ซีอาน เมืองแห่งประวัติศาสตร์กว่า 2000 ปี
เริ่มจากการหาข้อมูลในเวป ซึ่งมีหลายคนเขียนไว้ หลังจากนั้นก็มาวางแผนการเดินทางเซฟข้อมูลเก็บไว้ใน มือถือ แท็บเล็ต สมัยนี้มันสะดวกมาก ตอนที่ไปแลกเงิน 1 หยวน เท่ากับ 5.24 บาท แพงน่าดู
ได้เวลาบินแล้ว ใช้บริการแอร์เอเชียซึ่งจองล่วงหน้าตอนมีโปรโมชั่นลดราคา จองบินเช้าแต่พอใกล้วันเดินทาง ทางสายการบินเปลี่ยนเป็นตอนเย็นแทน ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 10 นาที ก็ถึงซีอาน
เรากินข้าวก่อนหน้านี้แล้ว บนเครื่องมื้อแรกจึงเป็นขนม และน้ำฟรีที่ได้จากการใช้สิทธิ์ของบัตรเครดิต กสิกรแอร์เอเชีย ของพี่ศร ได้ชาเขียว 1 ขวด น้องแอร์ใจดีแถมน้ำแข็งให้ 3 แก้ว ไม่พลาดที่จะเก็บฝาไว้ชิงโชคด้วย 555
ถึงจีน ผ่าน ตม. มาอย่างสบายๆ ไม่กดดันเหมือนที่ไปเกาหลี มารับกระเป๋า และออกจากอาคารสนามบินเพื่อไปหารถเข้าเมือง
ออกมาเลี้ยวขวาเดินตรงไป 50 เมตร ก็จะเห็นคนต่อคิวเพื่อขึ้นรถบัส ไม่มีป้ายบอกว่าเบอร์อะไร แต่ฝั่งตรงข้ามจะมีเลขบอกป้าย2 ป้าย3 ยืนให้ระวังคนจีนมั่วแซงคิว เวลาเอากระเป๋าไว้ใต้ท้องรถ พนักงานจะติดสติ๊กเกอร์หมายเลขกระเป๋ากันการหยิบผิด และจะส่งต้นขั้วให้เราเก็บไว้ เมื่อรับกระเป๋าก็ส่งต้นขั้วให้เค้า เค้าก็จะหยิบให้เรา ค่าเดินทางคนละ_ หยวน
จะไปส่งเราที่ถนน_ ซึ่งเราจะเห็น"หอกลอง"อยู่ตรงกลางของถนน ถ้าบ้านเราก็เหมือนอนุสาวรีย์ แต่ขนาดใหญ่กว่าเยอะเลย มีรถหลายสาย มีแยกหลายแยก
คนที่นี้ใจดี จากรูปเราถามน้องเสื้อขาวถึงทางไปโรงแรม น้องเค้าก็พาเรามาเกือบถึงโรงแรม ดูเวลาเที่ยงคืน หิวมากมาย แต่ระหว่างทางเดินไปโรงแรมก็แอบเหล่ๆ ร้านอาหารที่จะกิน หลังเราเช็คอินเอาของไปเก็บในห้อง ก็รีบลงมาหาอะไรกินใกล้ๆโรงแรม
เนื้อแพะย่าง อร่อยดี กลิ่นเครื่องเทศเยอะ
เหมือนหัวไช้เท้าปิ้ง ทาด้วยเครื่องเทศ และพริกป่น
มื้อเช้าก็ฝั่งตรงข้ามโรงแรม คนที่มารอซื้อหน้าน้านเค้าบอกว่าเจ้านี้อร่อยน่ะ ดูอาหารหน้าตาพอกินได้
วุ้นเส้นต้มกับเนื้อ และวุ้นเส้นกับเนื้อแพะ อย่างละชาม เอาถ้วยมาแบ่งกินกัน ราคา 59, 69 มื้อนี้แพงมาก แต่คนในพื้นที่แน่ะนำว่าเป็นร้านดังอร่อยมาก เชื่อเค้าเลยสั่งมา
แนะนำโรงแรมก่อน ชื่อ Kai Hong Holtle ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเป็น Wall Mart ตอนเราไปพักโรงแรมกำลังปรับปรุงเข้าซอยมาประมาณ 100 เมตร เมื่อคืนหาไม่เจอเพราะมืดและมีสังกะสีบัง เข้าประตูข้างโรงแรมแทน ห้องใหญ่ดีค่ะ ห้องน้ำก็สะอาด มีไดเป่าผมด้วย บางห้องมีคอมพิวเตอร์ให้ แต่ไม่มีตู้เย็นแปลกจัง มีกาต้มน้ำ แก้วน้ำมีขอบทองด้วยดูหรู ให้น้ำฟรี 2 ขวด ถ้าเรากินไม่หมดเค้าจะไม่เติมให้
เราใช้เส้นนี้ในการเดินไป Bell Tower โดยเดินจาก wall Mart ตรงไปจนสุด ระหว่างทางในตอนเช้า เราก็จะเห็นอะม้า อะก้ง มาออกกำลังกาย เต้นอะไรก็ไม่รู้เป็นกลุ่มๆ เราจะเห็นสุนัขก็ตอนนี้แหล่ะ วิ่งเล่นกันสนุกเลย เราเดินมาสุดก็จะเห็นร้าน แม็คโดนอล
ตามธรรมเนียมของคนเขียน ต้องแว่ะไปกินกาแฟ Star Bucks ของทุกประเทศ ที่นี้มีน้ำเชื่อมแบบถุงด้วยราคาแพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย
วันนี้เรา 3 คน วางแผนไปหย่างกุ้ยเฟย และจิ้นซี ขึ้นรถที่นี้สาย 611 จุดหมายปลายทางสถานีรถไฟ ซึ่งเหมือนหัวลำโพงบ้านเรา แต่ใหญ่มาก
นี้ขนาดไม่ใช่ตรุษจนน่ะ คนยังเยอะ ผู้คนเหล่านี้คือคนรากหญ้าบ้านเค้า ที่สถานีรถไฟเป็นจุดศูนย์รวมของรถเมล์ด้วยค่ะ มีหลายสาย ร้านค้า ของกินเต็มไปหมด หลังจากลงรถมาให้เดินมาทางขวามือจะเห็นป้ายโลโก้ร้านไก่ทอดสีเหลือง ให้เดินไปป้ายที่ 2 จะเป็นท่ารถ 306 ราคา 6 หยวน สำหรับไปหย่างกุ้ยเฟย และ 7 หยวนสำหรับไปจิ้นซีฮ่องเต้ และจากหย่างกุ้ยเฟยไปจิ้นซี 3 หยวน เรากลัวตอนกลับคนจะแน่นรถ เลยแว่ะหย่างกุ้ยเฟยก่อนแล้วค่อยต่อรถไปจิ้นซี
ก่อนถึงจะมีพนักงานมาแน่ะนำสถานที่หย่างกุ้ยเฟย เป็นภาษาจีนฟังไม่รู้เรื่อง เราก็ลงตามเค้าเลยค่ะ พอเดินมาถึงที่ขายบัตร เค้าจะแน่ะนำสถานที่ที่ควรจะไป โชคดีที่พี่ศรรู้ภาษาจีน และอธิบายให้เราฟัง
เลือกที่จะนั่งรถชมให้ทั่วบริเวณ แทนการเดิน จะได้ประหยัดเวลา ราคา_ ถ้าเหมาราคา 150 หยวน เค้าจะจอดให้เราเดินชม ถ่ายรูปตามจุดที่เราต้องการ แต่ต้องเสียงส่วนใหญ่น่ะค่ะ เราโชคดีที่สมาชิกในรถเห็นตรงกัน และเราก็ได้รู้จักเด็กสาวชาวจีนที่มาเที่ยวชมที่นี้ด้วย
แน่ะนำ ต้องไปดู 4D ประวัติของนางด้วย สวยประทับใจ
ชีวิตในราชสำนักจีนของหยางอี้หวน นั้นเริ่มจากการอภิเษกสมรสกับเจ้าชายหลีเม่า ราชโอรสของซ่วนจุงฮ่องเต้ ตอนอายุ 18 ปี จากนั้นเจ้าชายก็พานางเข้าสู่ราชสำนักเพื่อถวายบังคมพระราชบิดา แต่ครั้นซ่วนจุงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นนางกลับตกตะลึงในความงามและหลงเสน่ห์นางทันที ถึงขั้นบังคับราชโอรสให้เลิกรากับนาง แล้วพระองค์ก็รับนางไว้เป็นพระสนมเอก ในตำแหน่งกุ้ยเฟย เมื่อฮ่องเต้ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากกุ้ยเฟย ความทุกร้อนของประชาชนจึงถูกละเลย เป็นผลให้ประชาชนโกรธฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ทำให้นายพล "อันลู่ชาน" เป็นผู้นำกบฏบังคับให้ซ่วนจุงฮ่องเต้สังหารหยางกุ้ยเฟย ด้วยเชื่อว่านางเป็นตัวกาลกิณี เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมด แต่ฮ่องเต้ไม่กล้าสั่งเองได้ เพราะความอาลัยรักในตัวนาง จึงสั่งให้เจ้าชายหลีเม่าที่เคยเป็นสามีของนางเป็นผู้ลงมือ ซึ่งเจ้าชายได้นำผ้าแพรสีขาวมอบให้นาง และหยางกุ้ยเฟยก็จบชีวิตลงด้วยการใช้ผ้าแพรผืนนั้นแขวนคอจนสิ้นชีพ เป็นการจบตำนานสาวสวยอีกคน
[img]http://f.ptcdn.info/348/040/000/o2zuk0h0mkwF2cCsHnv-o.jpg[/img
วันนี้เราออกมาสาย ทำให้เราไม่สามารถไป จิ้นซี ต่อได้ เราเลยโทรไปจองตั๋วเพื่อดูโชว์แทนโดยให้น้อง_ ช่วยโทรให้ และเธอก็พาเราไปส่งที่ดูโชว์ด้วย ข้ามฝั่งมาขึ้นรถฝั่งตรงข้าม ไม่มีป้ายรถเมล์ ยืนรอรถตรงทางม้าลาย ขึ้นรถเมล์ได้ 2 สาย สายเดิมที่เรามา 306 ซึ่งรอนาน แต่เรามีสาย 914 มาบ่อยกว่า เรายืนไปเกือบ 20 นาทีถึงได้นั่ง ราคา 1 หยวน มาลงที่สถานีรถไฟ แล้วเดินมาต่อสาย 611 กลับมาเริ่มต้นที่ bell Tower
นั่งรถสาย 619 เพื่อไปดูโชว์ ประมาณ 7 ป้าย เดินข้ามฝั่งมา ระหว่างทางก่อนถึงตึกจะมีร้านอาหาร มื้อเย็น บะหมี่เกี้ยว ราคาไม่แพง ในโชว์ให้น้ำคนละแก้ว และมีป๊อบคอนถาดนึง
หลังจากดูโชว์จบ ก็นั่งรถเมล์มาลงที่ Big Bell เพื่อไปหมู่บ้านอิสลามกันต่อ จะอยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงแรม Bell Tower Hotal Xian เดินลงไปชั้นนึง
เราเดินกันจนดึก ทำให้ประตูทางเดินข้ามถนนใต้ดินปิด ต้องมาข้ามกันข้างบนอย่างทุลักทุเล หวาดเสียวเล็กน้อย
เช้าวันที่ 2 เรามองลงมาจากโรงแรม เห็นร้านนี้ขายซาลาเปาน่ากิน และเราก็ไม่ถูกปากกับอาหารอิสลามซักเท่าไหร่ มื้อนี้เลยเป็นซาลาเปาไส้หมู กับน้ำเต้าหู้ (ถ้าซื้อเองคงได้ไส้อะไรไม่รู้ ดีที่มีพี่ศรพูดจีนได้ ) ต่อแถวซื้อแต่เค้าหยิบมั่วไปหมด อาหารเช้าของคนที่นี้ หลักเลยคือพวกน้ำเต้าหู้ น้ำถั่วแดง น้ำฟักทอง ใส่เป็นแก้วอุ่นๆ กินพร้อมซาลาเปา หรือถ้าอิสลามก็เป็นกระบับใส้ผักกับเต้าหู้ ราคาไม่แพงด้วย
ไปนั่งกินกันที่เดิมค่ะ แม็กโดแนล หลังจากอิ่มท้อง เราเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน อยู่ซ้ายมือของห้าง ต้องดูป้ายบอกทางให้ดี เพราะมีหลายช่องอาจจะเข้าช่องผิดเป็นแค่ทางข้ามถนนขึ้นไปอีกฝั่งถนนเท่านั้น
ถึงแล้ว ต้องรีบออกน่ะค่ะ เพราะคนหมด ประตูจะปิด โดยเค้าดึงเหล็กปิด จนกว่าจะมีรอบต่อไปเข้ามาเค้าถึงจะเปิด
แว่ะกินข้าวกันก่อน เดินออกจากสถานีไปทางขวามือ จะเป็นป้ายรถเมล์ หลังป้ายรถเมล์จะเป็นคิวรถแท็กซี่ ร้านอาหารจะอยู่ถัดไปอีก
มองไปสุดโน้นตรงสะพาน เป็นประตูทางเข้า ห้ามขับรถเข้าไป เราต้องเดินกันไปเรื่อยๆ
เรานั่งเรือ แต่ไม่ได้บอกให้เรือจอดที่ท่าเราจะลง เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเค้าจะจอดทุกท่า สุดท้ายเราก็พูดให้เค้ากลับไปส่งแต่ก็ไม่ใช่ท่าที่จะลง
ที่นั่ง เฟสคลาส เลยถ่ายมาให้ดู เป็นห้องเลยค่ะ
เช้าวันที่ 4 วันนี้เป็นสุดท้าย เราตั้งใจไปสุสานกัน แล้วมีเวลาเราจะไปเก็บสถานที่ที่เรายังไม่ได้ไป แต่ต้องเดินทางไม่ไกลมาก เพราะเราต้องกลับมาให้ทันเพื่อเอากระเป๋าที่โรงแรม และนั่งรถไปแอร์พอต ถึงสุสาน รถจะพาเรามาลงข้างๆ ไม่ใช่ด้านหน้า เราต้องเดินอ้อมเข้าไป จะไม่เจอรูปปั้นจิ้นซีองค์ที่อยู่ด้านหน้า เข้าไปซื้อบัตร 150 หยวน และเริ่มวางแผนการเดิน แต่มันก็มั่วๆจนได้ เพราะเราหาอาคาร ซินิม่า เราเลยยึดตรงไหนใกล้ไปตรงนั้น มันจะแบ่งเป็น Pit 1, 2, 3 ก่อนทางเข้า และด้านใน จะมีไกค์เข้ามาเชิญชวนให้ใช้บริการ มีทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ เยอะมาก ทางเดินเข้านั้ดูแล้วแสนไกลเหลือเกิน เราเลยต้องใช้บริการรถกอล์ฟราคา 5 หยวน
[CR] ไปเที่ยวซีอาน
เริ่มจากการหาข้อมูลในเวป ซึ่งมีหลายคนเขียนไว้ หลังจากนั้นก็มาวางแผนการเดินทางเซฟข้อมูลเก็บไว้ใน มือถือ แท็บเล็ต สมัยนี้มันสะดวกมาก ตอนที่ไปแลกเงิน 1 หยวน เท่ากับ 5.24 บาท แพงน่าดู
ได้เวลาบินแล้ว ใช้บริการแอร์เอเชียซึ่งจองล่วงหน้าตอนมีโปรโมชั่นลดราคา จองบินเช้าแต่พอใกล้วันเดินทาง ทางสายการบินเปลี่ยนเป็นตอนเย็นแทน ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 10 นาที ก็ถึงซีอาน
เรากินข้าวก่อนหน้านี้แล้ว บนเครื่องมื้อแรกจึงเป็นขนม และน้ำฟรีที่ได้จากการใช้สิทธิ์ของบัตรเครดิต กสิกรแอร์เอเชีย ของพี่ศร ได้ชาเขียว 1 ขวด น้องแอร์ใจดีแถมน้ำแข็งให้ 3 แก้ว ไม่พลาดที่จะเก็บฝาไว้ชิงโชคด้วย 555
ถึงจีน ผ่าน ตม. มาอย่างสบายๆ ไม่กดดันเหมือนที่ไปเกาหลี มารับกระเป๋า และออกจากอาคารสนามบินเพื่อไปหารถเข้าเมือง
ออกมาเลี้ยวขวาเดินตรงไป 50 เมตร ก็จะเห็นคนต่อคิวเพื่อขึ้นรถบัส ไม่มีป้ายบอกว่าเบอร์อะไร แต่ฝั่งตรงข้ามจะมีเลขบอกป้าย2 ป้าย3 ยืนให้ระวังคนจีนมั่วแซงคิว เวลาเอากระเป๋าไว้ใต้ท้องรถ พนักงานจะติดสติ๊กเกอร์หมายเลขกระเป๋ากันการหยิบผิด และจะส่งต้นขั้วให้เราเก็บไว้ เมื่อรับกระเป๋าก็ส่งต้นขั้วให้เค้า เค้าก็จะหยิบให้เรา ค่าเดินทางคนละ_ หยวน
จะไปส่งเราที่ถนน_ ซึ่งเราจะเห็น"หอกลอง"อยู่ตรงกลางของถนน ถ้าบ้านเราก็เหมือนอนุสาวรีย์ แต่ขนาดใหญ่กว่าเยอะเลย มีรถหลายสาย มีแยกหลายแยก
คนที่นี้ใจดี จากรูปเราถามน้องเสื้อขาวถึงทางไปโรงแรม น้องเค้าก็พาเรามาเกือบถึงโรงแรม ดูเวลาเที่ยงคืน หิวมากมาย แต่ระหว่างทางเดินไปโรงแรมก็แอบเหล่ๆ ร้านอาหารที่จะกิน หลังเราเช็คอินเอาของไปเก็บในห้อง ก็รีบลงมาหาอะไรกินใกล้ๆโรงแรม
เนื้อแพะย่าง อร่อยดี กลิ่นเครื่องเทศเยอะ
เหมือนหัวไช้เท้าปิ้ง ทาด้วยเครื่องเทศ และพริกป่น
มื้อเช้าก็ฝั่งตรงข้ามโรงแรม คนที่มารอซื้อหน้าน้านเค้าบอกว่าเจ้านี้อร่อยน่ะ ดูอาหารหน้าตาพอกินได้
วุ้นเส้นต้มกับเนื้อ และวุ้นเส้นกับเนื้อแพะ อย่างละชาม เอาถ้วยมาแบ่งกินกัน ราคา 59, 69 มื้อนี้แพงมาก แต่คนในพื้นที่แน่ะนำว่าเป็นร้านดังอร่อยมาก เชื่อเค้าเลยสั่งมา
แนะนำโรงแรมก่อน ชื่อ Kai Hong Holtle ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเป็น Wall Mart ตอนเราไปพักโรงแรมกำลังปรับปรุงเข้าซอยมาประมาณ 100 เมตร เมื่อคืนหาไม่เจอเพราะมืดและมีสังกะสีบัง เข้าประตูข้างโรงแรมแทน ห้องใหญ่ดีค่ะ ห้องน้ำก็สะอาด มีไดเป่าผมด้วย บางห้องมีคอมพิวเตอร์ให้ แต่ไม่มีตู้เย็นแปลกจัง มีกาต้มน้ำ แก้วน้ำมีขอบทองด้วยดูหรู ให้น้ำฟรี 2 ขวด ถ้าเรากินไม่หมดเค้าจะไม่เติมให้
เราใช้เส้นนี้ในการเดินไป Bell Tower โดยเดินจาก wall Mart ตรงไปจนสุด ระหว่างทางในตอนเช้า เราก็จะเห็นอะม้า อะก้ง มาออกกำลังกาย เต้นอะไรก็ไม่รู้เป็นกลุ่มๆ เราจะเห็นสุนัขก็ตอนนี้แหล่ะ วิ่งเล่นกันสนุกเลย เราเดินมาสุดก็จะเห็นร้าน แม็คโดนอล
ตามธรรมเนียมของคนเขียน ต้องแว่ะไปกินกาแฟ Star Bucks ของทุกประเทศ ที่นี้มีน้ำเชื่อมแบบถุงด้วยราคาแพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย
วันนี้เรา 3 คน วางแผนไปหย่างกุ้ยเฟย และจิ้นซี ขึ้นรถที่นี้สาย 611 จุดหมายปลายทางสถานีรถไฟ ซึ่งเหมือนหัวลำโพงบ้านเรา แต่ใหญ่มาก
นี้ขนาดไม่ใช่ตรุษจนน่ะ คนยังเยอะ ผู้คนเหล่านี้คือคนรากหญ้าบ้านเค้า ที่สถานีรถไฟเป็นจุดศูนย์รวมของรถเมล์ด้วยค่ะ มีหลายสาย ร้านค้า ของกินเต็มไปหมด หลังจากลงรถมาให้เดินมาทางขวามือจะเห็นป้ายโลโก้ร้านไก่ทอดสีเหลือง ให้เดินไปป้ายที่ 2 จะเป็นท่ารถ 306 ราคา 6 หยวน สำหรับไปหย่างกุ้ยเฟย และ 7 หยวนสำหรับไปจิ้นซีฮ่องเต้ และจากหย่างกุ้ยเฟยไปจิ้นซี 3 หยวน เรากลัวตอนกลับคนจะแน่นรถ เลยแว่ะหย่างกุ้ยเฟยก่อนแล้วค่อยต่อรถไปจิ้นซี
ก่อนถึงจะมีพนักงานมาแน่ะนำสถานที่หย่างกุ้ยเฟย เป็นภาษาจีนฟังไม่รู้เรื่อง เราก็ลงตามเค้าเลยค่ะ พอเดินมาถึงที่ขายบัตร เค้าจะแน่ะนำสถานที่ที่ควรจะไป โชคดีที่พี่ศรรู้ภาษาจีน และอธิบายให้เราฟัง
เลือกที่จะนั่งรถชมให้ทั่วบริเวณ แทนการเดิน จะได้ประหยัดเวลา ราคา_ ถ้าเหมาราคา 150 หยวน เค้าจะจอดให้เราเดินชม ถ่ายรูปตามจุดที่เราต้องการ แต่ต้องเสียงส่วนใหญ่น่ะค่ะ เราโชคดีที่สมาชิกในรถเห็นตรงกัน และเราก็ได้รู้จักเด็กสาวชาวจีนที่มาเที่ยวชมที่นี้ด้วย
แน่ะนำ ต้องไปดู 4D ประวัติของนางด้วย สวยประทับใจ
ชีวิตในราชสำนักจีนของหยางอี้หวน นั้นเริ่มจากการอภิเษกสมรสกับเจ้าชายหลีเม่า ราชโอรสของซ่วนจุงฮ่องเต้ ตอนอายุ 18 ปี จากนั้นเจ้าชายก็พานางเข้าสู่ราชสำนักเพื่อถวายบังคมพระราชบิดา แต่ครั้นซ่วนจุงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นนางกลับตกตะลึงในความงามและหลงเสน่ห์นางทันที ถึงขั้นบังคับราชโอรสให้เลิกรากับนาง แล้วพระองค์ก็รับนางไว้เป็นพระสนมเอก ในตำแหน่งกุ้ยเฟย เมื่อฮ่องเต้ไม่สนใจเรื่องอื่นใดนอกจากกุ้ยเฟย ความทุกร้อนของประชาชนจึงถูกละเลย เป็นผลให้ประชาชนโกรธฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ทำให้นายพล "อันลู่ชาน" เป็นผู้นำกบฏบังคับให้ซ่วนจุงฮ่องเต้สังหารหยางกุ้ยเฟย ด้วยเชื่อว่านางเป็นตัวกาลกิณี เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมด แต่ฮ่องเต้ไม่กล้าสั่งเองได้ เพราะความอาลัยรักในตัวนาง จึงสั่งให้เจ้าชายหลีเม่าที่เคยเป็นสามีของนางเป็นผู้ลงมือ ซึ่งเจ้าชายได้นำผ้าแพรสีขาวมอบให้นาง และหยางกุ้ยเฟยก็จบชีวิตลงด้วยการใช้ผ้าแพรผืนนั้นแขวนคอจนสิ้นชีพ เป็นการจบตำนานสาวสวยอีกคน
[img]http://f.ptcdn.info/348/040/000/o2zuk0h0mkwF2cCsHnv-o.jpg[/img
วันนี้เราออกมาสาย ทำให้เราไม่สามารถไป จิ้นซี ต่อได้ เราเลยโทรไปจองตั๋วเพื่อดูโชว์แทนโดยให้น้อง_ ช่วยโทรให้ และเธอก็พาเราไปส่งที่ดูโชว์ด้วย ข้ามฝั่งมาขึ้นรถฝั่งตรงข้าม ไม่มีป้ายรถเมล์ ยืนรอรถตรงทางม้าลาย ขึ้นรถเมล์ได้ 2 สาย สายเดิมที่เรามา 306 ซึ่งรอนาน แต่เรามีสาย 914 มาบ่อยกว่า เรายืนไปเกือบ 20 นาทีถึงได้นั่ง ราคา 1 หยวน มาลงที่สถานีรถไฟ แล้วเดินมาต่อสาย 611 กลับมาเริ่มต้นที่ bell Tower
นั่งรถสาย 619 เพื่อไปดูโชว์ ประมาณ 7 ป้าย เดินข้ามฝั่งมา ระหว่างทางก่อนถึงตึกจะมีร้านอาหาร มื้อเย็น บะหมี่เกี้ยว ราคาไม่แพง ในโชว์ให้น้ำคนละแก้ว และมีป๊อบคอนถาดนึง
หลังจากดูโชว์จบ ก็นั่งรถเมล์มาลงที่ Big Bell เพื่อไปหมู่บ้านอิสลามกันต่อ จะอยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงแรม Bell Tower Hotal Xian เดินลงไปชั้นนึง
เราเดินกันจนดึก ทำให้ประตูทางเดินข้ามถนนใต้ดินปิด ต้องมาข้ามกันข้างบนอย่างทุลักทุเล หวาดเสียวเล็กน้อย
เช้าวันที่ 2 เรามองลงมาจากโรงแรม เห็นร้านนี้ขายซาลาเปาน่ากิน และเราก็ไม่ถูกปากกับอาหารอิสลามซักเท่าไหร่ มื้อนี้เลยเป็นซาลาเปาไส้หมู กับน้ำเต้าหู้ (ถ้าซื้อเองคงได้ไส้อะไรไม่รู้ ดีที่มีพี่ศรพูดจีนได้ ) ต่อแถวซื้อแต่เค้าหยิบมั่วไปหมด อาหารเช้าของคนที่นี้ หลักเลยคือพวกน้ำเต้าหู้ น้ำถั่วแดง น้ำฟักทอง ใส่เป็นแก้วอุ่นๆ กินพร้อมซาลาเปา หรือถ้าอิสลามก็เป็นกระบับใส้ผักกับเต้าหู้ ราคาไม่แพงด้วย
ไปนั่งกินกันที่เดิมค่ะ แม็กโดแนล หลังจากอิ่มท้อง เราเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน อยู่ซ้ายมือของห้าง ต้องดูป้ายบอกทางให้ดี เพราะมีหลายช่องอาจจะเข้าช่องผิดเป็นแค่ทางข้ามถนนขึ้นไปอีกฝั่งถนนเท่านั้น
ถึงแล้ว ต้องรีบออกน่ะค่ะ เพราะคนหมด ประตูจะปิด โดยเค้าดึงเหล็กปิด จนกว่าจะมีรอบต่อไปเข้ามาเค้าถึงจะเปิด
แว่ะกินข้าวกันก่อน เดินออกจากสถานีไปทางขวามือ จะเป็นป้ายรถเมล์ หลังป้ายรถเมล์จะเป็นคิวรถแท็กซี่ ร้านอาหารจะอยู่ถัดไปอีก มองไปสุดโน้นตรงสะพาน เป็นประตูทางเข้า ห้ามขับรถเข้าไป เราต้องเดินกันไปเรื่อยๆ
เรานั่งเรือ แต่ไม่ได้บอกให้เรือจอดที่ท่าเราจะลง เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเค้าจะจอดทุกท่า สุดท้ายเราก็พูดให้เค้ากลับไปส่งแต่ก็ไม่ใช่ท่าที่จะลง
ที่นั่ง เฟสคลาส เลยถ่ายมาให้ดู เป็นห้องเลยค่ะ
เช้าวันที่ 4 วันนี้เป็นสุดท้าย เราตั้งใจไปสุสานกัน แล้วมีเวลาเราจะไปเก็บสถานที่ที่เรายังไม่ได้ไป แต่ต้องเดินทางไม่ไกลมาก เพราะเราต้องกลับมาให้ทันเพื่อเอากระเป๋าที่โรงแรม และนั่งรถไปแอร์พอต ถึงสุสาน รถจะพาเรามาลงข้างๆ ไม่ใช่ด้านหน้า เราต้องเดินอ้อมเข้าไป จะไม่เจอรูปปั้นจิ้นซีองค์ที่อยู่ด้านหน้า เข้าไปซื้อบัตร 150 หยวน และเริ่มวางแผนการเดิน แต่มันก็มั่วๆจนได้ เพราะเราหาอาคาร ซินิม่า เราเลยยึดตรงไหนใกล้ไปตรงนั้น มันจะแบ่งเป็น Pit 1, 2, 3 ก่อนทางเข้า และด้านใน จะมีไกค์เข้ามาเชิญชวนให้ใช้บริการ มีทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ เยอะมาก ทางเดินเข้านั้ดูแล้วแสนไกลเหลือเกิน เราเลยต้องใช้บริการรถกอล์ฟราคา 5 หยวน