ผมคิดอยู่นานสำหรับกระทู้นี้ และได้คิดโดยลำพังที่จะแบ่งปันเรื่องนี้กับพี่น้องพุทธบริษัทในพันทิปนี้
๑. เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในรายการสรุปข่าวในรอบสัปดาห์รายการหนึ่งเมื่อวิทยากรประจำรายการบอกว่า พระไตรปิฎกประกอบด้วย ๑ พระวินัย ๒ พระสูตร และ ๓ พุทธวจนะ
๒. ก่อนหน้านี้ ผมนำเรื่องลัทธิใหม่ (New Religious Movement) นี้ ไปเรียนหารือพระมหาเถระ (ไม่ใช่ระดับสมเด็จ) ในพระอารามหลวงชั้นเอกฯ สองแห่ง ในนี้เป็นกรรมการ มส. ด้วยรูปหนึ่ง ทันทีที่ผมเอ่ยเรื่องนี้เข้ามาสนทนา ทั้งสองรูปก็ให้สัญญาณเชิญผมกลับออกไปทันที (ไล่กลับ)
๓. ในเวลาไม่ก่อนไม่หลังกับ ข้อ ๒ เท่าไรนัก ผมนำเรื่องลัทธินี้ไปเพื่อหาแนวรวมกับอาจารย์มหาลัยที่มีชื่อเสียงของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยสอนผมมา แล้วท่านก็กล่าวคล้ายกับว่า ไม่ต้องทำอะไร เพราะกรรมจะทำงานเล่นงานคนพวกนี้เอง และคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เราสักวันก็จะไปเล่นงานคนพวกนี้เอง
๔. ผมมีเพื่อนรักนับถือกันมาคนหนึ่ง อยู่ชมรมพุทธฯ ด้วยกันมา ไปสวนโมกข์ ไชยา ด้วยกันมาในช่วงปิดภาคกับสมาชิกชมรมอีกหลายครั้ง ร่วมสุขทุกข์ด้วยกันมา หลังจากที่เพื่อนคนนี้เข้าไปเป็นสาวกของคนกลุ่มนี้ ก็คุยแต่ว่า ๑ อานาปานสติคือนิพพาน ๒ แค่อ่าน/ฟัง(ตำรา) พุทธวจนะ กลับไปมาหลาย ๆ เที่ยวเท่านี้ ก็พอแล้ว เพื่อนคนนี้ก็จะคุยวนเวียนแต่สองเรื่องนี้ เหมือนถูกสะกดไว้ด้วยทิฏฐิมานะที่ “แข็งโป๊ก” เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมเคยลองเอาพุทธพจน์หลายข้อมาคุยด้วย แต่เพียงเพราะพุทธพจน์เหล่านนั้น ไม่ได้อยู่ใน “ตำราพุทธวจน” เพื่อนคนนี้ก็ไม่สนใจ แล้วก็ยืนยันถึงศรัทธาในเรื่องสองเรื่องของเขาดังที่ผมได้เล่ามาแล้ว
ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ มักอ้างถึงชาวพุทธบางคน หรือ หลายคน ทำไสยศาสตร์ต่างยังแย่กว่า การสอนพุทธวจนในลักษณะนี้ ทำไมไม่ว่า มาว่าแก่คนสอนธรรมะ อย่างนี้จะชอบหรือ ผมขอตอบว่า ไม่ชอบทั้งสอง เพราะพวกหนึ่งเป็น “ศึลวิบัติ” (ความประพฤติ/สีลลัพพตุปปาทาน) อีกพวกหนึ่งเป็น “ทิฎฐิวิบัติ” (ความรู้/ทิฏฐุปปาทาน) ซึ่งต้องละเสีย
อีกประการหนึ่ง มีสาวกของท่าน หรือ ตัวเจ้าสำนักเอง บอกว่า พระอริยะด่าคนได้ไม่เป็นไร เพราะใจท่านบริสุทธิแล้ว ซึ่งผมว่า ยังไม่ถูกต้อง ผมกลับเห็นว่า พระอริยะต้องดีหรือสุจริตทางกายวาจาใจ
.. ฯลฯ
พระไตรปิฎก มี "พุทธวจน" เป็นที่ ๓
๑. เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในรายการสรุปข่าวในรอบสัปดาห์รายการหนึ่งเมื่อวิทยากรประจำรายการบอกว่า พระไตรปิฎกประกอบด้วย ๑ พระวินัย ๒ พระสูตร และ ๓ พุทธวจนะ
๒. ก่อนหน้านี้ ผมนำเรื่องลัทธิใหม่ (New Religious Movement) นี้ ไปเรียนหารือพระมหาเถระ (ไม่ใช่ระดับสมเด็จ) ในพระอารามหลวงชั้นเอกฯ สองแห่ง ในนี้เป็นกรรมการ มส. ด้วยรูปหนึ่ง ทันทีที่ผมเอ่ยเรื่องนี้เข้ามาสนทนา ทั้งสองรูปก็ให้สัญญาณเชิญผมกลับออกไปทันที (ไล่กลับ)
๓. ในเวลาไม่ก่อนไม่หลังกับ ข้อ ๒ เท่าไรนัก ผมนำเรื่องลัทธินี้ไปเพื่อหาแนวรวมกับอาจารย์มหาลัยที่มีชื่อเสียงของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยสอนผมมา แล้วท่านก็กล่าวคล้ายกับว่า ไม่ต้องทำอะไร เพราะกรรมจะทำงานเล่นงานคนพวกนี้เอง และคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เราสักวันก็จะไปเล่นงานคนพวกนี้เอง
๔. ผมมีเพื่อนรักนับถือกันมาคนหนึ่ง อยู่ชมรมพุทธฯ ด้วยกันมา ไปสวนโมกข์ ไชยา ด้วยกันมาในช่วงปิดภาคกับสมาชิกชมรมอีกหลายครั้ง ร่วมสุขทุกข์ด้วยกันมา หลังจากที่เพื่อนคนนี้เข้าไปเป็นสาวกของคนกลุ่มนี้ ก็คุยแต่ว่า ๑ อานาปานสติคือนิพพาน ๒ แค่อ่าน/ฟัง(ตำรา) พุทธวจนะ กลับไปมาหลาย ๆ เที่ยวเท่านี้ ก็พอแล้ว เพื่อนคนนี้ก็จะคุยวนเวียนแต่สองเรื่องนี้ เหมือนถูกสะกดไว้ด้วยทิฏฐิมานะที่ “แข็งโป๊ก” เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมเคยลองเอาพุทธพจน์หลายข้อมาคุยด้วย แต่เพียงเพราะพุทธพจน์เหล่านนั้น ไม่ได้อยู่ใน “ตำราพุทธวจน” เพื่อนคนนี้ก็ไม่สนใจ แล้วก็ยืนยันถึงศรัทธาในเรื่องสองเรื่องของเขาดังที่ผมได้เล่ามาแล้ว
ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ มักอ้างถึงชาวพุทธบางคน หรือ หลายคน ทำไสยศาสตร์ต่างยังแย่กว่า การสอนพุทธวจนในลักษณะนี้ ทำไมไม่ว่า มาว่าแก่คนสอนธรรมะ อย่างนี้จะชอบหรือ ผมขอตอบว่า ไม่ชอบทั้งสอง เพราะพวกหนึ่งเป็น “ศึลวิบัติ” (ความประพฤติ/สีลลัพพตุปปาทาน) อีกพวกหนึ่งเป็น “ทิฎฐิวิบัติ” (ความรู้/ทิฏฐุปปาทาน) ซึ่งต้องละเสีย
อีกประการหนึ่ง มีสาวกของท่าน หรือ ตัวเจ้าสำนักเอง บอกว่า พระอริยะด่าคนได้ไม่เป็นไร เพราะใจท่านบริสุทธิแล้ว ซึ่งผมว่า ยังไม่ถูกต้อง ผมกลับเห็นว่า พระอริยะต้องดีหรือสุจริตทางกายวาจาใจ
.. ฯลฯ