มนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างไรในเมื่อสันดานสุดโต่งสองอย่างอยู่ในตัวของมนุษย์แทบทุกคน?
เนื้อเรื่องหลักของตอนนี้กล่าวถึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การที่เอฟบีไอไฟแรงสองคนเข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับคดีประหลาดคดีหนึ่ง ได้แก่ เจ้าหน้าที่มิลเลอร์ผู้ก็อปปี้มัลเดอร์สมัยหนุ่มๆมาทุกกระเบียด และเจ้าหน้าที่ไอน์สไตน์ญาติห่างๆของลุงอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์อัจฉริยะของโลกผู้ล่วงลับ ผู้ที่มีดีกรีแพทย์และมีความมั่นใจค่อนข้างสูง มองโลกอย่างเป็น Mechanic ที่เชื่อว่าการดำเนินไปของสิ่งต่างๆขึ้นอยู่กับปัจจัยข้างนอก การดำเนินไปของสรรพสิ่งไม่มีจุดหมายหรือเจตจำนง แต่เป็นไปเหมือนเฟืองที่เกี่ยวร้อยกัน อันแรกหมุน...อันสุดท้ายก็หมุน
ไอน์สไตน์กับมิลเลอร์มาทำคดีก่อการร้ายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ที่ใครๆคิดว่าการที่พวกเขาอพยพมาประเทศเสรีอย่างสหรัฐอเมริกา เป็นไปเพื่อยึดครองและแก้แค้น ทำไมอเมริกันชนต้องจ่ายภาษีให้พวกเขาทั้งๆที่เขาเกลียดเราพอๆกับที่เราเกลียดเขา? แต่สกัลลี่พูดขึ้นว่า มุสลิมไม่ได้หัวรุนแรงกันหมดทุกคน....ทำไมพวกคุณต้องเหมารวมด้วย?
มิลเลอร์และสกัลลี่พยายามใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อถามคำถามกับผู้ร้ายที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดพลีชีพในสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ ด้วยการพูดคุยและสังเกตความเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองซึ่งวัดด้วยเครื่อง MRI โดยการถามคำถามง่ายๆให้ผู้ที่ถูกถามตอบแค่ "ใช่" หรือ "ไม่"
ในขณะที่มัลเดอร์พยายามตีทิฐิ (อีโก้) ของเอฟบีไอสาวนามว่าไอน์สไตน์ให้ลดทอนลง โดยการถามคำถามแค่ว่า "คุณคิดว่าคำพูด/ความคิดคนเรามันมีน้ำหนักไหม?" แรกสุดไอน์สไตน์ปฏิเสธมัลเดอร์ทุกเรื่อง แต่สุดท้ายก็ตกหลุมที่ขุดโดยคำพูดของมัลเดอร์ในการไปหาสารสกัดจากเห็ดเมาในรูปแคปซูลมาให้มัลเดอร์ใช้ เพื่อที่จะให้เขาได้คุยกับผู้ร้ายที่อยู่ในอาการโคม่าได้ หลังจากที่มัลเดอร์ใช้ยาเกินขนาดจนเกิดภาพหลอนขึ้นในหัว (ซึ่งตัวเขาเองก็ไปเต้นหลุดโลกตามภาพหลอนนั้น) เขาก็ได้เจอคนร้ายที่อยู่ในสภาพทุพพลภาพและโคม่าในอ้อมแขนหญิงชราคนหนึ่ง (ในเรื่องจะเฉลยตอนท้ายว่าหญิงคนนี้คือแม่ของเขา)
เมื่อแม่ของคนร้ายได้พูดกับลูกชาย เขาก็ได้จากไป.... แม่ของเขาใจสลายและย้ำคำพูดในทำนองที่ว่า "แม่ไม่เคยสอนให้ลูกฆ่าคน พระเจ้าก็ไม่ประสงค์เช่นนั้น"
ส่วนมัลเดอร์ก็ระลึกถึงความฝันกึ่งภาพหลอนที่เกิดขึ้นว่าคนร้ายพูดอะไรกับเขา นำไปสู่การบุกทลายแหล่งซ่องสุมกำลังของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในตอนท้าย
ประเด็นที่เล่นในตอนนี้หลักๆคือประเด็นของศาสนาและจริยธรรมล้วนๆ (ปรัชญาทั้งเรื่อง) ทิ้งปริศนาไว้ให้ขบคิดต่อยอดไปได้อีก ซึ่งอิงกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ที่ถูกยกให้เป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างศาสนา
ทำไมเรามักคิดกันว่ามุสลิมหัวรุนแรงที่ก่อการร้าย คือตัวแทนของ "ความเป็นมุสลิม" ทั้งหมด?
ทำไมความเกลียดชัง ถึงบ่มเพาะให้คนเกลียดคนที่ไม่รู้จักจนอยากที่จะฆ่าเขา?
และในขณะที่ความเกลียดชังมีอยู่ในตัวมนุษย์ ทำไมมนุษย์ถึงยังคงมีความรักความเมตตา?
ฯลฯ
มนุษย์....
มนุษย์มีทั้งความเกลียดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขภายในตัวของคนๆเดียวกันได้ แล้วเราจะทำอย่างไรให้อยู่กับความรู้สึกนี้ได้? นี้อาจจะเป็นคำถามแห่งยุคที่สะท้อนอยู่ในสังคมโลกปัจจุบัน เราเกลียดคนที่ไม่รู้จักจนอยากให้เขาตายเชียวหรือ เราไม่มีเมตตาธรรมเมื่อเห็นใบหน้าอันบริสุทธิ์ของคนที่เราจะหยิบยื่นความตายให้กับเขาถึงขนาดนั้นเลยหรือ
หรือนี่คือความอหังการของมนุษย์ที่ทัดเทียมพระเจ้า..... ความอหังการในการที่จะหยิบยื่นคำพิพากษาให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งๆที่มันควรเป็นสิทธิของพระเจ้า?!!
หรือความอหังการนี้เองที่ทำให้พระเจ้าพิโรธจนส่งสายฟ้ามาฟาดโค่นหอคอยบาบิโลนไปเสียสิ้น แล้วสาปให้มนุษย์พูดกันคนละภาษา ในเมื่อสื่อสารไม่เข้าใจ มนุษย์คงไม่พูดกันก็อาจลดความขัดแย้งไปได้
หรือในความเป็นจริงแล้ว..... หอคอยบาบิโลน คือความเป็น "ตัวกู" ที่มนุษย์สร้างขึ้นจนสูงทัดเทียมเมฆ "ตัวกู" มันสูงเสียจนนึกไปว่าเราคือมนุษย์ที่ยืนอยู่สูงกว่าเพื่อนมนุษย์คืนอื่นๆ และตัดสินคนอื่นๆได้ทั้งๆที่มนุษย์แต่ละคนย่อมมีเสรีภาพในการเลือกให้กับตัวเอง
มนุษย์มีเสรีภาพในการเลือก ก็ย่อมต้องรับผลที่ตามมาโดยดุษณี
หากมนุษย์คิดว่าตนมีเสรีในการที่จะก้าวก่ายสิทธิผู้อื่น มนุษย์ต้องยอมรับว่าผู้อื่นก็ย่อมมีเสรีในการทวงสิทธิ์ของตนเช่นกัน
เมื่อความเกลียดชังเกิดขึ้น สงครามย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าสงครามนั้นจะยกระดับในการหากำลังพลเสริมด้วยการเรียกว่า "สงครามศาสนา" ก็ตามที!!
พระเจ้า....
พระเจ้าในทัศนคติของเทวนิยม คือ ผู้ที่สรรสร้างสรรพสิ่ง พระองค์ทรงมีเมตตาและคอยดูแลสรรพสิ่ง รวมทั้งเป็นผู้คงไว้ซึ่งคุณธรรม ผู้ที่จะตัดสินมนุษย์มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น (แม้ในทัศนะของปรัชญากรีก พระเจ้าเป็นเพียงผู้สร้างก็ตาม ซึ่งเป็นการยืนยันแนวคิดเทวนิยม) และพระเจ้าองค์เดียวกันนี้เองที่ประทานความพิโรธในอหังการ์ของมนุษย์ จนทำให้มนุษย์พูดภาษาที่ต่างกัน มีชีวิตอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกต่อไป
แม้เหตุการณ์หอคอยแห่งบาบิโลนได้สิ้นไป แต่สิ่งที่หลงเหลือไว้ คือ "ความไม่เข้าใจ" กันท่ามกลางสังคมของสัตว์โลกที่ชื่อว่า "มนุษย์"
อาจเป็นเพราะเราเห็นต่าง เราจึงไม่เข้าใจกัน
อาจเป็นเพราะเราพูดกันคนละภาษา เราจึงไม่เข้าใจกัน
อาจเป็นเพราะเราอยู่กันคนละสภาพแวดล้อม เราจึงไม่เข้าใจกัน
ฯลฯ
ที่สุดแล้วไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม มนุษย์ไม่ได้เหมือนกันหมดในทุกอย่าง
หากต้องการให้โลกปราศจากความเกลียดชังและการทะเลาะวิวาท เราคงต้องย้อนกลับไปพูดภาษาเดียวกันให้ได้ก่อน เพราะภาษาคือสื่อกลางของสังคมนั้นๆ
มันเป็นไปไม่ได้
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า ภาษาอะไรที่จะเป็นภาษากลางอย่างแท้จริง ถ้าอุปโลกมาภาษาหนึ่งภาษาใด ก็ย่อมต้องมีคนคัดค้านและจบลงด้วยการทะเลาะวิวาท
ภาษาเดียวที่มนุษย์จะสามารถสื่อสารกันได้ นั่นคือ "ภาษาใจ"
หากเราเปิดใจที่จะยอมรับในความแตกต่าง เราจะเห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ที่สังคมมนุษย์จะไม่มีความขัดแย้ง เพราะความขัดแย้งคือบ่อเกิดในของความก้าวหน้า เรามาอยู่ที่นี้เพื่อถกเถียงนำเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหา หากไม่มีการถกเถียง จะรู้ได้อย่างไรว่าแนวคิดใดเป็นแนวคิดที่ใช้การได้เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์นั้นๆ
สังคมที่ไม่มีความขัดแย้งทางความคิด ย่อมเป็นสังคมที่หยุดนิ่งและดำเนินไปอย่างไร้จุดหมาย
แต่ความขัดแย้งทางความคิด ก็มิได้หมายความว่าจะต้องใช้กำลังหรือทำการใดๆเพื่อที่จะห้ำหั่นให้คนคิดต่างตายตกไปตามๆกัน.....
แล้วเราจะอยู่กันไม่ได้เชียวหรือกับผู้ที่มีความคิดที่ไม่ตรงกับทัศนคติของเรา?
อีกด้านหนึ่งของมนุษย์คือความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข แล้วทำไมเราไม่แบ่งความรักตรงส่วนนี้มาเพื่อเป็นความเมตตาและเห็นอกเห็นใจหยิบยื่นให้กับผู้อื่นกันบ้าง?
จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องหยิบยื่นความตายให้กับเขาเพียงเพราะเราเห็นต่างกัน?????
***ส่วนตัวประทับใจแนวคิดของตอนนี้มากๆนะ แม้ว่าจะเคืองนิดๆในตอนแรกที่มัลเดอร์กับสกัลลี่ไม่ได้สืบคดีร่วมกัน 5555555+ แต่ประเด็นเคืองๆตรงนี้ก็ตกไปเพราะแนวคิดของตอนนี้นี่แหละ ให้ดูอีกจนตาแฉะก็เอา ชอบมากเลย
The X-Files: Babylon - มนุษย์จะอยู่กับสันดานในตัวมนุษย์ได้อย่างไร
มนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างไรในเมื่อสันดานสุดโต่งสองอย่างอยู่ในตัวของมนุษย์แทบทุกคน?
เนื้อเรื่องหลักของตอนนี้กล่าวถึง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประเด็นที่เล่นในตอนนี้หลักๆคือประเด็นของศาสนาและจริยธรรมล้วนๆ (ปรัชญาทั้งเรื่อง) ทิ้งปริศนาไว้ให้ขบคิดต่อยอดไปได้อีก ซึ่งอิงกับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ที่ถูกยกให้เป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างศาสนา
ทำไมเรามักคิดกันว่ามุสลิมหัวรุนแรงที่ก่อการร้าย คือตัวแทนของ "ความเป็นมุสลิม" ทั้งหมด?
ทำไมความเกลียดชัง ถึงบ่มเพาะให้คนเกลียดคนที่ไม่รู้จักจนอยากที่จะฆ่าเขา?
และในขณะที่ความเกลียดชังมีอยู่ในตัวมนุษย์ ทำไมมนุษย์ถึงยังคงมีความรักความเมตตา?
ฯลฯ
มนุษย์....
มนุษย์มีทั้งความเกลียดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขภายในตัวของคนๆเดียวกันได้ แล้วเราจะทำอย่างไรให้อยู่กับความรู้สึกนี้ได้? นี้อาจจะเป็นคำถามแห่งยุคที่สะท้อนอยู่ในสังคมโลกปัจจุบัน เราเกลียดคนที่ไม่รู้จักจนอยากให้เขาตายเชียวหรือ เราไม่มีเมตตาธรรมเมื่อเห็นใบหน้าอันบริสุทธิ์ของคนที่เราจะหยิบยื่นความตายให้กับเขาถึงขนาดนั้นเลยหรือ
หรือนี่คือความอหังการของมนุษย์ที่ทัดเทียมพระเจ้า..... ความอหังการในการที่จะหยิบยื่นคำพิพากษาให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งๆที่มันควรเป็นสิทธิของพระเจ้า?!!
หรือความอหังการนี้เองที่ทำให้พระเจ้าพิโรธจนส่งสายฟ้ามาฟาดโค่นหอคอยบาบิโลนไปเสียสิ้น แล้วสาปให้มนุษย์พูดกันคนละภาษา ในเมื่อสื่อสารไม่เข้าใจ มนุษย์คงไม่พูดกันก็อาจลดความขัดแย้งไปได้
หรือในความเป็นจริงแล้ว..... หอคอยบาบิโลน คือความเป็น "ตัวกู" ที่มนุษย์สร้างขึ้นจนสูงทัดเทียมเมฆ "ตัวกู" มันสูงเสียจนนึกไปว่าเราคือมนุษย์ที่ยืนอยู่สูงกว่าเพื่อนมนุษย์คืนอื่นๆ และตัดสินคนอื่นๆได้ทั้งๆที่มนุษย์แต่ละคนย่อมมีเสรีภาพในการเลือกให้กับตัวเอง
มนุษย์มีเสรีภาพในการเลือก ก็ย่อมต้องรับผลที่ตามมาโดยดุษณี
หากมนุษย์คิดว่าตนมีเสรีในการที่จะก้าวก่ายสิทธิผู้อื่น มนุษย์ต้องยอมรับว่าผู้อื่นก็ย่อมมีเสรีในการทวงสิทธิ์ของตนเช่นกัน
เมื่อความเกลียดชังเกิดขึ้น สงครามย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าสงครามนั้นจะยกระดับในการหากำลังพลเสริมด้วยการเรียกว่า "สงครามศาสนา" ก็ตามที!!
พระเจ้า....
พระเจ้าในทัศนคติของเทวนิยม คือ ผู้ที่สรรสร้างสรรพสิ่ง พระองค์ทรงมีเมตตาและคอยดูแลสรรพสิ่ง รวมทั้งเป็นผู้คงไว้ซึ่งคุณธรรม ผู้ที่จะตัดสินมนุษย์มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น (แม้ในทัศนะของปรัชญากรีก พระเจ้าเป็นเพียงผู้สร้างก็ตาม ซึ่งเป็นการยืนยันแนวคิดเทวนิยม) และพระเจ้าองค์เดียวกันนี้เองที่ประทานความพิโรธในอหังการ์ของมนุษย์ จนทำให้มนุษย์พูดภาษาที่ต่างกัน มีชีวิตอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกต่อไป
แม้เหตุการณ์หอคอยแห่งบาบิโลนได้สิ้นไป แต่สิ่งที่หลงเหลือไว้ คือ "ความไม่เข้าใจ" กันท่ามกลางสังคมของสัตว์โลกที่ชื่อว่า "มนุษย์"
อาจเป็นเพราะเราเห็นต่าง เราจึงไม่เข้าใจกัน
อาจเป็นเพราะเราพูดกันคนละภาษา เราจึงไม่เข้าใจกัน
อาจเป็นเพราะเราอยู่กันคนละสภาพแวดล้อม เราจึงไม่เข้าใจกัน
ฯลฯ
ที่สุดแล้วไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม มนุษย์ไม่ได้เหมือนกันหมดในทุกอย่าง
หากต้องการให้โลกปราศจากความเกลียดชังและการทะเลาะวิวาท เราคงต้องย้อนกลับไปพูดภาษาเดียวกันให้ได้ก่อน เพราะภาษาคือสื่อกลางของสังคมนั้นๆ
มันเป็นไปไม่ได้
เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า ภาษาอะไรที่จะเป็นภาษากลางอย่างแท้จริง ถ้าอุปโลกมาภาษาหนึ่งภาษาใด ก็ย่อมต้องมีคนคัดค้านและจบลงด้วยการทะเลาะวิวาท
ภาษาเดียวที่มนุษย์จะสามารถสื่อสารกันได้ นั่นคือ "ภาษาใจ"
หากเราเปิดใจที่จะยอมรับในความแตกต่าง เราจะเห็นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ที่สังคมมนุษย์จะไม่มีความขัดแย้ง เพราะความขัดแย้งคือบ่อเกิดในของความก้าวหน้า เรามาอยู่ที่นี้เพื่อถกเถียงนำเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหา หากไม่มีการถกเถียง จะรู้ได้อย่างไรว่าแนวคิดใดเป็นแนวคิดที่ใช้การได้เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์นั้นๆ
สังคมที่ไม่มีความขัดแย้งทางความคิด ย่อมเป็นสังคมที่หยุดนิ่งและดำเนินไปอย่างไร้จุดหมาย
แต่ความขัดแย้งทางความคิด ก็มิได้หมายความว่าจะต้องใช้กำลังหรือทำการใดๆเพื่อที่จะห้ำหั่นให้คนคิดต่างตายตกไปตามๆกัน.....
แล้วเราจะอยู่กันไม่ได้เชียวหรือกับผู้ที่มีความคิดที่ไม่ตรงกับทัศนคติของเรา?
อีกด้านหนึ่งของมนุษย์คือความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข แล้วทำไมเราไม่แบ่งความรักตรงส่วนนี้มาเพื่อเป็นความเมตตาและเห็นอกเห็นใจหยิบยื่นให้กับผู้อื่นกันบ้าง?
จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องหยิบยื่นความตายให้กับเขาเพียงเพราะเราเห็นต่างกัน?????
***ส่วนตัวประทับใจแนวคิดของตอนนี้มากๆนะ แม้ว่าจะเคืองนิดๆในตอนแรกที่มัลเดอร์กับสกัลลี่ไม่ได้สืบคดีร่วมกัน 5555555+ แต่ประเด็นเคืองๆตรงนี้ก็ตกไปเพราะแนวคิดของตอนนี้นี่แหละ ให้ดูอีกจนตาแฉะก็เอา ชอบมากเลย