- Honeymoon in France: จุดเริ่มต้นของ13 วัน ในฝรั่งเศส -
http://ppantip.com/topic/34326406
- Ep.1: Chamonix เมืองขนมหวาน กลางเทือกเขาแอลป์ -
http://ppantip.com/topic/34326743
- Ep.2: Annecy "Little Venice" แห่งฝรั่งเศส -
http://ppantip.com/topic/34347401
- Ep.3: Avignon สะพานขาดก็มิอาจพรากเราได้ -
http://ppantip.com/topic/34382391
- Ep.4: Provence หมู่บ้านบนเนินเขา และเราสองคน -
http://ppantip.com/topic/34468041
- Ep.5: Arles ตามรอย วินเซนต์ เเวนโก๊ะ -
http://ppantip.com/topic/34493023
- Ep 6: L'isle sur la Sorgue ปิกนิคกลางเมืองกังหันน้ำ -
http://ppantip.com/topic/34581875
- Ep 7: Rennes บ้านเอียง เคียงกัน -
http://ppantip.com/topic/34643659
- Ep 8: Mont Saint Michel ท่องปราสาท The Lord of the Rings -
http://ppantip.com/topic/34760301
- Ep 9: Paris "Je t'aime" หลงรักปารีส 24 ชั่วโมง -
http://ppantip.com/topic/34821139
- Ep 10: Loire Valley ขอเป็นเจ้าหญิงในปราสาท 1 วัน -
http://ppantip.com/topic/34875863
- Ep 11: Disneyland Paris แอ๊บเด็กไปกับ Mickey & Minnie -
http://ppantip.com/topic/34904619
- Ep 12: Montmarte เสน่ห์ของถนนเส้นหลังบ้าน -
http://ppantip.com/topic/34933456
ทริปฮันนีมูนในฝรั่งเศสคงจะไม่สมบูรณ์หากขาดการไปเยือนนครปารีส
มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของความโรแมนติก...
เราออกเดินทางจากเมือง Rennes ด้วยรถไฟเที่ยว 11 โมงเช้า และไปถึงสถานี Montpanasses ใน Paris ประมาณ บ่ายโมงครึ่ง จากนั้นจึงต่อรถไฟใต้ดินจากสถานี Montpanasse Bienvenue ไปยัง สถานี Notre Dame de Loirette เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆสถานี โรงแรมที่เราจองผ่านเว็บ Booking.com ไว้ชื่อ Lodge du Centre ราคาคืนละประมาณ 109 ยูโร เราจะพักที่นี่ทั้งหมด 4 คืน โดยเราจะเที่ยวอยู่ในปารีสจริงๆ แค่ประมาณ 2 วันครึ่ง ที่เหลือเราจะออกไปเที่ยวบริเวณใกล้ๆ ปารีสและ Disneyland
โรงแรม Lodge du Centre
Credit picture:
http://www.dreamsdestino.com
การเดินทางใน Paris นั้นสะดวกสบาย เนื่องจากมีรถไฟใต้ดินไปถึงสถานที่เที่ยวสำคัญๆทั้งหมด และมี Pass ให้เลือกใช้มากมาย โดยเราสามารถเลือกซื้อตามจำนวนวันที่เราจะใช้ และตามโซนที่เราจะไปเที่ยว
สำหรับทริป Paris ในครั้งนี้ เราเลือกใช้ Pass ที่ชื่อว่า Ticket Mobilis ที่เป็นแบบหนึ่งวัน เราสามารถเลือกตามโซนที่เราจะไป แยกย่อยเป็น 4 แบบด้วยกัน อย่างเช่นถ้าเราเที่ยวแค่ใจกลางเมืองเราก็จะซื้อแบบที่ Zone 1-3 ราคา 9.30 ยูโร แต่ถ้าเราจะไปพระราชวัง Versailles ด้วย เราก็ต้องซื้อแบบ Zone 1-4
สถานที่เที่ยวหลักที่อยู่ใจกลางเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ภายในโซน 1 - 3 ยกตัวอย่างเช่น หอไอเฟล ประตูชัย (Arc de Triomphe), สวน Luxembourg, Louvre Museum, Musee D'orsay, Notre Dame, Sainte-Chapelle, Montmatre, Pont des Art, Pont Neuf
แต่ใครอยากได้ครอบคลุมถึงการเดินทางไปสนามบิน พระราชวังแวซายล์ และ Disneyland จะต้องใช้ โซน 1-5
สำหรับเราที่เที่ยวแค่ในตัวเมืองเท่านั้น เราจึงเลือกซื้อแบบ Zone 1-3
ออกสำรวจเมืองกันเลย !
เนื่องจากวันนี้มีฝนตกเล็กน้อย เราเลยเลือกที่จะเที่ยวพิพิธภัณฑ์ก่อน และเมื่อพูดถึงพิพิธภัณฑ์ในปารีส ที่แรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดเราก็คือ Louvre
ด้วยความที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การไปเยี่ยมชมที่นี่จึงต้องวางแผนให้ดี ไม่เช่นนั้นคงต้องเสียเวลาต่อคิวกันนานเลยทีเดียว ทางออกของเราคือการหาซื้อ Museum Pass (
http://en.parismuseumpass.com/ )ที่เป็น Pass สำหรับเข้า Museum ได้เกือบทุกแห่งในปารีส และไม่ต้องรอคิวซื้อตั๋วให้เสียเวลา เราเลยขอเรียกบัตรนี้ว่าบัตรเบ่ง
เพียงยกขึ้นมาโบกให้เจ้าหน้าที่ดู ก็เดินเฉิดฉายเข้าไปได้เลย ส่วนราคาของบัตรนี้อยู่ที่ 42 ยูโร โดยจะใช้ได้ 2 วันติดกัน (มีแบบ 4 วัน และ 6 วันด้วย แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามลำดับ)
Credit:
http://rorymoulton.com
คำถามคือจะซื้อหรือไม่ซื้อดี ?
เพราะราคาไม่ถูกเลย วิธีคิดคือ ดูว่าจะไปไหนบ้าง แล้วลองเอาค่าเข้าของสถานที่ที่เราจะไปมาบวกกัน ถ้ารวมค่าเข้าทุกที่แล้วแล้วแพงกว่า หรือใกล้เคียงกับราคา Museum Pass เราแนะนำให้ซื้อ ในกรณีของเรา เราใช้บัตรนี้เข้าสถานที่ดังต่อไปนี้
Louvre Museum (12 ยูโร)
L'Arc de Triomphe (9.5 ยูโร)
Musee d'Orsay (9 ยูโร)
Sainte-Chapelle (8.5 ยูโร)
คำนวณค่าเข้าทั้ง 4 ที่ ตกอยู่ที่ประมาณ 39 ยูโร ใกล้เคียงกับค่า Pass มาก เราจึงซื้อ Pass เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาในการต่อคิว
การเดินทางไป พิพิธภัณฑ์ลูฟ เราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ด้านใต้ของลูฟได้เลย โดยลงสถานีชื่อ Palais Royal- Musee du Louvre ภายในจะมีร้านค้า และคาเฟ่อยู่ รวมทั้งร้านที่ขาย Museum Pass ด้วย ชื่อว่าร้าน La Civette du Carrousel
เราเดินขึ้นมาข้างบน เพื่อเข้าประตูที่อยู่ตรงปิระมิดแก้ว ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพิพิธภัณฑ์ลูฟ และเป็นจุดถ่ายรูปที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนที่นี่
เข้าไปด้านในจะเป็นบันไดเลื่อนลงไปสู่ใต้ดินอีกครั้ง จุดนี้เปรียบเสมือน Lobby ขนาดใหญ่ที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากทุกสารทิศทั่วโลก จากจุดนี้ก็จะแยกแตกแขนงออกไปตาม Zone ต่างๆ ถ้าจะดูทั้งหมดคงใช้เวลาเป็นวันแน่นอน สำหรับเราที่มีเวลาไม่มาก เราจึงทำการบ้านมาก่อนว่าอยากเห็นอะไรบ้าง จากนั้นหยิบแผนที่แล้วมุ่งตรงไปที่นั่น
อย่างแรกที่เราอยากเห็นคือรูปปั้น Nike เทพีแห่งชัยชนะ ชื่อเต็มๆของรูปปั้นนี้คือ Winged Victory of Samothrace
แต่ระหว่างทางไปดู เราก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมรูปปั้นอื่นๆในนี้ แต่ละชิ้นสวยๆทั้งนั้น
ทึ่งกับการแกะสลักหินให้ดูพลิ้วเหมือนกับผืนผ้า
แต่ที่ถูกใจเราที่สุดคือรูปปั้น เทพเจ้า Selfie องค์นี้นี่เอง
เลยต้องขอเซลฟี่ข้างๆสักหนึ่งรูป เทพองค์นีอาจจะเป็นผู้บุกเบิกเทรนด์เซลฟี่ก็เป็นได้
Apollo Slaying the Python หรือ Selfie Statue
ด้วยความที่ชอบมาก เมื่อกลับมาถึงบ้านเราจึงค้นดูว่าจริงๆแล้วรูปปั้นนี้ชื่ออะไร แต่คำตอบที่ได้รับคือ ฝรั่งก็เรียกรูปนี้ว่า รูปปั้นเทพเจ้าเซลฟี่เหมือนกับเราเลย ค้นอยู่นานสุดท้ายก็เจอผู้รู้มาบอกว่าจริงๆแล้ว รูปปั้นนี้เป็นเทพเจ้า Apollo และชื่อรูปปั้นจริงๆแล้วชื่อว่า Apollo Slaying the Python เพราะถ้าสังเกตดีๆ เทพองค์นี้กำลังฆ่างูเหลือมที่อยู่เขาเหยียบอยู่ใต้เท้า และในมือที่เหมือนกำลังถือมือถือเซลฟี่อยู่นั้น จริงๆน่าจะถือดาบ อยู่ แต่ดาบอาจจะทำจากวัสดุที่ไม่คงทนเท่าหินอ่อน จึงผุพังและสูญหายไปตามกาลเวลา แต่ที่แน่ๆ รูปปั้นรูปนี้ดังใช่ย่อยเลยทีเดียว เพราะท่าโพสเซลฟี่อันสง่างามท่านี้นี่เอง
รูปปั้นอันต่อไป ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ชื่อท่าก้มดูของตัวเอง แล้วกลุ้มใจ (555555) เราตั้งชื่อให้เอง
สุดท้ายก็เดินมาถึงบริเวณที่จัดแสดงรูปปั้น Nike ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนบันได มีแสงธรรมชาติที่ลอกผ่านกระจกด้านบน ส่องกระทบลงบนรูปปั้น
เทพี Nike เป็นเทพีแห่งชัยชนะของกรีก คาดเดากันว่ารูปปั้นนี้ คนปั้นตั้งใจทำให้เหมือนกับเทพีกำลังลอยลงมาจากฟ้า แล้วมาขนาบข้างเรือรบยามออกศึกสงคราม ปีกของรูปปั้นจึงกางออก และผ้าที่พลิ้วเหมือนถูกลมทะเลประทะ
Nike
ศิลปะชิ้นเอก ชิ้นต่อไปที่เราตั้งใจไปดูก็คือผลงานที่ดังที่สุดในโลก Mona Lisa ของ Leonardo Da Vinci ที่เราอยากจะมาเห็นชองจริงสักครั้งในชีวิต แต่ความโด่งดังก็มาพร้อมกับความยากลำบากในการเข้าถึง รูปนี้ก็เหมือนดาราซุปเปอร์สตาร์ที่มีแฟนคลับรายล้อม กว่าเราจะเบียดแทรกเข้าไปได้เล่นเอาหน้ามืด สุดท้ายก็ต้องถ่ายรูปอยู่ไกลๆ ได้มาหนึ่งรูป ชัดที่สุดได้แค่นี้แหละ แต่ก็ถือว่าทำภารกิจสำเร็จ
Mona Lisa
ออกจากความวุ่นวายในลูฟ เรามาเที่ยว Paris ในแบบที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวกันบ้าง เมืองนี้เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยให้เราได้ไปค้นหาอีกมากมาย ทุกคร้งที่เลี้ยวไปยังถนนเส้นใหม่ ก็จะได้ค้นพบสเน่ห์ของเมืองปารีสมากขึ้นๆ
ที่แรกที่เราก็เดินผ่าน เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของปารีส เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า L'Eglise Saint Eustache โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของปารีส โดยมีความโดดเด่นด้วยโครงสร้างที่โอ่อ่าอลังการจนเหมือนกับวิหารมากกว่าโบสถ์ ด้านหน้าโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ Gothic แต่ภายในกลับตกแต่งในสไตล์ Renaissance เสียดายที่เราไม่ได้แวะเข้าไป เนื่องจากความหิว เราเลยถ่ายรูปแค่ด้านนอกของตัวโบสถ์ แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนที่มีร้านอาหารเต็ม 2 ข้างทางอย่าง Rue Montorgueil
เนื่องจากไม่ได้หาข้อมูลมาล่วงหน้า เราจึงตรงดิ่งเข้าไปหาร้านที่ดูน่ากิน และกินง่าย และน่าจะรวดเร็ว (เพราะตอนนี้หิวโหยมาก )อย่างร้านแฮมเบอร์เกอร์ ร้านนี้มีชื่อว่า Bistro Burger Montorgueil ขนาดชื่อร้านยังง่ายๆเลย อ่านปุ๊บรู้เลยว่าขายอะไร
เบอร์เกอร์ชุ่มฉ่ำ อร่อยมาก
จบจากของคาว เราก็พุ่งตรงไปร้านของหวาน ที่เราเล็งไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าร้านเบอร์เกอร์ มันก็คือร้านไอติมเจลาโต้ชื่อดัง Amorino ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ
Credit:
http://www.veroniquenocquet.com
นอกจากรสชาติอร่อยแล้ว จุดเด่นคือเค้าจะตักเจลาโต้เรียงเป็นรูปกุหลาบสวยงาม เหมาะกับการถ่ายรูปสุดๆ
[CR] Honeymoon in France: Ep.9 - Paris: "Je t'aime" หลงรักปารีส 24 ชั่วโมง
- Honeymoon in France: จุดเริ่มต้นของ13 วัน ในฝรั่งเศส - http://ppantip.com/topic/34326406
- Ep.1: Chamonix เมืองขนมหวาน กลางเทือกเขาแอลป์ - http://ppantip.com/topic/34326743
- Ep.2: Annecy "Little Venice" แห่งฝรั่งเศส - http://ppantip.com/topic/34347401
- Ep.3: Avignon สะพานขาดก็มิอาจพรากเราได้ - http://ppantip.com/topic/34382391
- Ep.4: Provence หมู่บ้านบนเนินเขา และเราสองคน - http://ppantip.com/topic/34468041
- Ep.5: Arles ตามรอย วินเซนต์ เเวนโก๊ะ - http://ppantip.com/topic/34493023
- Ep 6: L'isle sur la Sorgue ปิกนิคกลางเมืองกังหันน้ำ - http://ppantip.com/topic/34581875
- Ep 7: Rennes บ้านเอียง เคียงกัน - http://ppantip.com/topic/34643659
- Ep 8: Mont Saint Michel ท่องปราสาท The Lord of the Rings - http://ppantip.com/topic/34760301
- Ep 9: Paris "Je t'aime" หลงรักปารีส 24 ชั่วโมง - http://ppantip.com/topic/34821139
- Ep 10: Loire Valley ขอเป็นเจ้าหญิงในปราสาท 1 วัน - http://ppantip.com/topic/34875863
- Ep 11: Disneyland Paris แอ๊บเด็กไปกับ Mickey & Minnie - http://ppantip.com/topic/34904619
- Ep 12: Montmarte เสน่ห์ของถนนเส้นหลังบ้าน - http://ppantip.com/topic/34933456
ทริปฮันนีมูนในฝรั่งเศสคงจะไม่สมบูรณ์หากขาดการไปเยือนนครปารีส
มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของความโรแมนติก...
เราออกเดินทางจากเมือง Rennes ด้วยรถไฟเที่ยว 11 โมงเช้า และไปถึงสถานี Montpanasses ใน Paris ประมาณ บ่ายโมงครึ่ง จากนั้นจึงต่อรถไฟใต้ดินจากสถานี Montpanasse Bienvenue ไปยัง สถานี Notre Dame de Loirette เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆสถานี โรงแรมที่เราจองผ่านเว็บ Booking.com ไว้ชื่อ Lodge du Centre ราคาคืนละประมาณ 109 ยูโร เราจะพักที่นี่ทั้งหมด 4 คืน โดยเราจะเที่ยวอยู่ในปารีสจริงๆ แค่ประมาณ 2 วันครึ่ง ที่เหลือเราจะออกไปเที่ยวบริเวณใกล้ๆ ปารีสและ Disneyland
โรงแรม Lodge du Centre
Credit picture:http://www.dreamsdestino.com
การเดินทางใน Paris นั้นสะดวกสบาย เนื่องจากมีรถไฟใต้ดินไปถึงสถานที่เที่ยวสำคัญๆทั้งหมด และมี Pass ให้เลือกใช้มากมาย โดยเราสามารถเลือกซื้อตามจำนวนวันที่เราจะใช้ และตามโซนที่เราจะไปเที่ยว
สำหรับทริป Paris ในครั้งนี้ เราเลือกใช้ Pass ที่ชื่อว่า Ticket Mobilis ที่เป็นแบบหนึ่งวัน เราสามารถเลือกตามโซนที่เราจะไป แยกย่อยเป็น 4 แบบด้วยกัน อย่างเช่นถ้าเราเที่ยวแค่ใจกลางเมืองเราก็จะซื้อแบบที่ Zone 1-3 ราคา 9.30 ยูโร แต่ถ้าเราจะไปพระราชวัง Versailles ด้วย เราก็ต้องซื้อแบบ Zone 1-4
สถานที่เที่ยวหลักที่อยู่ใจกลางเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ภายในโซน 1 - 3 ยกตัวอย่างเช่น หอไอเฟล ประตูชัย (Arc de Triomphe), สวน Luxembourg, Louvre Museum, Musee D'orsay, Notre Dame, Sainte-Chapelle, Montmatre, Pont des Art, Pont Neuf
แต่ใครอยากได้ครอบคลุมถึงการเดินทางไปสนามบิน พระราชวังแวซายล์ และ Disneyland จะต้องใช้ โซน 1-5
สำหรับเราที่เที่ยวแค่ในตัวเมืองเท่านั้น เราจึงเลือกซื้อแบบ Zone 1-3
ออกสำรวจเมืองกันเลย !
เนื่องจากวันนี้มีฝนตกเล็กน้อย เราเลยเลือกที่จะเที่ยวพิพิธภัณฑ์ก่อน และเมื่อพูดถึงพิพิธภัณฑ์ในปารีส ที่แรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดเราก็คือ Louvre
ด้วยความที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก การไปเยี่ยมชมที่นี่จึงต้องวางแผนให้ดี ไม่เช่นนั้นคงต้องเสียเวลาต่อคิวกันนานเลยทีเดียว ทางออกของเราคือการหาซื้อ Museum Pass ( http://en.parismuseumpass.com/ )ที่เป็น Pass สำหรับเข้า Museum ได้เกือบทุกแห่งในปารีส และไม่ต้องรอคิวซื้อตั๋วให้เสียเวลา เราเลยขอเรียกบัตรนี้ว่าบัตรเบ่ง
เพียงยกขึ้นมาโบกให้เจ้าหน้าที่ดู ก็เดินเฉิดฉายเข้าไปได้เลย ส่วนราคาของบัตรนี้อยู่ที่ 42 ยูโร โดยจะใช้ได้ 2 วันติดกัน (มีแบบ 4 วัน และ 6 วันด้วย แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามลำดับ)
Credit:http://rorymoulton.com
คำถามคือจะซื้อหรือไม่ซื้อดี ?
เพราะราคาไม่ถูกเลย วิธีคิดคือ ดูว่าจะไปไหนบ้าง แล้วลองเอาค่าเข้าของสถานที่ที่เราจะไปมาบวกกัน ถ้ารวมค่าเข้าทุกที่แล้วแล้วแพงกว่า หรือใกล้เคียงกับราคา Museum Pass เราแนะนำให้ซื้อ ในกรณีของเรา เราใช้บัตรนี้เข้าสถานที่ดังต่อไปนี้
Louvre Museum (12 ยูโร)
L'Arc de Triomphe (9.5 ยูโร)
Musee d'Orsay (9 ยูโร)
Sainte-Chapelle (8.5 ยูโร)
คำนวณค่าเข้าทั้ง 4 ที่ ตกอยู่ที่ประมาณ 39 ยูโร ใกล้เคียงกับค่า Pass มาก เราจึงซื้อ Pass เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาในการต่อคิว
การเดินทางไป พิพิธภัณฑ์ลูฟ เราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปโผล่ด้านใต้ของลูฟได้เลย โดยลงสถานีชื่อ Palais Royal- Musee du Louvre ภายในจะมีร้านค้า และคาเฟ่อยู่ รวมทั้งร้านที่ขาย Museum Pass ด้วย ชื่อว่าร้าน La Civette du Carrousel
เราเดินขึ้นมาข้างบน เพื่อเข้าประตูที่อยู่ตรงปิระมิดแก้ว ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพิพิธภัณฑ์ลูฟ และเป็นจุดถ่ายรูปที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนที่นี่
เข้าไปด้านในจะเป็นบันไดเลื่อนลงไปสู่ใต้ดินอีกครั้ง จุดนี้เปรียบเสมือน Lobby ขนาดใหญ่ที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากทุกสารทิศทั่วโลก จากจุดนี้ก็จะแยกแตกแขนงออกไปตาม Zone ต่างๆ ถ้าจะดูทั้งหมดคงใช้เวลาเป็นวันแน่นอน สำหรับเราที่มีเวลาไม่มาก เราจึงทำการบ้านมาก่อนว่าอยากเห็นอะไรบ้าง จากนั้นหยิบแผนที่แล้วมุ่งตรงไปที่นั่น
อย่างแรกที่เราอยากเห็นคือรูปปั้น Nike เทพีแห่งชัยชนะ ชื่อเต็มๆของรูปปั้นนี้คือ Winged Victory of Samothrace
แต่ระหว่างทางไปดู เราก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมรูปปั้นอื่นๆในนี้ แต่ละชิ้นสวยๆทั้งนั้น
ทึ่งกับการแกะสลักหินให้ดูพลิ้วเหมือนกับผืนผ้า
แต่ที่ถูกใจเราที่สุดคือรูปปั้น เทพเจ้า Selfie องค์นี้นี่เอง
เลยต้องขอเซลฟี่ข้างๆสักหนึ่งรูป เทพองค์นีอาจจะเป็นผู้บุกเบิกเทรนด์เซลฟี่ก็เป็นได้
Apollo Slaying the Python หรือ Selfie Statue
ด้วยความที่ชอบมาก เมื่อกลับมาถึงบ้านเราจึงค้นดูว่าจริงๆแล้วรูปปั้นนี้ชื่ออะไร แต่คำตอบที่ได้รับคือ ฝรั่งก็เรียกรูปนี้ว่า รูปปั้นเทพเจ้าเซลฟี่เหมือนกับเราเลย ค้นอยู่นานสุดท้ายก็เจอผู้รู้มาบอกว่าจริงๆแล้ว รูปปั้นนี้เป็นเทพเจ้า Apollo และชื่อรูปปั้นจริงๆแล้วชื่อว่า Apollo Slaying the Python เพราะถ้าสังเกตดีๆ เทพองค์นี้กำลังฆ่างูเหลือมที่อยู่เขาเหยียบอยู่ใต้เท้า และในมือที่เหมือนกำลังถือมือถือเซลฟี่อยู่นั้น จริงๆน่าจะถือดาบ อยู่ แต่ดาบอาจจะทำจากวัสดุที่ไม่คงทนเท่าหินอ่อน จึงผุพังและสูญหายไปตามกาลเวลา แต่ที่แน่ๆ รูปปั้นรูปนี้ดังใช่ย่อยเลยทีเดียว เพราะท่าโพสเซลฟี่อันสง่างามท่านี้นี่เอง
รูปปั้นอันต่อไป ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ชื่อท่าก้มดูของตัวเอง แล้วกลุ้มใจ (555555) เราตั้งชื่อให้เอง
สุดท้ายก็เดินมาถึงบริเวณที่จัดแสดงรูปปั้น Nike ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนบันได มีแสงธรรมชาติที่ลอกผ่านกระจกด้านบน ส่องกระทบลงบนรูปปั้น
เทพี Nike เป็นเทพีแห่งชัยชนะของกรีก คาดเดากันว่ารูปปั้นนี้ คนปั้นตั้งใจทำให้เหมือนกับเทพีกำลังลอยลงมาจากฟ้า แล้วมาขนาบข้างเรือรบยามออกศึกสงคราม ปีกของรูปปั้นจึงกางออก และผ้าที่พลิ้วเหมือนถูกลมทะเลประทะ
Nike
ศิลปะชิ้นเอก ชิ้นต่อไปที่เราตั้งใจไปดูก็คือผลงานที่ดังที่สุดในโลก Mona Lisa ของ Leonardo Da Vinci ที่เราอยากจะมาเห็นชองจริงสักครั้งในชีวิต แต่ความโด่งดังก็มาพร้อมกับความยากลำบากในการเข้าถึง รูปนี้ก็เหมือนดาราซุปเปอร์สตาร์ที่มีแฟนคลับรายล้อม กว่าเราจะเบียดแทรกเข้าไปได้เล่นเอาหน้ามืด สุดท้ายก็ต้องถ่ายรูปอยู่ไกลๆ ได้มาหนึ่งรูป ชัดที่สุดได้แค่นี้แหละ แต่ก็ถือว่าทำภารกิจสำเร็จ
Mona Lisa
ออกจากความวุ่นวายในลูฟ เรามาเที่ยว Paris ในแบบที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวกันบ้าง เมืองนี้เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยให้เราได้ไปค้นหาอีกมากมาย ทุกคร้งที่เลี้ยวไปยังถนนเส้นใหม่ ก็จะได้ค้นพบสเน่ห์ของเมืองปารีสมากขึ้นๆ
ที่แรกที่เราก็เดินผ่าน เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของปารีส เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า L'Eglise Saint Eustache โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของปารีส โดยมีความโดดเด่นด้วยโครงสร้างที่โอ่อ่าอลังการจนเหมือนกับวิหารมากกว่าโบสถ์ ด้านหน้าโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ Gothic แต่ภายในกลับตกแต่งในสไตล์ Renaissance เสียดายที่เราไม่ได้แวะเข้าไป เนื่องจากความหิว เราเลยถ่ายรูปแค่ด้านนอกของตัวโบสถ์ แล้วมุ่งหน้าไปยังถนนที่มีร้านอาหารเต็ม 2 ข้างทางอย่าง Rue Montorgueil
เนื่องจากไม่ได้หาข้อมูลมาล่วงหน้า เราจึงตรงดิ่งเข้าไปหาร้านที่ดูน่ากิน และกินง่าย และน่าจะรวดเร็ว (เพราะตอนนี้หิวโหยมาก )อย่างร้านแฮมเบอร์เกอร์ ร้านนี้มีชื่อว่า Bistro Burger Montorgueil ขนาดชื่อร้านยังง่ายๆเลย อ่านปุ๊บรู้เลยว่าขายอะไร
เบอร์เกอร์ชุ่มฉ่ำ อร่อยมาก
จบจากของคาว เราก็พุ่งตรงไปร้านของหวาน ที่เราเล็งไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าร้านเบอร์เกอร์ มันก็คือร้านไอติมเจลาโต้ชื่อดัง Amorino ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ
Credit:http://www.veroniquenocquet.com
นอกจากรสชาติอร่อยแล้ว จุดเด่นคือเค้าจะตักเจลาโต้เรียงเป็นรูปกุหลาบสวยงาม เหมาะกับการถ่ายรูปสุดๆ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น