“คนขับแท็กซี่แสดงท่าทางอ่อนลงไปทันที แล้วก็เลี้ยวรถเข้าข้างทางแต่โดยดี พวกเรารอดพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้แล้ว”
ผมมองเห็นบางอย่างแล้ว รถแท็กซี่ของประเทศเวียดนามนี้พวงมาลัยจะอยู่ด้านซ้าย (ตรงข้ามกับบ้านเรา) แต่กุญแจรถนี่ซิ กลับอยู่ด้านขวาของคนขับ เหมือนกับบ้านเราเลย นั่นหมายความว่ากุญแจรถยนต์อยู่ทางด้านขวามือของคนขับ และอยู่ด้านที่ผมนั่ง ที่ผมจะสามารถคว้ากุญแจ แล้วก็ดึงมันออกมาได้ทันที โดยที่อ้ายแท็กซี่ไม่สามารถที่จะปัดป้องได้
“จอดเดี๋ยวนี้! จอดเดี๋ยวนี้!” ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น แถมได้คำสบถกลับมา (
เอ๋ย! เดาเอานะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า... แต่ตอนนั้นหัวเราะไม่ออกเลยจริงๆ)
ผมหันมามองหน้าของน้องทั้งสองที่กำลังวิตกกังวลอยู่ด้านหลัง เป็นสัญญาณให้เตรียมตัวให้พร้อม ผมกำลังจะทำอะไรบางอย่างเดี๋ยวนี้แล้ว
ผมเอื้อมมือไปจับที่กุญแจรถทันที ตอนนี้แท็กซี่พอจะรู้ตัวแล้ว ว่าผมจะทำอะไร พลางสบถด้วยท่าทางที่หยาบคายอีก! (
เอ๋ย) ในขณะที่ผมทำท่าจะดึง ภายในใจภาวนาว่าขอให้สำเร็จทีเถอะ!
ตอนนั้นคิดในใจว่าไม่อยากเป็นคดีความที่นี่เลย จะต้องเสียเวลา การโกงค่าแท็กซี่อาจเป็นโทษเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการดึงกุญแจรถแล้วทำให้รถหยุดกะทันหัน แล้วก็ไปชนโน่นนี่นั่น โดยเฉพาะคนขี่มอเตอร์ไซด์ที่มีอยู่ทั่วไปหมด คงจะที่หลีกเลี่ยงความเสียหายไม่ได้แน่นอน จะมีคนได้รับบาดเจ็บ เสียทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย แล้วอาจติดคุกก็ได้ สำหรับพวกเรา
แล้วทริปการท่องเที่ยวของพวกเราทริปนี้ก็ต้องสิ้นสุดลงไปด้วย!
เอ๋ย! คำเดิมผมจำได้ อ้ายแท็กซี่สบถอย่างหงุดหงิดที่สุดแล้ว ทันใดนั้นรถแท็กซี่ก็หักเลี้ยวชิดฟุตบาททันที
พวกเรารอดแล้ว!
“ขอ 400,000 ดงละกัน” เรียกกันหน้าด้านๆ เลย คนขับแท็กซี่ต่อรอง (จาก 1 ล้านดง ตอนนี้ขอแค่ 4 แสนดงแล้ว)
ผมตอบตกลง เพราะเงินจำนวนนี้ถ้าเป็นเงินไทยเพียง 640 บาท เมื่อหักค่าแท็กซี่ที่มิเตอร์ขึ้นมาจริงแล้ว ที่ตอนนี้ 2xx,xxx ดงปลายๆ แล้ว ก็เพิ่มเงินมาแค่ร้อยกว่าบาทเท่านั้น เอาเป็นว่าถือว่าฟาดเคราะห์ไปละกัน ผมบอกให้น้องสาวทั้งสองคนลงจากรถก่อน เนื่องจากมีเป้และอุปกรณ์หลายอย่าง แล้วผมก็ลงรถตาม จากนั้นจึงส่งเงินให้ไปทุกอย่างจึงจบ
ก่อนรถจะออกก็มีการอำนวยอวยพรกันเล็กน้อย เป็นภาษาไทยบ้าง ภาษาเวียดนามก็ส่งมา โต้ไปมานิดหน่อย พอให้เป็นที่ระบายอารมณ์ของทั้งสองฝ่าย ทุกอย่างจึงจบลงแบบน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ถือว่าเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้จบลงด้วยดี
พวกเราเรียกแท็กซี่อีกคัน คราวนี้สอบถามราคาเรียบร้อย ถ้าไม่ยอมตอบไม่ขึ้นเด็ดขาด ราคาอยู่ที่ 40,000 ดง (64 บาท) กับการที่อ้ายแท็กซี่พาออกมานอกเส้นทาง ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พวกเราก็มาถึงหน้าห้างสรรพสินค้า Parkson แล้ว
ความเหน็ดเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทัศนะคติที่มีต่อประเทศเวียดนามนี้ไม่ดีเอาเสียเลย นี่เพิ่งวันแรกเองนะเนี่ย เหลืออีกตั้งหลายวัน คงจะต้องระมัดระวังกับการเดินทางทริปนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้รถแท็กซี่
นี่เป็นเพียงแค่การเตือนเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกหลายอย่างสำหรับทริปสุดมันส์ทริปนี้ เรียกได้ว่าเหตุการณ์แท็กซี่นี้เด็กๆ ไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
พวกเรานั่งเล่นนอนเล่น ดื่มโน่นนั่นนี่เป็นเวลานานเพื่อรอเวลา 21.30 น. เพื่อนั่งเครื่องบินสายการบิน VietJet ไปยัง Da Nang ใช้เวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่องก็มีเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กน้อย
สายการบิน VietJet เป็นสายการบิน Low Cost ภายในประเทศ ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา ราคาไม่แพง มีเที่ยวบินให้เลือกมากมายหลายช่วงเวลา ก่อนที่จะถึงเวลาเดินทางก็มีเที่ยวไป Da Nang เหมือนกัน เป็นเวลา 21.00 น. ส่วนของพวกเราช้ากว่าครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นเวลา 21.30 น.
เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็เรียกผู้โดยสารให้เตรียมขึ้นเครื่องบิน ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา ที่ผู้โดยสารจะมายืนรอต่อคิวกัน แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อด้านข้างของพวกเราก็เป็นอีก Gate หนึ่งที่ยืนต่อแถวอยู่เช่นกัน ที่ผู้โดยสารเริ่มมีการโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่กันมากขึ้นแล้ว ไม่ใช่ปัญหาอะไรที่ไหน ก็เครื่องบินที่ไป Da Nang เช่นเดียวกัน ที่เครื่องจะออกเวลา 21.00 น. นั่นเอง ปรากฏว่าเครื่องเกิดการล่าช้า ทำให้เครื่องที่พวกเราจะต้องเดินทางทีหลังได้ขึ้นเครื่องก่อน
ก็เป็นเรื่องซิครับงานนี้! ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ผู้โดยสารเห็นว่าพวกเขาควรจะได้ขึ้นเครื่องไปก่อน แต่ในเรื่องของการบินที่มีการระบุเที่ยวบินที่ชัดเจนเอาไว้แล้ว คงเป็นไปไม่ได้จะเปลี่ยนเครื่องกันง่ายๆ ยังไงก็ต้องรอเที่ยวบินที่ได้จองเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะล่าช้าเพียงใด
เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องอธิบายให้ผู้โดยสารเข้าใจแล้ว แต่ดูแล้วว่ายากมาก!
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ในขณะนี้ที่พวกเราเหนื่อยล้าเต็มที น้องๆ หลับทันทีที่ขึ้นเครื่อง แต่ผมเริ่มเป็นกังวลแล้วว่า โรงแรมที่จองเอาไว้แล้วจะมีปัญหามั้ย เพราะกว่าจะถึงโรงแรมก็จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน เจ้าหน้าที่จะเก็บห้องพักเอาไว้ให้เราอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ละก็งานเข้าทันที อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้แจ้งให้โรงแรมทราบด้วย
แต่พวกเราจองห้องพักเอาไว้ตั้ง 2 คืน คงไม่ยกเลิกห้องพักของเราหรอกนะ ภายในใจพยายามมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน
หลังจากลงเครื่องผมเดินอย่างเร่งรีบ เพื่อเรียกแท็กซี่ไปยังโรงแรมทันที เวลา 5 ทุ่มที่สนามบิน Da Nang ตอนนี้เคาท์เตอร์แท็กซี่ปิดหมดแล้ว คงจะต้องเรียกแท็กซี่ต่อรองเอากับแท็กซี่ที่จอดอยู่ด้านหน้าแล้ว ความกังวลเรื่องแท็กซี่เริ่มกลับมาอีกครั้ง
“300,000 ดง ได้ราคานี้ ลดไม่ได้อีกแล้ว”
นั่นโดนโก่งราคาอีกแล้วพวกเรา เพราะแท็กซี่มีจอดอยู่เพียงไม่กี่คันนี่ก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว ไม่มีให้เลือกอีกแล้ว กับระยะทางที่ไม่เกิน 10 กิโลเมตร ด้วยระยะเวลาเพียงไม่เกิน 15 นาที แพงไม่ใช่เล่นเลย แต่ยังไงก็ต้องยอม
เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ ไม่ถึง 10 นาทีจริงๆ พวกเราก็มาถึงโรงแรมกันแล้ว
โชคดีจริงๆ ห้องพักยังคงรอพวกเราอยู่ แม้ว่าเราจะมาถึงโรงแรมเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ตอนนี้คงจะได้เวลาพักผ่อนเสียที กับการเดินทางที่น่าตื่นเต้นในวันแรกที่ Vietnam
สำหรับพรุ่งนี้เราจะไป Ba Na Hills เมืองแห่งเทพนิยายกัน!
เที่ยวสุดมันส์ Ho Chi Minh –Da Nang – Hoi An [วันที่ 1] Ep. 4
“คนขับแท็กซี่แสดงท่าทางอ่อนลงไปทันที แล้วก็เลี้ยวรถเข้าข้างทางแต่โดยดี พวกเรารอดพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้แล้ว”
ผมมองเห็นบางอย่างแล้ว รถแท็กซี่ของประเทศเวียดนามนี้พวงมาลัยจะอยู่ด้านซ้าย (ตรงข้ามกับบ้านเรา) แต่กุญแจรถนี่ซิ กลับอยู่ด้านขวาของคนขับ เหมือนกับบ้านเราเลย นั่นหมายความว่ากุญแจรถยนต์อยู่ทางด้านขวามือของคนขับ และอยู่ด้านที่ผมนั่ง ที่ผมจะสามารถคว้ากุญแจ แล้วก็ดึงมันออกมาได้ทันที โดยที่อ้ายแท็กซี่ไม่สามารถที่จะปัดป้องได้
“จอดเดี๋ยวนี้! จอดเดี๋ยวนี้!” ผมเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น แถมได้คำสบถกลับมา (เอ๋ย! เดาเอานะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า... แต่ตอนนั้นหัวเราะไม่ออกเลยจริงๆ)
ผมหันมามองหน้าของน้องทั้งสองที่กำลังวิตกกังวลอยู่ด้านหลัง เป็นสัญญาณให้เตรียมตัวให้พร้อม ผมกำลังจะทำอะไรบางอย่างเดี๋ยวนี้แล้ว
ผมเอื้อมมือไปจับที่กุญแจรถทันที ตอนนี้แท็กซี่พอจะรู้ตัวแล้ว ว่าผมจะทำอะไร พลางสบถด้วยท่าทางที่หยาบคายอีก! (เอ๋ย) ในขณะที่ผมทำท่าจะดึง ภายในใจภาวนาว่าขอให้สำเร็จทีเถอะ!
ตอนนั้นคิดในใจว่าไม่อยากเป็นคดีความที่นี่เลย จะต้องเสียเวลา การโกงค่าแท็กซี่อาจเป็นโทษเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการดึงกุญแจรถแล้วทำให้รถหยุดกะทันหัน แล้วก็ไปชนโน่นนี่นั่น โดยเฉพาะคนขี่มอเตอร์ไซด์ที่มีอยู่ทั่วไปหมด คงจะที่หลีกเลี่ยงความเสียหายไม่ได้แน่นอน จะมีคนได้รับบาดเจ็บ เสียทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย แล้วอาจติดคุกก็ได้ สำหรับพวกเรา
แล้วทริปการท่องเที่ยวของพวกเราทริปนี้ก็ต้องสิ้นสุดลงไปด้วย!
เอ๋ย! คำเดิมผมจำได้ อ้ายแท็กซี่สบถอย่างหงุดหงิดที่สุดแล้ว ทันใดนั้นรถแท็กซี่ก็หักเลี้ยวชิดฟุตบาททันที
พวกเรารอดแล้ว!
“ขอ 400,000 ดงละกัน” เรียกกันหน้าด้านๆ เลย คนขับแท็กซี่ต่อรอง (จาก 1 ล้านดง ตอนนี้ขอแค่ 4 แสนดงแล้ว)
ผมตอบตกลง เพราะเงินจำนวนนี้ถ้าเป็นเงินไทยเพียง 640 บาท เมื่อหักค่าแท็กซี่ที่มิเตอร์ขึ้นมาจริงแล้ว ที่ตอนนี้ 2xx,xxx ดงปลายๆ แล้ว ก็เพิ่มเงินมาแค่ร้อยกว่าบาทเท่านั้น เอาเป็นว่าถือว่าฟาดเคราะห์ไปละกัน ผมบอกให้น้องสาวทั้งสองคนลงจากรถก่อน เนื่องจากมีเป้และอุปกรณ์หลายอย่าง แล้วผมก็ลงรถตาม จากนั้นจึงส่งเงินให้ไปทุกอย่างจึงจบ
ก่อนรถจะออกก็มีการอำนวยอวยพรกันเล็กน้อย เป็นภาษาไทยบ้าง ภาษาเวียดนามก็ส่งมา โต้ไปมานิดหน่อย พอให้เป็นที่ระบายอารมณ์ของทั้งสองฝ่าย ทุกอย่างจึงจบลงแบบน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ถือว่าเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้จบลงด้วยดี
พวกเราเรียกแท็กซี่อีกคัน คราวนี้สอบถามราคาเรียบร้อย ถ้าไม่ยอมตอบไม่ขึ้นเด็ดขาด ราคาอยู่ที่ 40,000 ดง (64 บาท) กับการที่อ้ายแท็กซี่พาออกมานอกเส้นทาง ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พวกเราก็มาถึงหน้าห้างสรรพสินค้า Parkson แล้ว
ความเหน็ดเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทัศนะคติที่มีต่อประเทศเวียดนามนี้ไม่ดีเอาเสียเลย นี่เพิ่งวันแรกเองนะเนี่ย เหลืออีกตั้งหลายวัน คงจะต้องระมัดระวังกับการเดินทางทริปนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการใช้รถแท็กซี่
นี่เป็นเพียงแค่การเตือนเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกหลายอย่างสำหรับทริปสุดมันส์ทริปนี้ เรียกได้ว่าเหตุการณ์แท็กซี่นี้เด็กๆ ไปเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
พวกเรานั่งเล่นนอนเล่น ดื่มโน่นนั่นนี่เป็นเวลานานเพื่อรอเวลา 21.30 น. เพื่อนั่งเครื่องบินสายการบิน VietJet ไปยัง Da Nang ใช้เวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่องก็มีเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กน้อย
สายการบิน VietJet เป็นสายการบิน Low Cost ภายในประเทศ ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา ราคาไม่แพง มีเที่ยวบินให้เลือกมากมายหลายช่วงเวลา ก่อนที่จะถึงเวลาเดินทางก็มีเที่ยวไป Da Nang เหมือนกัน เป็นเวลา 21.00 น. ส่วนของพวกเราช้ากว่าครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นเวลา 21.30 น.
เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็เรียกผู้โดยสารให้เตรียมขึ้นเครื่องบิน ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา ที่ผู้โดยสารจะมายืนรอต่อคิวกัน แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อด้านข้างของพวกเราก็เป็นอีก Gate หนึ่งที่ยืนต่อแถวอยู่เช่นกัน ที่ผู้โดยสารเริ่มมีการโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่กันมากขึ้นแล้ว ไม่ใช่ปัญหาอะไรที่ไหน ก็เครื่องบินที่ไป Da Nang เช่นเดียวกัน ที่เครื่องจะออกเวลา 21.00 น. นั่นเอง ปรากฏว่าเครื่องเกิดการล่าช้า ทำให้เครื่องที่พวกเราจะต้องเดินทางทีหลังได้ขึ้นเครื่องก่อน
ก็เป็นเรื่องซิครับงานนี้! ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ผู้โดยสารเห็นว่าพวกเขาควรจะได้ขึ้นเครื่องไปก่อน แต่ในเรื่องของการบินที่มีการระบุเที่ยวบินที่ชัดเจนเอาไว้แล้ว คงเป็นไปไม่ได้จะเปลี่ยนเครื่องกันง่ายๆ ยังไงก็ต้องรอเที่ยวบินที่ได้จองเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะล่าช้าเพียงใด
เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องอธิบายให้ผู้โดยสารเข้าใจแล้ว แต่ดูแล้วว่ายากมาก!
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ในขณะนี้ที่พวกเราเหนื่อยล้าเต็มที น้องๆ หลับทันทีที่ขึ้นเครื่อง แต่ผมเริ่มเป็นกังวลแล้วว่า โรงแรมที่จองเอาไว้แล้วจะมีปัญหามั้ย เพราะกว่าจะถึงโรงแรมก็จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน เจ้าหน้าที่จะเก็บห้องพักเอาไว้ให้เราอยู่หรือไม่ ถ้าไม่ละก็งานเข้าทันที อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้แจ้งให้โรงแรมทราบด้วย
แต่พวกเราจองห้องพักเอาไว้ตั้ง 2 คืน คงไม่ยกเลิกห้องพักของเราหรอกนะ ภายในใจพยายามมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน
หลังจากลงเครื่องผมเดินอย่างเร่งรีบ เพื่อเรียกแท็กซี่ไปยังโรงแรมทันที เวลา 5 ทุ่มที่สนามบิน Da Nang ตอนนี้เคาท์เตอร์แท็กซี่ปิดหมดแล้ว คงจะต้องเรียกแท็กซี่ต่อรองเอากับแท็กซี่ที่จอดอยู่ด้านหน้าแล้ว ความกังวลเรื่องแท็กซี่เริ่มกลับมาอีกครั้ง
“300,000 ดง ได้ราคานี้ ลดไม่ได้อีกแล้ว”
นั่นโดนโก่งราคาอีกแล้วพวกเรา เพราะแท็กซี่มีจอดอยู่เพียงไม่กี่คันนี่ก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว ไม่มีให้เลือกอีกแล้ว กับระยะทางที่ไม่เกิน 10 กิโลเมตร ด้วยระยะเวลาเพียงไม่เกิน 15 นาที แพงไม่ใช่เล่นเลย แต่ยังไงก็ต้องยอม
เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ ไม่ถึง 10 นาทีจริงๆ พวกเราก็มาถึงโรงแรมกันแล้ว
โชคดีจริงๆ ห้องพักยังคงรอพวกเราอยู่ แม้ว่าเราจะมาถึงโรงแรมเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ตอนนี้คงจะได้เวลาพักผ่อนเสียที กับการเดินทางที่น่าตื่นเต้นในวันแรกที่ Vietnam
สำหรับพรุ่งนี้เราจะไป Ba Na Hills เมืองแห่งเทพนิยายกัน!