"3 หนังไทย" เรื่องไหนบ้าง??? ที่อยู่ในดวงใจของคุณ ❤️

หลังจากตั้งกระทู้สายอนิเมะไปมากเเล้ว
คราวนี้ ก็จะขอกลับมาที่สายบันเทิงบ้านเกิด
"วงการภาพยนตร์ไทย" บ้างครับ ยิ้ม
< สาสส ก็เมิ่งไปปากเสียจนเป็นกระเเสไว้ไง -__- >

นอกจาก "งานประกาศผลรางวัลออสก้า" ที่จะมาถึงในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้เเล้ว
ในวงการหนังไทยของเราก็จะมี "งานประกาศผลรางวัลสุพรรณหงส์" ด้วยเช่นกัน <ซึ่งมีหนังในดวงใจของผมด้วย ยิ้ม >
.. ซึ่งขอเกริ่นก่อนเลยครับ ว่าในวงการภาพยนตร์ไทยนั้นจะมีกลุ่มคนส่วนใหญ่ๆ มองว่า "เป็นหนังที่ไร้สาระ" หรือ "เป็นหนังที่หลอกเอาเงิน" หรืออะไรตามในรูปแบบที่เเตกต่างกันไป จนมีบางส่วนเริ่มหมดศรัทธาในวงการหนังบ้านเกิดของตัวเองไปเเล้ว ก็มี!!!
.. ดังนั้น กระทู้นี้ อาจเป็นการเตือนหรือสร้างความหวังเล็กๆก็ว่าได้ครับ สำหรับคนที่กำลังเริ่มเเละหมดศรัทธาในวงการหนังไทยของเราเเล้ว
เพราะ ในวงการเรา ก็ยังมี "หนังที่มีคุณภาพ" เหลืออยู่ในเราได้เลือกรับชมได้ครับ เพียงเเต่ว่าหนังเหล่านี้ มักจะโผล่มาน้อยมากๆ <ปีนึงอาจไม่ถึง 3เรื่องด้วยซ้ำ> ซึ่งหากคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้ว ผมคิดว่าคงได้แค่ 5% เท่านั้น <เเละส่วนใหญ่มักเป็นหนังอินดี้ที่เรามองว่าดูยาก>


*** หลังจากนี้เป็นต้นไป: กระทู้นี้จะเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น หากเขียนขัดถูกขัดตาใคร ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ  ยิ้ม ***


อันดับ ๓ : โหมโรง (พ.ศ. ๒๕๔๖)


.. 1ในหนังไทยที่ได้รับส่งชื่อเข้าชิง "รางวัลออสก้าสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมเเห่งปี2004"

เนื้อเรื่อง :  ภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ศร เด็กบ้านนอกที่สามารถตีระนาดเอกได้อย่างชำนาญ จนกระทั่งเมื่อเข้ามาเหยียบเมืองกรุง เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับ ขุนอินทร์ มือระนาดชั้นครู ที่ทุกการบรรเลงคือความหนักเเน่น เเข็งกล้า เเละดุดัน ในเเบบที่ศรไม่เคยพบเจอใคร ที่ตีได้เเบบนี้มาก่อน
เเละเมื่อท่านหลวงได้เลือก ศร ไปประชันกับ ขุนอินทร์ ความสนุกสนานของเรื่องจึงเริ่มบังเกิดขึ้น

ความเจ๋ง : หากคุณคิดว่า นี่คือหนังไทยที่เล่นระนาด&ดนตรีไทย ไปทั้งเรื่องจนชวนหลับเเล้วล่ะก็ "หยุดคิดซะ บัดดล!!" <พระพุทธเจ้าค่ะ5555>  
หนังไทยเรื่องนี้ ไม่เเค่บอกเล่าถึงความเป็นไทยเท่านั้น ยังมีประเด็นของการควบคุมอารมณ์ การเมือง ครอบครัว เเละ จิกกัดวัฒนธรรมไทยเล็กๆ
เเละหากใครคิดว่า ดนตรีไทยมันเชยละก็ หากคุณดูเรื่องนี้จบ คุณอาจจะชอบดนตรีไทยเเละหลงรักมันไปเลยก็ได้ ไม่มากก็น้อย
โดยหนังจะเล่าเป็น2ช่วง ช่วงที่ศรวัยรุ่น เเละช่วงชราของศร ซึ่งก็สนุกทั้ง2ช่วงครับ
ช่วง ๑_ลุ้นไปกับการประชันกันของ ศร เเละ ขุนอินทร์ ที่ระนาดนั้นบรรเลงได้อย่างไพเราะจริงๆครับ <เเต่ในช่วงนั้น ไหงกรูกดดันฟร่ะ 55555>
เเละ ช่วงที่ ๒_ลุ้นไปกับปัญหาทางการเมืองที่มีผลต่อวัฒนธรรมไทย ซึ่งในช่วงนี้ ถือเป็นการจิกกัดสังคมไทยสมัยปัจจุบันเล็กๆครับ เเละที่น่าตกใจคือ
      มันเคยเกิดขึ้นจริงๆในประวัติศาสตร์ชาติไทยเรา!!!

ฉากในตำนาน(สำหรับผม) : ฉากประชันระนาดเอกกันของ ศร เเละ ขุนอินทร์ ในตอนสุดท้าย ที่ทั้งไพเราะเเละดุดัน จนเกิดอารมณ์ลุ้นยังกะดูหนังบู๊

รางวัลต่างๆ :
• รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 14 ประจำปี พ.ศ. 2547
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (อดุลย์ ดุลยรัตน์)
ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม

• รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี ครั้งที่ 27 ประจำปี พ.ศ. 2547
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (อดุลย์ ดุลยรัตน์)
ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
เพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลง'อัศจรรย์')

• รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 13 ประจำปี พ.ศ. 2547
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง)
ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม

• สตาร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์ครั้งที่ 3 ประจำปี พ.ศ. 2547
ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (อดุลย์ ดุลยรัตน์)
ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม


๐ ซึ่งหลังจากรับชมจบไปนั้น ผมเชื่อว่า นอกจากความสนุกเเละความไพเราะของดนตรีไทย ที่คุณจะได้รับกลับไปเเล้ว คุณอาจจะได้รับความรู้สึกที่รักชาติบ้านเกิดไทยเราขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเเน่ๆครับ

รับฟังดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่โหงโรงได้รับมา ได้จากตรงนี้ครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ




อันดับ ๒ : ตั้งวง (พ.ศ. ๒55๖)


เนื้อเรื่อง : ภาพยนตร์ไทยบอกเล่าเรื่องราว ของวัยรุ่น4คน ที่ประสบปัญหานึงในชีวิต จนต้องไปไหว้บนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงศาลพระภูมิเเห่งนึง
เเละเมื่อคำขอที่พวกเขาขอทั้งหมดเกิดเป็นจริงขึ้นมา ทำให้พวกเขาต้องไปเเก้บนศาล ด้วยการรำไทย

ความเจ๋ง : หยุดๆๆๆ หยุดก่อนเลยครับ เห็นโปสเตอร์หนังเเล้วเเละตัวอย่างหนังไปเเล้ว คุณอาจจะคิดว่า นี่เป็นหนังตลก-วัยรุ่นขำขันเฮฮา เเต่อยากให้หันลงไปดูที่ชื่อผู้กำกับด้วยครับ
ใช่ครับ "คงเดช จาตุรันต์รัศมี" ผู้ทั้งเขียนบทเเละกำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งหากใครเคยดูผลงานก่อนหน้านี้ของเขาก็จะรู้ครับว่า "เขาชอบทำหนังอินดี้"
ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งหนังไทยที่หลอกให้คนดูเข้าไปดูในโรง จนบ่นกันเป็นเเทบ เเต่พวกที่บ่นมีเเต่กลุ่มที่ผิดหวังครับ เเต่คนที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยเเล้วเข้าไปดูนั้น จะได้ความจุก&เจ็บกลับมาเเน่นอนครับ
     หากหนังไทยเรื่องที่เเล้ว จิกกัดวัฒนธรรมไทยไป ขอบอกเลยครับ อันนั้นเเค่น้ำจิ้มๆ เพราะหนังเรื่องนี้ จิกกัดทุกอย่างที่ประเทศไทยกำลังเป็นอยู่ เเละส่วนใหญ่ มันไม่ใช่รากเหง้าของบ้านเกิดเลยครับ ที่น่าตกใจคือ หนังมันเล่าตรงมากๆ ตรงจนเกิดตั้งคำถามกับตัวเองนิดนึงว่า "ผ่านการเเบนด์มาได้ไงเนี่ย 5555"
    หนังเรื่องมีความยาวเเค่ 1 ชั่วโมง 22นาทีครับ เเต่กลับยัดประเด็นต่างๆมาให้เราคบคิดได้อย่างมหาศาล จนผมเเทบลืมดูเวลาไปเลยครับ
ต้องบอกเลยครับ ว่า "พี่คงเดชเขียนบทได้เก่งมาก" สามารถผูกเรื่องราวต่างๆมาไว้ในเรื่องๆเดียวได้อย่างไร้ที่ติเเละไม่ออกนอกลู่นอกทางเลยครับ
ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ สามารถให้ได้ทั้งความบันเทิงเเละ สาระมหาศาลให้เราคนดูได้กลับไปคบคิดกันชนิดที่เเทบจะยอมรับคำตอบที่เเท้จริงไม่ได้เลยครับ

ฉากในตำนาน(สำหรับผม) : ฉากบทสรุป 7 นาทีสุดท้ายของหนัง ซึ่งเป็นฉากจบที่ผมกล้ายืนยันเลยครับ ว่าไม่มีหนังไทยเรื่องไหน กล้าจบเเบบนี้เเน่ๆ เพราะมันทั้งเเรง จุกเเละเจ็บ เหมือนโดนพี่คงเดชตบหน้าในย่านชุมชนคนเยอะๆ

รางวัล :

• รางวัลสุพรรณหงส์ครั้งที่ 23 ประจำปี 2556
รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้กำกับยอดเยี่ยม
บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์)
       




อันดับ ๑ : Heart Attack ฟรีเเลนช์ ห้ามป่วย..ห้ามพัก..ห้ามรักหมอ


.. 1 ในหนังไทยที่เข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ที่จะถึงนี้มากที่สุด

เนื้อเรื่อง : ภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้ บอกเล่าเรื่องราวของ ยุ่น มือรีทัชภาพที่ชำนาญที่สุดเเถวหน้าของประเทศไทย ที่ต้องทำงานห่ามรุ่งห่ามค่ำ จนเป็นฟรีเเลนช์ที่มีปฏิทินนัดงานล่วงหน้าเต็ม1เดือน ด้วยการอดหลับอดนอนนี้เอง ทำให้เขาเกิดอาการผิดปกติกับร่างกาย จนต้องไปพบหมอ ซึ่งนั้นเอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตฟรีเเลนช์ของยุ่นต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ความเจ๋ง : ก่อนอื่นต้องสารภาพเลยครับ ว่าตอนนั้นไม่รู้จัก "พี่เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์" ผู้เขียนบทเเละกำกับหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย เเต่เมื่อไปย้อนดูประวัติของเขามา ก็พบว่า เจ๋งๆ ทั้งนั้นเลยครับ ทั้งทำหนังเรื่องเเรก ก็ไปกอบโกยรางวัลมามากมายจากเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ เเละก็ร่วมเขียนบทหนังร้อยล้านเรื่องนึงของ GTH ที่ครั้งนึงมันเคยโด่งดังเอามากๆอย่าง "รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ" รวมถึงยังเขียนบทหนังสุดเข้มข้นของ GTH ที่ผมชอบเอามากๆอย่าง "วัยรุ่นพันล้าน" เเละ ยังกำกับหนังอินดี้ที่มีพล็อตเรื่องสุดเเปลกที่เอาข้อความจริงจากทวีตเตอร์ของคนๆนึง 410 ทวีตมาทำเป็นหนังอย่าง "Mary is Happy, Mary is Happy."
   หนังเรื่องนี้ ค่อนข้างถูกว่าจนกระเเสไปพักใหญ่เลยในพันทิป <อันนี้ต้องโทษการโปรโมตครับ 55555>
   เเต่ถึงอย่างงั้น ก็มีหลายคนที่ชอบหนังเรื่องนี้เอามาก จนถึงขั้นเอ่ยปากชม ว่า "หนังไทยที่ดีที่สุดอีกเรื่องจากGTH" หรือ "กลายเป็นหนังในดวงใจอันด้บต้นๆ" ซึ่งพอผมดูจบไปก็รู้สึกไม่เเปลกใจเลยครับ ที่หนังมันถูกชื่นชมจากนักวิจารณ์หนังไทยหลายสำนัก
เเถมยังได้คะเเนนจาก เว็บ IMDb สูงถึง 8.2/10 ซึ่งถือเป็นหนังไทยที่ได้คะเเนนสูงที่สุดจากเว็บIMDb
       ตัวหนังเล่าเรื่องออกมาได้อย่างเรียบง่ายมากๆ เเต่ก็สัมผัสได้ถึงความอินดี้เล็กๆครับ บทพูดดูเป็นธรรมชาติมากๆ เหมือนไม่ได้ดูหนังอยู่เลยครับ เหมือนกำลังดูชีวิตจริงๆของยุ่น หนังใส่ประเด็นต่างๆเข้ามามากมายให้เราได้คบคิดครับ <ซึ่งจะไม่บอกตรงๆ> ตัวละครยุ่นในเรื่องก็จะไม่เล่าที่มาที่ไปที่เเน่ชัดครับ เเต่จะบอกผ่านความรู้สึกหรือสิ่งต่างๆรอบตัวเขาให้เราได้ไปตีความเอาเอง ว่า เขาเป็นคนยังไง เเบบไหน กันเเน่ ซึ่งส่วนนี้ก็ขอชื่นชม "ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์" ที่สามารถพาหนังไปได้ตลอดทางเลยครับ เพราะ ตลอดเรื่องพี่ซันนี่ เล่น 90%ของหนังเลยครับ
ส่วนด้าน  "ดาวิกา โฮร์เน่" ก็เเสดงออกมาได้มีเสน่ห์มากๆ ดูเป็นหมอที่น่ารัก เเละน่าเชื่อฟังที่สู๊ดดดด ทำเอาตอนดูหนัง เราก็รอไปเจอหมอพร้อมยุ่นเหมือนกัน  <อยากเป็นคนไข้ของหมอรายนี้จุง ยิ้ม > ที่ตกใจอีกอย่างนึง คือ มันอินดี้ก็จริง เเต่ดูง่ายมากครับ

    ส่วนด้านการดำเนินเรื่อง อันนี้พีคมากครับ หนังมันพาเราจากระดับปกติ เเล้วค่อยๆใส่อารมณ์ร่วมเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุด เราก็เผลอตามติดชีวิตยุ่นไปเเล้ว อีกทั้งยังมีการใส่อารมณ์ขันเล็กๆ เเละความโรเเมนติกเเบบเป็นกลิ่นอายพอให้เราได้เขินตามยุ่น เเต่ถึงกระนั้น หนังกลับให้ข้อคิดเเบบเป็นนัยน์ยะได้อย่างมหาศาล ทั้งประเด็นการทำงาน ประเด็นของคนสมัยนี้ การหาความหมายของชีวิต การเลือกที่ต้องเเลก ซึ่งเราสามารถเอามาตีความ เเละ ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของเรา <หนังยาวนะ ตั้ง2ชั่วโมง เเต่กลับรู้สึกว่ามันจบเร็วจัง>

ฉากในตำนาน(สำหรับผม) : ฉาก Beyond the fall ที่ยุ่นล้มตัวไปคบคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ ตรงนี้พีคที่สุดของเรื่องเลยครับ

รางวัล : <รอเข้าชิงอยู่>


... หมดกันไปแล้วล่ะครับ สำหรับหนัง3เรื่องในดวงใจของผม ใครมีเรื่องอะไรบ้าง ก็มาเเชร์กันเลยครับ
สำหรับคนที่หมดหวังไป กับหนังไทย กระทู้ก็อย่างจะให้ท่านคิดใหม่ เพราะหนังไทยมันก็ไม่ได้เเย่ไปซะทั้งหมดหรอกครับ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่