ผมจะอธิบายปัญหาเรื่องการสอนพุทธวจนะในสังคมไทยในขณะนี้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร? ทำไมถึงมีการฟ้องร้องกัน? และต้นตอสาเหตุมาจากอะไร?
(
ลองอ่านตามไปอย่างช้าๆ แล้วนึกภาพตามไปด้วย เดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจเอง)
- สมมติว่าอยู่ดีๆ ผมหยิบหนังสือพุทธวจนะขึ้นมาอ่าน แล้วพูดสอนให้คุณฟัง คุณจะเชื่อถือผมหรือไม่? (คุณก็คงไม่ค่อยจะเชื่อถือผมซักเท่าไหร่ใช่มั้ย?)
- งั้นสมมติว่าพรุ่งนี้ ผมไปบวชเป็นพระสงฆ์ห่มจีวรเหลืองมาเทศน์สอนคุณ คุณจะเชื่อถือผมหรือไม่? (ก็ไม่อยู่ดีใช่มั้ย? เพราะผมเพิ่งบวชได้แค่วันเดียว)
- งั้นผมขอเก็บตัวอ่านพุทธวจนะซัก 10 ปี แล้วค่อยออกมาสอนคุณ คุณจะเชื่อถือผมหรือไม่? (คุณก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือผมอยู่ดี เพราะอะไร?)
ก็เพราะไม่รู้ว่าในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ ผมจะเข้าถึงธรรมได้ซักแค่ไหน? ผมมานั่งอ่านธรรมะแบบมั่วๆให้คุณฟังอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้?
ผมจะตีความพุทธวจนะได้ถูกต้องตรงทางหรือเปล่าก็ไม่รู้? และถ้าผมมาสอนคุณต่อ
ก็ไม่รู้ว่าผมจะถ่ายทอดความรู้ผิดๆมาให้คุณหรือเปล่าก็ไม่รู้?
แม้ว่าผมจะห่มเหลือง และมือของผมก็ถือหนังสือพุทธวจนะอยู่ก็ตาม และปากของผมก็อ้างว่าผมพูดสอนแต่คำของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
แต่พวกคุณก็ควรจะต้องพิจารณาตรวจสอบสิ่งที่ผมถ่ายทอดให้แก่คุณอยู่ดี
จริงมั้ย?
((((( นั่นแหละครับแบบเดียวกัน )))))
ไม่ใช่ว่าพอมีใครมาห่มเหลืองแล้วมายืนอยู่ต่อหน้าคุณ หรือได้มาพูดออกทีวี แล้วก็จะสอนธรรมะได้ถูกต้องตรงทางเหมือนกันหมดทุกคน
ไม่ใช่อย่างนั้น
ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส หรือว่าจะเป็นผู้ถือบวชห่มเหลืองอยู่ก็ตาม ถ้าเขาเข้าถึงธรรมได้น้อย เขาก็จะเข้าใจในพระธรรมได้น้อยตามไปด้วย
และก็อาจจะมีความเข้าใจผิดอยู่มาก
และก็อาจจะเอาความเข้าใจผิดนั้น มาสอนผิดๆ ส่งต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง
(คุณจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาในการฟังธรรมเสมอ ไม่ใช่เชื่อเลยทันทีโดยไม่ตรวจสอบ)
พระไตรปิฏกนั้น แม้จะมีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็ตาม
แต่คุณก็จะต้องอาศัยใช้ปัญญาในการตีความพระธรรมที่เป็นภาษาไทยนั้น
ไม่ใช่สักแต่ว่าใครก็ได้ที่อ่านภาษาไทยออก ก็จะเข้าถึงธรรมกันได้หมดทุกคน
ไม่ใช่อย่างนั้น
ไม่อย่างนั้นคนที่เรียนนักธรรม ก็คงจะบรรลุธรรมกันไปหมดทุกคนแล้ว เพราะพวกเขาเหล่านั้นอ่านภาษาไทยออกกันหมดทุกคน
ไม่ใช่อย่างนั้น
(
ยังต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนแต่ละคนอยู่ ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ)
ต่อให้คุณจดจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ แต่ถ้าคุณปฏิบัติตามนั้นไม่ได้ ความรู้ที่คุณมีก็จะเป็นเพียงแค่ความ "รู้จำ" เท่านั้น ไม่ใช่ความ "รู้ตาม"
เพราะฉนั้น
ต่อให้คุณจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ คุณก็ได้แค่ ปริยัติ เท่านั้น แต่ถ้า ปฏิบัติ&ปฏิเวธ ยังไม่ได้ คุณก็ยังเป็นเถรใบลานเปล่าอยู่ดี
เพราะฉนั้น ถ้ามีใครที่เขาท่องจำพระไตรปิฎกได้ หรือ ท่องจำพุทธวจนะได้ แล้วมานั่งท่องบ่นให้คุณฟังได้
ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาบรรลุธรรมแล้ว
หรือ
ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้-ความเข้าใจถูกต้องในพระธรรมในทุกๆเรื่อง ในทุกๆแง่มุม (
บางเรื่องสอนถูก บางเรื่องสอนผิด)
(เรื่องไหนที่เขาสอนผิด
คุณก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหนบ้าง? และคุณก็ไม่รู้ว่าผิดเพราะว่าอะไร? ก็เพราะว่าคุณไม่มีความรู้มากพอที่จะไปตรวจสอบเขา)
เพราะว่าใครจะเข้าใจในพระธรรมได้ถูกต้องตรงทางแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนๆนั้น ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ
หรือ ไม่ใช่แค่เขาท่องจำพระสูตรได้ก็พอ (เพราะถ้าปัญญาของเขาไม่ถึงขั้นพระอริยะเจ้า เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความพระธรรมผิดทางได้อยู่เสมอ)
โดยเฉพาะในเรื่อง
ฌานสมาธิ และ
ความเป็นพระอริยะเจ้า (เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้ จำเป็นจะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "
เข้าถึง" จึงจะสามารถ "
รู้ตาม" ได้)
"ถ้าไม่เข้าถึง ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็จะเข้าใจไม่ได้" ก็จะ "
รู้ตาม" ไม่ได้ (จะทำได้แค่การท่องจำตัวหนังสือในตำรามาเท่านั้น)
เมื่อปฏิบัติไม่ได้-ปฏิบัติไม่ถึง จึงไม่มีความรู้ตามเกิดขึ้น จึงไม่มีความรู้ของนักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมได้มาบอกสอน (
และจะพูดขยายความในตรงจุดนี้ไม่ได้)
เช่น ถ้าไม่เคยเข้าฌานได้ ย่อมไม่รู้อารมณ์ฌาน
ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น
เวลาไปบอกสอนเรื่องฌานสมาธิให้แก่ผู้อื่น
ก็ย่อมมีโอกาสที่จะส่งต่อความเข้าใจผิดไปยังผู้อื่นได้ เพราะตัวเองยังทำไม่ได้-ยังทำไม่ถึง
(เช่น ไม่มีความรู้เรื่อง นิโรธสมาบัติ ก็เลยบอกปัดไปว่าเป็นแค่การใช้คำแปลกๆมาหากินเท่านั้น สอนแบบคนไม่รู้เรื่องฌานสมาธิ ผิดทางมากๆ)
เฉกเช่นเดียวกัน ความเป็นพระอริยะเจ้านั้น ถ้าตัวเองยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นนั้น ก็ย่อมที่จะไม่รู้อารมณ์ของพระอริยะเจ้าในขั้นนั้น
ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น
โอกาสที่จะตีความอารมณ์พระอริยะเจ้าผิดทาง ก็เกิดขึ้นได้
(เช่น การตีความอารมณ์พระอรหันต์ผิด ที่บอกว่า พระอรหันต์ ยังมี ราคะ,โทสะ,โมหะ อยู่ เพียงแต่ดับเร็ว เป็นการสอนธรรมะแบบผิดทางอย่างชัดเจน)
เฉกเช่นเดียวกับเรื่อง ภาษาบาลี
ถ้าผู้ใดไม่มีความรู้ความชำนาญในภาษาบาลี เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความหมายคำบาลีผิดทาง ผิดความหมายไปได้
เวลาไปบอกสอนต่อไปยังผู้อื่น
เขาก็อาจจะนำพาเอาความเข้าใจผิดส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ (หรือไม่เขาก็อาจจะโบ้ยไปเลยว่า ภาษาบาลี ไม่ต้องเรียนก็ได้)
(ถ้ามีใครมาบอกกับคุณว่า ภาษาบาลี ไม่จำเป็นจะต้องเรียน ให้คุณนึกเอะใจถามตัวเองดูว่า ที่เขาพูดแบบนั้นก็เพราะว่ามันไม่จำเป็นจริงๆหรือ?)
(หรือว่าที่เขาพูดแบบนั้น ก็เพื่อที่จะ "
อำพราง" ความไม่รู้ในภาษาบาลีของตนเองกันแน่?)
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปรัชญาทางโลก เหมือนความรู้อื่นๆ
จึงไม่สามารถที่จะใช้หลักปรัชญา หรือหลักทักษะแนวคิดทั่วๆไปทางโลก มาตีความพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้
จะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "
เข้าถึง" จึงจะสามารถ "
รู้ตาม" ได้ (ไม่ใช่อาศัยแค่การท่องจำตำราได้เฉยๆ แต่ต้องปฏิบัติได้ และเข้าถึงธรรมนั้นๆได้)
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระอรหันต์ ก็จะมีความรู้ในระดับ อรหันต์ หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ีที่เข้าถึงระดับ พระอนาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ อนาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระสกิทาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ สกิทาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระโสดาบัน ก็จะมีความรู้ในระดับ โสดาบัน หรือต่ำกว่านั้นลงไป
เพราะฉนั้น ผู้ที่เข้าถึงในระดับใด ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับนั้น หรือต่ำกว่านั้นลงไป จะไม่สูงไปกว่านั้น
เมื่อคนผู้นั้น ได้มาอ่านและศึกษา พระธรรมของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฏกนั้น
ผู้ที่ศึกษานั้น ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับที่ตัวเองเข้าถึงเท่านั้น
ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "
จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "
เข้าใจได้ไม่ครบ"
เพราะฉนั้น ผู้ศึกษาพระธรรม จึงไม่ควรที่จะคิดเขียนตำราใหม่
หรือไม่ควรที่จะไป เปลี่ยนแปลง หรือ แก้ไข หรือ ตัดทอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติเอาไว้ดีแล้ว
และเมื่อ ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "
จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "
เข้าใจได้ไม่ครบ" นั้น
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา มาสอนต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง (
ทำให้หลงผิดไปตามๆกัน)
และเมื่อ คนๆนั้นคิดจะมาตัดทอนพระไตรปิฎก
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา
ไปตัดทอนพระไตรปิฎกตามความไม่รู้ของเขา (เช่นการตัดศีล227เหลือแค่150)
บทไหนที่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าถึง เขาก็อาจจะบอกว่ามันเป็นเท็จ หรือเชื่อถือไม่ได้ สมควรที่จะตัดทิ้ง (ตามความไม่รู้ของเขา)
(และชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีความรู้ก็หลงเชื่อตามเขา เพราะเขาอ้างว่าพูดสอนแต่คำของพระพุทธเจ้า
มาปิดล็อคความสงสัยเอาไว้ ทำให้มองข้ามไป)
และแม้แต่ผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม แต่พระอรหันต์ก็มีหลายหมวด
และพระอรหันต์ในแต่ละหมวดก็ยังมีความรู้ไม่เท่ากัน
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว มีการสังคายนาพระธรรมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยคัดเลือกเอาแต่เฉพาะพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ 500 รูป มาร่วมสังคายนาเท่านั้น
แม้แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าร่วมในการสังคายนาในครั้งนี้ได้เลย
(
เพราะว่าพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆยังมีความรู้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด จึงไม่ให้เข้าร่วมสังคายนาด้วย) (จิตสะอาดเท่ากัน แต่รู้ไม่เท่ากัน)
เพราะฉนั้น ถ้าใครในยุคปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แบบปฏิสัมภิทาญาณ ก็อย่าได้คิดเสนอตัวไป แก้ไข หรือ ตัดทอน พระไตรปิฎก
เพราะคุณไม่อาจจะรู้ได้ว่า ข้อความไหนในพระไตรปิฎกที่เป็นเท็จ หรือข้อความไหนที่ถูกต้อง
หรือว่าถูกต้องทั้งหมดคุณก็ไม่รู้ เพราะว่าความรู้คุณไม่ถึง
ขืนไปแก้ไขหรือตัดทอนพระไตรปิฎก ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีความรู้จริง ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ก็เท่ากับว่าคุณหานรกใส่หัวตัวเองเปล่าๆ
และเป็นการหานรกใส่หัวแบบหนักหนามหาศาลเสียด้วย เพราะคนรุ่นหลังอาจจะหลงผิดตามคุณจำนวนมาก เพราะใช้ตำราที่คุณตัดทอนผิดๆทิ้งเอาไว้
(
ถ้ามีความรู้ไม่ถึง แต่คิดจะไปตัดทอนพระไตรปิฎก ผมว่าคุณเอามีดมาตัดแขนตัดขาตัวเองทิ้ง ยังดูฉลาดกว่า เพราะทุกข์น้อยกว่า ไม่ต้องตกนรกนาน)
เพราะฉนั้น ถ้าใครในยุคปัจจุบันนี้ ต้องการจะ
เปลี่ยนแปลง หรือ
แก้ไข หรือ
ตัดทอน พระธรรมของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏกนั้น
คุณควรจะถามตัวเองว่า
คุณเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแล้วหรือ? ถึงได้กล้าพูดว่าจะตัดตรงนั้นทิ้ง-จะตัดตรงนี้ทิ้ง? ตามใจตนเอง?
ใช้วิธีแยกแยะว่าตรงไหนเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า โดยดูที่คำว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" มีอยู่หน้าท่อนไหน ก็เอาแต่ท่อนนั้น มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ?
ชาวบ้านรักและศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก แต่ชาวบ้านก็มักจะไม่ค่อยมีความรู้ พอได้ยินใครอ้างว่าเขาพูดสอนแต่คำของพระพุทธเจ้า ก็หลงเชื่อทันที
เพราะชาวบ้านไม่มีความรู้มากพอที่จะไปตรวจสอบคำสอนของเขา ว่าเขากำลังสอนบรรยายขยายความพุทธวจนะได้อย่างถูกต้องตรงทางอยู่หรือไม่?
(
เห็นใครห่มเหลืองมาอ้างว่าสอนแต่คำพูดของพระพุทธเจ้า ชาวบ้านก็หลงเชื่อตามทันที โดยไม่ตรวจสอบ)
พุทธวจนะของพระพุทธเจ้านั้น ดีเลิศจริงแท้แน่นอน แต่คนที่จะมาบรรยายขยายความพุทธวจนะให้คุณฟังนั้น
เขาจะบรรยายขยายความพุทธวจนะได้อย่างถูกต้องตรงทางหรือไม่?
คุณเคยนึกเอะใจตรวจสอบในเรื่องนี้หรือไม่?
ปัญหาเรื่องการสอนพุทธวจนะในสังคมไทยในขณะนี้ มีสาเหตุมาจากอะไร?
ผมจะอธิบายปัญหาเรื่องการสอนพุทธวจนะในสังคมไทยในขณะนี้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร? ทำไมถึงมีการฟ้องร้องกัน? และต้นตอสาเหตุมาจากอะไร?
(ลองอ่านตามไปอย่างช้าๆ แล้วนึกภาพตามไปด้วย เดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจเอง)
- สมมติว่าอยู่ดีๆ ผมหยิบหนังสือพุทธวจนะขึ้นมาอ่าน แล้วพูดสอนให้คุณฟัง คุณจะเชื่อถือผมหรือไม่? (คุณก็คงไม่ค่อยจะเชื่อถือผมซักเท่าไหร่ใช่มั้ย?)
- งั้นสมมติว่าพรุ่งนี้ ผมไปบวชเป็นพระสงฆ์ห่มจีวรเหลืองมาเทศน์สอนคุณ คุณจะเชื่อถือผมหรือไม่? (ก็ไม่อยู่ดีใช่มั้ย? เพราะผมเพิ่งบวชได้แค่วันเดียว)
- งั้นผมขอเก็บตัวอ่านพุทธวจนะซัก 10 ปี แล้วค่อยออกมาสอนคุณ คุณจะเชื่อถือผมหรือไม่? (คุณก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือผมอยู่ดี เพราะอะไร?)
ก็เพราะไม่รู้ว่าในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ ผมจะเข้าถึงธรรมได้ซักแค่ไหน? ผมมานั่งอ่านธรรมะแบบมั่วๆให้คุณฟังอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้?
ผมจะตีความพุทธวจนะได้ถูกต้องตรงทางหรือเปล่าก็ไม่รู้? และถ้าผมมาสอนคุณต่อ ก็ไม่รู้ว่าผมจะถ่ายทอดความรู้ผิดๆมาให้คุณหรือเปล่าก็ไม่รู้?
แม้ว่าผมจะห่มเหลือง และมือของผมก็ถือหนังสือพุทธวจนะอยู่ก็ตาม และปากของผมก็อ้างว่าผมพูดสอนแต่คำของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
แต่พวกคุณก็ควรจะต้องพิจารณาตรวจสอบสิ่งที่ผมถ่ายทอดให้แก่คุณอยู่ดี จริงมั้ย?
((((( นั่นแหละครับแบบเดียวกัน )))))
ไม่ใช่ว่าพอมีใครมาห่มเหลืองแล้วมายืนอยู่ต่อหน้าคุณ หรือได้มาพูดออกทีวี แล้วก็จะสอนธรรมะได้ถูกต้องตรงทางเหมือนกันหมดทุกคน ไม่ใช่อย่างนั้น
ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส หรือว่าจะเป็นผู้ถือบวชห่มเหลืองอยู่ก็ตาม ถ้าเขาเข้าถึงธรรมได้น้อย เขาก็จะเข้าใจในพระธรรมได้น้อยตามไปด้วย
และก็อาจจะมีความเข้าใจผิดอยู่มาก และก็อาจจะเอาความเข้าใจผิดนั้น มาสอนผิดๆ ส่งต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง
(คุณจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาในการฟังธรรมเสมอ ไม่ใช่เชื่อเลยทันทีโดยไม่ตรวจสอบ)
พระไตรปิฏกนั้น แม้จะมีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วก็ตาม แต่คุณก็จะต้องอาศัยใช้ปัญญาในการตีความพระธรรมที่เป็นภาษาไทยนั้น
ไม่ใช่สักแต่ว่าใครก็ได้ที่อ่านภาษาไทยออก ก็จะเข้าถึงธรรมกันได้หมดทุกคน ไม่ใช่อย่างนั้น
ไม่อย่างนั้นคนที่เรียนนักธรรม ก็คงจะบรรลุธรรมกันไปหมดทุกคนแล้ว เพราะพวกเขาเหล่านั้นอ่านภาษาไทยออกกันหมดทุกคน ไม่ใช่อย่างนั้น
(ยังต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนแต่ละคนอยู่ ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ)
ต่อให้คุณจดจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ แต่ถ้าคุณปฏิบัติตามนั้นไม่ได้ ความรู้ที่คุณมีก็จะเป็นเพียงแค่ความ "รู้จำ" เท่านั้น ไม่ใช่ความ "รู้ตาม"
เพราะฉนั้น ต่อให้คุณจำตัวอักษรทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้ คุณก็ได้แค่ ปริยัติ เท่านั้น แต่ถ้า ปฏิบัติ&ปฏิเวธ ยังไม่ได้ คุณก็ยังเป็นเถรใบลานเปล่าอยู่ดี
เพราะฉนั้น ถ้ามีใครที่เขาท่องจำพระไตรปิฎกได้ หรือ ท่องจำพุทธวจนะได้ แล้วมานั่งท่องบ่นให้คุณฟังได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาบรรลุธรรมแล้ว
หรือ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความรู้-ความเข้าใจถูกต้องในพระธรรมในทุกๆเรื่อง ในทุกๆแง่มุม (บางเรื่องสอนถูก บางเรื่องสอนผิด)
(เรื่องไหนที่เขาสอนผิด คุณก็ไม่รู้ว่าผิดตรงไหนบ้าง? และคุณก็ไม่รู้ว่าผิดเพราะว่าอะไร? ก็เพราะว่าคุณไม่มีความรู้มากพอที่จะไปตรวจสอบเขา)
เพราะว่าใครจะเข้าใจในพระธรรมได้ถูกต้องตรงทางแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและการเข้าถึงธรรมของคนๆนั้น ไม่ใช่แค่เขาอ่านภาษาไทยออกก็พอ
หรือ ไม่ใช่แค่เขาท่องจำพระสูตรได้ก็พอ (เพราะถ้าปัญญาของเขาไม่ถึงขั้นพระอริยะเจ้า เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความพระธรรมผิดทางได้อยู่เสมอ)
โดยเฉพาะในเรื่อง ฌานสมาธิ และ ความเป็นพระอริยะเจ้า (เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้ จำเป็นจะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "เข้าถึง" จึงจะสามารถ "รู้ตาม" ได้)
"ถ้าไม่เข้าถึง ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ ก็จะเข้าใจไม่ได้" ก็จะ "รู้ตาม" ไม่ได้ (จะทำได้แค่การท่องจำตัวหนังสือในตำรามาเท่านั้น)
เมื่อปฏิบัติไม่ได้-ปฏิบัติไม่ถึง จึงไม่มีความรู้ตามเกิดขึ้น จึงไม่มีความรู้ของนักปฏิบัติที่เข้าถึงธรรมได้มาบอกสอน (และจะพูดขยายความในตรงจุดนี้ไม่ได้)
เช่น ถ้าไม่เคยเข้าฌานได้ ย่อมไม่รู้อารมณ์ฌาน ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น
เวลาไปบอกสอนเรื่องฌานสมาธิให้แก่ผู้อื่น ก็ย่อมมีโอกาสที่จะส่งต่อความเข้าใจผิดไปยังผู้อื่นได้ เพราะตัวเองยังทำไม่ได้-ยังทำไม่ถึง
(เช่น ไม่มีความรู้เรื่อง นิโรธสมาบัติ ก็เลยบอกปัดไปว่าเป็นแค่การใช้คำแปลกๆมาหากินเท่านั้น สอนแบบคนไม่รู้เรื่องฌานสมาธิ ผิดทางมากๆ)
เฉกเช่นเดียวกัน ความเป็นพระอริยะเจ้านั้น ถ้าตัวเองยังไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นนั้น ก็ย่อมที่จะไม่รู้อารมณ์ของพระอริยะเจ้าในขั้นนั้น
ไม่รู้ว่าในหนังสือเขาเขียนไว้แบบนั้นเพราะอะไร เป็นแต่เพียงนักท่องจำตำรามาเท่านั้น โอกาสที่จะตีความอารมณ์พระอริยะเจ้าผิดทาง ก็เกิดขึ้นได้
(เช่น การตีความอารมณ์พระอรหันต์ผิด ที่บอกว่า พระอรหันต์ ยังมี ราคะ,โทสะ,โมหะ อยู่ เพียงแต่ดับเร็ว เป็นการสอนธรรมะแบบผิดทางอย่างชัดเจน)
เฉกเช่นเดียวกับเรื่อง ภาษาบาลี ถ้าผู้ใดไม่มีความรู้ความชำนาญในภาษาบาลี เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะตีความหมายคำบาลีผิดทาง ผิดความหมายไปได้
เวลาไปบอกสอนต่อไปยังผู้อื่น เขาก็อาจจะนำพาเอาความเข้าใจผิดส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ (หรือไม่เขาก็อาจจะโบ้ยไปเลยว่า ภาษาบาลี ไม่ต้องเรียนก็ได้)
(ถ้ามีใครมาบอกกับคุณว่า ภาษาบาลี ไม่จำเป็นจะต้องเรียน ให้คุณนึกเอะใจถามตัวเองดูว่า ที่เขาพูดแบบนั้นก็เพราะว่ามันไม่จำเป็นจริงๆหรือ?)
(หรือว่าที่เขาพูดแบบนั้น ก็เพื่อที่จะ "อำพราง" ความไม่รู้ในภาษาบาลีของตนเองกันแน่?)
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปรัชญาทางโลก เหมือนความรู้อื่นๆ
จึงไม่สามารถที่จะใช้หลักปรัชญา หรือหลักทักษะแนวคิดทั่วๆไปทางโลก มาตีความพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้
จะต้องอาศัยการปฏิบัติตนให้ "เข้าถึง" จึงจะสามารถ "รู้ตาม" ได้ (ไม่ใช่อาศัยแค่การท่องจำตำราได้เฉยๆ แต่ต้องปฏิบัติได้ และเข้าถึงธรรมนั้นๆได้)
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระอรหันต์ ก็จะมีความรู้ในระดับ อรหันต์ หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ีที่เข้าถึงระดับ พระอนาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ อนาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระสกิทาคามี ก็จะมีความรู้ในระดับ สกิทาคามี หรือต่ำกว่านั้นลงไป
ผู้ที่เข้าถึงระดับ พระโสดาบัน ก็จะมีความรู้ในระดับ โสดาบัน หรือต่ำกว่านั้นลงไป
เพราะฉนั้น ผู้ที่เข้าถึงในระดับใด ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับนั้น หรือต่ำกว่านั้นลงไป จะไม่สูงไปกว่านั้น
เมื่อคนผู้นั้น ได้มาอ่านและศึกษา พระธรรมของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฏกนั้น
ผู้ที่ศึกษานั้น ก็จะเข้าใจได้แค่ในระดับที่ตัวเองเข้าถึงเท่านั้น
ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "เข้าใจได้ไม่ครบ"
เพราะฉนั้น ผู้ศึกษาพระธรรม จึงไม่ควรที่จะคิดเขียนตำราใหม่
หรือไม่ควรที่จะไป เปลี่ยนแปลง หรือ แก้ไข หรือ ตัดทอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติเอาไว้ดีแล้ว
และเมื่อ ระดับที่สูงกว่าที่ตนเองเข้าถึง "จะไม่สามารถเข้าใจได้" หรือ "เข้าใจได้ไม่ครบ" นั้น
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา มาสอนต่อให้แก่คุณอีกทีหนึ่ง (ทำให้หลงผิดไปตามๆกัน)
และเมื่อ คนๆนั้นคิดจะมาตัดทอนพระไตรปิฎก
เขาก็อาจจะ เอาความเข้าใจผิด หรือ เอาความเข้าใจไม่ครบของเขา ไปตัดทอนพระไตรปิฎกตามความไม่รู้ของเขา (เช่นการตัดศีล227เหลือแค่150)
บทไหนที่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าถึง เขาก็อาจจะบอกว่ามันเป็นเท็จ หรือเชื่อถือไม่ได้ สมควรที่จะตัดทิ้ง (ตามความไม่รู้ของเขา)
(และชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีความรู้ก็หลงเชื่อตามเขา เพราะเขาอ้างว่าพูดสอนแต่คำของพระพุทธเจ้า มาปิดล็อคความสงสัยเอาไว้ ทำให้มองข้ามไป)
และแม้แต่ผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม แต่พระอรหันต์ก็มีหลายหมวด และพระอรหันต์ในแต่ละหมวดก็ยังมีความรู้ไม่เท่ากัน
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว มีการสังคายนาพระธรรมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยคัดเลือกเอาแต่เฉพาะพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ 500 รูป มาร่วมสังคายนาเท่านั้น
แม้แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าร่วมในการสังคายนาในครั้งนี้ได้เลย
(เพราะว่าพระอรหันต์ในหมวดอื่นๆยังมีความรู้ไม่ครอบคลุมทั้งหมด จึงไม่ให้เข้าร่วมสังคายนาด้วย) (จิตสะอาดเท่ากัน แต่รู้ไม่เท่ากัน)
เพราะฉนั้น ถ้าใครในยุคปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แบบปฏิสัมภิทาญาณ ก็อย่าได้คิดเสนอตัวไป แก้ไข หรือ ตัดทอน พระไตรปิฎก
เพราะคุณไม่อาจจะรู้ได้ว่า ข้อความไหนในพระไตรปิฎกที่เป็นเท็จ หรือข้อความไหนที่ถูกต้อง หรือว่าถูกต้องทั้งหมดคุณก็ไม่รู้ เพราะว่าความรู้คุณไม่ถึง
ขืนไปแก้ไขหรือตัดทอนพระไตรปิฎก ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีความรู้จริง ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ก็เท่ากับว่าคุณหานรกใส่หัวตัวเองเปล่าๆ
และเป็นการหานรกใส่หัวแบบหนักหนามหาศาลเสียด้วย เพราะคนรุ่นหลังอาจจะหลงผิดตามคุณจำนวนมาก เพราะใช้ตำราที่คุณตัดทอนผิดๆทิ้งเอาไว้
(ถ้ามีความรู้ไม่ถึง แต่คิดจะไปตัดทอนพระไตรปิฎก ผมว่าคุณเอามีดมาตัดแขนตัดขาตัวเองทิ้ง ยังดูฉลาดกว่า เพราะทุกข์น้อยกว่า ไม่ต้องตกนรกนาน)
เพราะฉนั้น ถ้าใครในยุคปัจจุบันนี้ ต้องการจะ เปลี่ยนแปลง หรือ แก้ไข หรือ ตัดทอน พระธรรมของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏกนั้น
คุณควรจะถามตัวเองว่า คุณเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแล้วหรือ? ถึงได้กล้าพูดว่าจะตัดตรงนั้นทิ้ง-จะตัดตรงนี้ทิ้ง? ตามใจตนเอง?
ใช้วิธีแยกแยะว่าตรงไหนเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า โดยดูที่คำว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" มีอยู่หน้าท่อนไหน ก็เอาแต่ท่อนนั้น มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ?
ชาวบ้านรักและศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก แต่ชาวบ้านก็มักจะไม่ค่อยมีความรู้ พอได้ยินใครอ้างว่าเขาพูดสอนแต่คำของพระพุทธเจ้า ก็หลงเชื่อทันที
เพราะชาวบ้านไม่มีความรู้มากพอที่จะไปตรวจสอบคำสอนของเขา ว่าเขากำลังสอนบรรยายขยายความพุทธวจนะได้อย่างถูกต้องตรงทางอยู่หรือไม่?
(เห็นใครห่มเหลืองมาอ้างว่าสอนแต่คำพูดของพระพุทธเจ้า ชาวบ้านก็หลงเชื่อตามทันที โดยไม่ตรวจสอบ)
พุทธวจนะของพระพุทธเจ้านั้น ดีเลิศจริงแท้แน่นอน แต่คนที่จะมาบรรยายขยายความพุทธวจนะให้คุณฟังนั้น
เขาจะบรรยายขยายความพุทธวจนะได้อย่างถูกต้องตรงทางหรือไม่? คุณเคยนึกเอะใจตรวจสอบในเรื่องนี้หรือไม่?