว่ารุนแรงมาก (อ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Lake_Toba)
บรรยากาศในการนั่งเรือข้ามทะเลสาบโตบาค่อนข้างน่ารื่นรมย์ คลื่นทะเล(สาบ)มีเพียงเล็กน้อย ทำให้เรือไม่โครงเครง ลมโชยมาเอื่อย ๆ ฟ้าครึ้มเล็กน้อย นกพันธุ์นั้นพันธุ์นี้บินไป ๆ มา ๆ
สงบ ยิ่งใหญ่ งดงาม นี่ล่ะ ทะเลสาบโตบา
เรานั่งเรือกันแค่อึดใจเดียว(ครึ่งชม.) ก็มาถึง Toba Village Inn ที่เราจองไว้ เราจะอยู่ที่นี่สองคืน ค่าใช้จ่าย 3 ห้องเฉลี่ย 6 คน ตกเป็นเงินคนละ 1500 บาท ถือว่าถูกมาก เพราะที่นี่เหมือนเป็นรีสอร์ทหรูสำหรับนักท่องเที่ยวฝรั่งในไทยยังไงยังงั้นเลยครับ
บริเวณท่าเทียบเรือของรีสอร์ท
สระว่ายน้ำขนาดกำลังพอดี
ที่พักของพวกเรา สามห้องที่ตึกเดียวกัน
ห้องพักน่านอน
ความตั้งใจของการมาเที่ยวที่นี่ก็คือมาผ่อนคลาย หลังจากผจญภัยมาพอสมควรที่เบอราสตากี้ ที่นี่เราก็จะชิว ๆ กิน ๆ นอน ๆ กันซะที
หลังเข้าที่พัก พวกเราก็อืดอาดเอกเขนกกันอยู่ในห้อง รอเวลาพลบค่ำที่เราจะออกไปหาอะไรกินกัน ซึ่งผมเล็งไว้อยู่แล้วว่าจะไปร้านชื่อ “เจนนี่” เพราะอ่านรีวิว เห็นมีหลายคนบอกว่าดี
เดินออกมาหน้ารีสอร์ทเพื่อไปหาข้าวเย็นกิน
วิวแถวด้านหน้ารีสอร์ท
พอตะวันเริ่มคล้อยต่ำ พวกเราก็เดินออกไปทางด้านหน้าของรีสอร์ท ผมถามทางคนอินโดฯ เขาบอกว่า ร้านเจนนี่อยู่ไกลมาก พวกเราเลยเปลี่ยนแผนหากินใกล้ ๆ แทน ซึ่งเมื่อผมมาดูแผนที่ภายหลัง ถึงได้รู้ว่า…
รีสอร์ทเราอยู่ทางซ้าย ส่วนร้านเจนนี่อยู่ทางขวา
เราอยู่กันคนละฝั่งกับเจนนี่เลยนี่เอง มิน่าฝั่งผมถึงดูเงียบ ๆ หน่อย เพราะเห็นเขาว่าฝั่งที่มีร้านเจนนี่จะคึกคักมากกว่า
เราเดินห่างจากโรงแรมราวสองร้อยเมตรก็พบร้านพิซซ่าน่านั่งแห่งนึง เลยตัดสินใจฝากท้องกับที่นี่แทน ซึ่งคิดไม่ผิด อาหารถูกปาก พิซซ่าก็อร่อยมากเลยครับ
ร้านชื่อ Alyssa Restaurant
ชอบมาก แป้บ ๆ หมดถาด
อันนี้รู้สึกจะเรียกกาโดกาโด เป็นสลัดผักแบบอินโดฯ คนอื่นไม่ชอบเพราะราสซอสถั่ว แต่ผมชอบแฮะ
หมดชั่วพริบตา
หลังท้องอิ่ม พวกเราก็ไม่ได้ไปไหนกันต่อ กลับไปพักผ่อนตามนโยบาย กิน ๆ นอน ๆ ที่เราวางเอาไว้ ราตรีสวัสดิ์….
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2016
พวกเราตื่นนอนกันแบบไม่รีบร้อนเพราะไม่ได้มีแพลนว่าจะไปไหนยังไง เราละเลียดกาแฟแกล้มหมี่โกเรง(หมี่ผัด)และนาซีโกเรง(ข้าวผัด) ที่รีสอร์ทเป็นอาหารเช้า
ตอนแรกผมกะว่าจะพาคณะเราขี่มอเตอร์ไซค์ ไปเที่ยวหมู่บ้านโตม๊อค(Tomok) และหมู่บ้านอัมบาริตา(Ambarita) เราไปสอบถามร้านแถว ๆ รีสอร์ทกันมาแล้วว่า ค่าเช่าต่อหนึ่งวัน (เก้าโมงถึงห้าโมงเย็น) พร้อมน้ำมันเต็มถัง ค่าเช่า 100,000 รูเปีย (260 บาท)
แต่พอผมพลิก ๆ หนังสือรายละเอียดการท่องเที่ยวภายในตัวเกาะ(รีสอร์ทมีให้) ผมก็เปิดไปเจอน้ำตกบินันกาลอม(Binangalom) ซึ่งมีรูปแบบน่าสนใจ โดยเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลสาบโตบากันแบบตรง ๆ เลยครับ
น้ำตกบินันกาลอม(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ผมเลยเสนอเพื่อน ๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วยที่จะไป ผมจึงสอบถามทางรีสอร์ทเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย โดยค่าเรือสปีดโบ๊ทไปน้ำตกนี้อยู่ที่ หนึ่งล้านแปดแสนรูเปีย (4,680 บาท) นอกจากนี้เรือจะพาพวกเราไปขึ้นฝั่งเที่ยวอีกสองหมู่บ้านที่ผมแพลนว่าจะไปด้วย
จะว่าไปก็ดีนะ สบายกว่าแว้นซ์มอเตอร์ไซค์เยอะ
การได้นั่งเรือทำให้เรามีเวลาได้เฝ้ามองบรรยากาศของทะเลสาบโตบา เกาะซาโมเซีย และปากปล่องภูเขาไฟเก่า(ฝั่งแผ่นดิน) อย่างชัด ๆ ถ้าเรามองไปรอบ ๆ จะเหมือนกับว่า เราถูกล้อมด้วยกำแพงสีเขียวตะหง่านอยู่รอบด้าน ส่วนด้านฝั่งเกาะจะเป็นที่ราบสลับกับภูเขา
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า น้ำตกบินันกาลอมอยู่บริเวณไหนของเกาะซาโมเซีย แต่เหมือนคนขับเรือจะบอกว่า มันอยู่ส่วนแผ่นดินใหญ่ เรานั่งเรือจากรีสอร์ทราว ๆ 40 นาทีก็ถึงที่หมาย
เห็นอยู่ไกล ๆ แล้ว
ต้องเทียบเรือเข้าฝั่งก่อนถึงจะเดินไปบริเวณน้ำตกได้
เตรียมใส่เสื้อชูชีพเล่นน้ำกันล่ะ
การเล่นน้ำที่น้ำตกนี้ ผมแนะนำว่า ยังไงก็ต้องใส่เสื้อชูชีพ เพราะกระแสน้ำแรงมาก ความแรงจากน้ำที่ตกลงมาจะคอยผลักดันให้ตัวเราไหลออกอย่างรวดเร็ว ส่วนถ้าจะไปใกล้ ๆ น้ำตก ให้เลาะขอบไปเรื่อย ๆ จะมีพื้นหินให้เหยียบถึงได้ครับ
เหมือนว่ายทะเลแต่เป็นน้ำจืด แปลกดีวุ้ย
กว่าจะถึงใต้น้ำตกก็เล่นเอาเหนื่อย
ก็เป็นอะไรที่แปลก ๆ ดี เหมือนมาเที่ยวทะเลแต่เจอน้ำตกซะงั้น >.<
หลังชุ่มฉ่ำกันจนหนำใจแล้ว พี่คนเรือก็พาพวกเราไปขึ้นฝั่งที่หมู่บ้านอัมบาริต้าและหมู่บ้านโตม๊อค โดยเราจะได้รับชมวัฒนธรรมและโบราณวัตถุของชนเผ่าบาตัค(Batak) คนที่อยู่บนเกาะส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานชาวบาตัคทั้งหมด
ส่วนตัวผม บอกตามตรงว่า ไม่ค่อยสนใจอะไรพวกนี้เท่าไหร่ ขอลงภาพให้ดูอย่างเดียวนะครับ เรื่องจะให้อธิบายอะไรคงต้องขออภัย –"
บ้านสไตล์ชนเผ่าบาตัค
รูปปั้นบริเวณสุสานของหัวหน้าเผ่า
บริเวณลานประหารเหยื่อบูชายัญ
หนุ่มสาวอินโดฯเต้นกับหุ่นเชิดบาตัค
แหล่งขายสินค้าที่ระลึก
แวะกินปลาย่างและหมูย่าง
ลอดช่องอินโดฯ ชื่นใจ
ก็จบกันไปสำหรับหมู่บ้านทั้ง 2 แห่งนะครับ คงพอจะรู้เรื่องบ้างนะครับ แหะ ๆ
เรือกลับมาส่งพวกเราที่รีสอร์ทราว ๆ บ่ายสี่โมง พวกเราพอมีเวลาผ่อนคลายก่อนอาหารเย็นซักพักหนึ่ง ก็ชิว ๆ นอน ๆ เล่น ๆ ตามประสากันไป
เล่นน้ำทะเลสาบยังไ
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 3 – ทะเลสาบโตบาและเกาะซาโมเซีย
เกาะซาโมเซียและทะเลสาบโตบา ความงดงามและสงบเกินจะบรรยาย
ความเดิมจากตอนที่แล้ว :
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 1 – ดั่งต้องมนต์ที่น้ำตกสองสี http://ppantip.com/topic/34835228
สุมาตราเหนือ ตอนที่ 2 – ซิบายัค & ซินาบุง คู่กันตลอดไป http://ppantip.com/topic/34835327
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2016
พวกเรานั่งรถออกจากเบอราสตากี้ตอนราว ๆ 11 โมง เราจะตรงไปเมืองปาราปัตโดยจะแวะที่น้ำตกซิปิโซปิโซ(Sipisopiso) กันก่อน
ระยะทางระหว่างเบอราสตากี้ - ปาราปัต
ระหว่างทาง แมรี่กำชับให้คนขับแวะให้เรากินข้าวที่ร้านหมูย่างแห่งหนึ่ง หมูย่างเป็นของขึ้นชื่อของเบอราสตากี้ อั๊บดีบอกว่าเราจะกินหมูย่างได้เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น เขาจะไม่ย่างกันในตอนเย็น
ถ้านึกถึงอินโดฯ ก็มักจะนึกถึงประเทศที่มีคนนับถืออิสลามเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับเขตสุมาตราเหนือแล้ว ชนชาวคริสต์จะเยอะกว่า จึงทำให้มีร้านอาหารที่ขายเนื้อหมู
เนื้อหมูย่าง ย่างค่อนข้างเกรียม ดำจนกรอบ รสชาติที่กิน พวกเราสรุปเป็นเอกฉันท์ว่า หมูย่างที่ไทยอร่อยกว่าครับ
เกรียมกรอบ ๆ (ภาพจากอินเตอร์เนต พอดีลืมถ่ายมา)
จากร้านหมูย่าง เรานั่งรถอีกไม่นานก็ถึงน้ำตกซิปิโซ-ปิโซ (Sipiso-piso) น้ำตกนี้มีมีความสูงราว 120 เมตร เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในอินโดนีเซีย
นำ้ตกซิปิโซ-ปิโซ
จากที่ผมอ่านมา ที่มาของชื่อน้ำตกมาจากคำว่าPisau(ปิเซา)ที่แปลว่ามีด คงเป็นเพราะความยาวของน้ำตกที่ทำให้ดูเหมือนมีดยาว
ค่าชมน้ำตกอยู่ที่คนละ 4,000 รูเปีย(10.4 บาท) เท่านั้น โดยเราสามารถเดินลงไปชมน้ำตกแบบใกล้ชิดถึงส่วนล่างของน้ำตกได้เลย
มีทางเดินยาวไปถึงด้านล่าง
พวกเราไม่ได้เดินไปถึงข้างล่าง เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น (ยังปวดขาจากซิบายัคด้วย –“) ก็เลยเดินไปถึงจุดชมน้ำตกชัด ๆ เพื่อแอ้กท่าถ่ายรูปนิดหน่อย
น้ำขวดจากธรรมชาติแท้ ๆ ^^
เราใช้เวลาที่นี่ราวครึ่งชม.ก็เริ่มเดินทางต่อ ตอนแรกผมคิดว่าเราใกล้ถึงแล้ว เพราะจากน้ำตกซิปิโซ-ปิโซ เราสามารถมองไปเห็นทะเลสาบโตบาได้ แต่ในความเป็นจริง เราต้องขับอ้อมไปอ้อมมาจนเวียนหัว กว่าจะถึงปาราปัตก็เกือบสองชั่วโมง –”
ใกล้แค่ไหนก็ยังไกล --"
ปาราปัตเป็นเมืองท่าอยู่ริมทะเลสาบโตบา(Toba lake) เราจะนั่งเรือข้ามไปยังเกาะซาโมเซีย(Samosir Island)จากที่นี่ ท่าเรือที่นี่เรียกว่า tiga raja(ติการาจา) ค่าเรือคนละ 15,000 รูเปีย แต่ถ้าให้ส่งถึงรีสอร์ทเลย (รีสอร์ทพวกเราอยู่ริมน้ำ) เพิ่มอีกห้าพัน เป็น 20,000 รูเปีย (52 บาท)
รีสอร์ทของเราอยู่ที่หมู่บ้านตุ๊กตุ๊ก(Tuk Tuk) แหล่งที่พักบนเกาะซาโมเซียส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณนี้ทั้งหมด
ภาพแผนที่คร่าว ๆ ของเกาะซาโมเซีย(ภาพจากอินเตอร์เนต)
ป.ล. จริง ๆ แล้วภาพนี้ผิดนิดนึง เพราะเกาะซาโมเซียจะไม่ตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่
ก่อนหน้าที่จะมาเที่ยวสุมาตราเหนือ สิ่งที่ทำให้ผมสนใจจะมาที่นี่ก็คือทะเลสาบโตบานี่แหล่ะครับ เพราะมันเป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ใหญ่แค่ไหนน่ะหรือครับ ก็แค่ยาวราว 100 กิโลเมตร กว้าง 30 กิโลเมตร และลึก 505 กิโลเมตร แค่นั้นเอง ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ เกาะซาโมเซียที่อยู่ตรงกลางทะเลสาบโตบานั้น มีขนาดใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์!
การระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดทะเลสาบโตบาเกิดขึ้นเมื่อกว่าเจ็ดหมื่นปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์คาดกันว่า การระเบิดครั้งนั้นถึงขั้นทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งกันเลย เรียกว่ารุนแรงมาก (อ้างอิง https://en.m.wikipedia.org/wiki/Lake_Toba)
บรรยากาศในการนั่งเรือข้ามทะเลสาบโตบาค่อนข้างน่ารื่นรมย์ คลื่นทะเล(สาบ)มีเพียงเล็กน้อย ทำให้เรือไม่โครงเครง ลมโชยมาเอื่อย ๆ ฟ้าครึ้มเล็กน้อย นกพันธุ์นั้นพันธุ์นี้บินไป ๆ มา ๆ
สงบ ยิ่งใหญ่ งดงาม นี่ล่ะ ทะเลสาบโตบา
เรานั่งเรือกันแค่อึดใจเดียว(ครึ่งชม.) ก็มาถึง Toba Village Inn ที่เราจองไว้ เราจะอยู่ที่นี่สองคืน ค่าใช้จ่าย 3 ห้องเฉลี่ย 6 คน ตกเป็นเงินคนละ 1500 บาท ถือว่าถูกมาก เพราะที่นี่เหมือนเป็นรีสอร์ทหรูสำหรับนักท่องเที่ยวฝรั่งในไทยยังไงยังงั้นเลยครับ
บริเวณท่าเทียบเรือของรีสอร์ท
สระว่ายน้ำขนาดกำลังพอดี
ที่พักของพวกเรา สามห้องที่ตึกเดียวกัน
ห้องพักน่านอน
ความตั้งใจของการมาเที่ยวที่นี่ก็คือมาผ่อนคลาย หลังจากผจญภัยมาพอสมควรที่เบอราสตากี้ ที่นี่เราก็จะชิว ๆ กิน ๆ นอน ๆ กันซะที
หลังเข้าที่พัก พวกเราก็อืดอาดเอกเขนกกันอยู่ในห้อง รอเวลาพลบค่ำที่เราจะออกไปหาอะไรกินกัน ซึ่งผมเล็งไว้อยู่แล้วว่าจะไปร้านชื่อ “เจนนี่” เพราะอ่านรีวิว เห็นมีหลายคนบอกว่าดี
เดินออกมาหน้ารีสอร์ทเพื่อไปหาข้าวเย็นกิน
วิวแถวด้านหน้ารีสอร์ท
พอตะวันเริ่มคล้อยต่ำ พวกเราก็เดินออกไปทางด้านหน้าของรีสอร์ท ผมถามทางคนอินโดฯ เขาบอกว่า ร้านเจนนี่อยู่ไกลมาก พวกเราเลยเปลี่ยนแผนหากินใกล้ ๆ แทน ซึ่งเมื่อผมมาดูแผนที่ภายหลัง ถึงได้รู้ว่า…
รีสอร์ทเราอยู่ทางซ้าย ส่วนร้านเจนนี่อยู่ทางขวา
เราอยู่กันคนละฝั่งกับเจนนี่เลยนี่เอง มิน่าฝั่งผมถึงดูเงียบ ๆ หน่อย เพราะเห็นเขาว่าฝั่งที่มีร้านเจนนี่จะคึกคักมากกว่า
เราเดินห่างจากโรงแรมราวสองร้อยเมตรก็พบร้านพิซซ่าน่านั่งแห่งนึง เลยตัดสินใจฝากท้องกับที่นี่แทน ซึ่งคิดไม่ผิด อาหารถูกปาก พิซซ่าก็อร่อยมากเลยครับ
ร้านชื่อ Alyssa Restaurant
ชอบมาก แป้บ ๆ หมดถาด
อันนี้รู้สึกจะเรียกกาโดกาโด เป็นสลัดผักแบบอินโดฯ คนอื่นไม่ชอบเพราะราสซอสถั่ว แต่ผมชอบแฮะ
หมดชั่วพริบตา
หลังท้องอิ่ม พวกเราก็ไม่ได้ไปไหนกันต่อ กลับไปพักผ่อนตามนโยบาย กิน ๆ นอน ๆ ที่เราวางเอาไว้ ราตรีสวัสดิ์….
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2016
พวกเราตื่นนอนกันแบบไม่รีบร้อนเพราะไม่ได้มีแพลนว่าจะไปไหนยังไง เราละเลียดกาแฟแกล้มหมี่โกเรง(หมี่ผัด)และนาซีโกเรง(ข้าวผัด) ที่รีสอร์ทเป็นอาหารเช้า
ตอนแรกผมกะว่าจะพาคณะเราขี่มอเตอร์ไซค์ ไปเที่ยวหมู่บ้านโตม๊อค(Tomok) และหมู่บ้านอัมบาริตา(Ambarita) เราไปสอบถามร้านแถว ๆ รีสอร์ทกันมาแล้วว่า ค่าเช่าต่อหนึ่งวัน (เก้าโมงถึงห้าโมงเย็น) พร้อมน้ำมันเต็มถัง ค่าเช่า 100,000 รูเปีย (260 บาท)
แต่พอผมพลิก ๆ หนังสือรายละเอียดการท่องเที่ยวภายในตัวเกาะ(รีสอร์ทมีให้) ผมก็เปิดไปเจอน้ำตกบินันกาลอม(Binangalom) ซึ่งมีรูปแบบน่าสนใจ โดยเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่ทะเลสาบโตบากันแบบตรง ๆ เลยครับ
น้ำตกบินันกาลอม(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ผมเลยเสนอเพื่อน ๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นดีด้วยที่จะไป ผมจึงสอบถามทางรีสอร์ทเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย โดยค่าเรือสปีดโบ๊ทไปน้ำตกนี้อยู่ที่ หนึ่งล้านแปดแสนรูเปีย (4,680 บาท) นอกจากนี้เรือจะพาพวกเราไปขึ้นฝั่งเที่ยวอีกสองหมู่บ้านที่ผมแพลนว่าจะไปด้วย
จะว่าไปก็ดีนะ สบายกว่าแว้นซ์มอเตอร์ไซค์เยอะ
การได้นั่งเรือทำให้เรามีเวลาได้เฝ้ามองบรรยากาศของทะเลสาบโตบา เกาะซาโมเซีย และปากปล่องภูเขาไฟเก่า(ฝั่งแผ่นดิน) อย่างชัด ๆ ถ้าเรามองไปรอบ ๆ จะเหมือนกับว่า เราถูกล้อมด้วยกำแพงสีเขียวตะหง่านอยู่รอบด้าน ส่วนด้านฝั่งเกาะจะเป็นที่ราบสลับกับภูเขา
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า น้ำตกบินันกาลอมอยู่บริเวณไหนของเกาะซาโมเซีย แต่เหมือนคนขับเรือจะบอกว่า มันอยู่ส่วนแผ่นดินใหญ่ เรานั่งเรือจากรีสอร์ทราว ๆ 40 นาทีก็ถึงที่หมาย
เห็นอยู่ไกล ๆ แล้ว
ต้องเทียบเรือเข้าฝั่งก่อนถึงจะเดินไปบริเวณน้ำตกได้
เตรียมใส่เสื้อชูชีพเล่นน้ำกันล่ะ
การเล่นน้ำที่น้ำตกนี้ ผมแนะนำว่า ยังไงก็ต้องใส่เสื้อชูชีพ เพราะกระแสน้ำแรงมาก ความแรงจากน้ำที่ตกลงมาจะคอยผลักดันให้ตัวเราไหลออกอย่างรวดเร็ว ส่วนถ้าจะไปใกล้ ๆ น้ำตก ให้เลาะขอบไปเรื่อย ๆ จะมีพื้นหินให้เหยียบถึงได้ครับ
เหมือนว่ายทะเลแต่เป็นน้ำจืด แปลกดีวุ้ย
กว่าจะถึงใต้น้ำตกก็เล่นเอาเหนื่อย
ก็เป็นอะไรที่แปลก ๆ ดี เหมือนมาเที่ยวทะเลแต่เจอน้ำตกซะงั้น >.<
หลังชุ่มฉ่ำกันจนหนำใจแล้ว พี่คนเรือก็พาพวกเราไปขึ้นฝั่งที่หมู่บ้านอัมบาริต้าและหมู่บ้านโตม๊อค โดยเราจะได้รับชมวัฒนธรรมและโบราณวัตถุของชนเผ่าบาตัค(Batak) คนที่อยู่บนเกาะส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานชาวบาตัคทั้งหมด
ส่วนตัวผม บอกตามตรงว่า ไม่ค่อยสนใจอะไรพวกนี้เท่าไหร่ ขอลงภาพให้ดูอย่างเดียวนะครับ เรื่องจะให้อธิบายอะไรคงต้องขออภัย –"
บ้านสไตล์ชนเผ่าบาตัค
รูปปั้นบริเวณสุสานของหัวหน้าเผ่า
บริเวณลานประหารเหยื่อบูชายัญ
หนุ่มสาวอินโดฯเต้นกับหุ่นเชิดบาตัค
แหล่งขายสินค้าที่ระลึก
แวะกินปลาย่างและหมูย่าง
ลอดช่องอินโดฯ ชื่นใจ
ก็จบกันไปสำหรับหมู่บ้านทั้ง 2 แห่งนะครับ คงพอจะรู้เรื่องบ้างนะครับ แหะ ๆ
เรือกลับมาส่งพวกเราที่รีสอร์ทราว ๆ บ่ายสี่โมง พวกเราพอมีเวลาผ่อนคลายก่อนอาหารเย็นซักพักหนึ่ง ก็ชิว ๆ นอน ๆ เล่น ๆ ตามประสากันไป
เล่นน้ำทะเลสาบยังไ