FB :
https://www.facebook.com/snowmanz.photo
การเดินทางของผมในครั้งนี้ใช้ชื่อว่า หลงทาง (Lhong thang)
ผมก็เหมือนกับใครหลายคน ที่หมกมุ่นกับการทำงานจนไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเอง การเดินทางของผมในครั้งนี้อาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ สำหรับใครหลายคน แต่มันคือการเดินทาง เพื่อออกไปหาแรงบันดาลใจในการทำงานของตัวเอง ผมคิดว่ามันน่าจะช่วยให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น และอาจทำให้ผมได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เชิญทัศนา
นี่คืออุปกรณ์ที่ผมเตรียมไป เพื่อช่วยให้ผมเก็บภาพและเรื่องราวต่างๆ กลับมาให้ได้มากที่สุด อ่อ!ลืมบอกไปนิดครับผมทำงานเป็นช่างภาพอิสระ การหาแรงบันดาลใจของผมคงหนีไม่พ้นการถ่ายภาพ เพราะฉะนั้นความต้องการที่จะได้ภาพของผม จึงมีมากเป็นพิเศษและอุปกรณ์ที่เตรียมไปผมก็คำนึงถึงโอกาสที่จะใช้ และความคล่องตัว
จุดหมายปลายทางของผมคือ บ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 9.00 น กับน้องดอกสะโหน(สองล้อคู่ใจ) ใช้เส้นทางถนนราชพฤกษ์-สายเอเชีย-ทางหลวงหมายเลข11 ความเร็วที่ใช้ตลอดเส้นทางอยู่ที่ประมาณ 100-120กม./ชั่วโมง คำนวนจากระยะทางและความเร็วที่ใช้ในการเดินทาง ผมน่าจะถึงปลายทางเวลาประมาณบ่าย3โมง (รวมจอดพักและจอดถ่ายรูประหว่างทางแล้ว) "เพราะช่วงไฮไลท์ของที่นั่น อยู่เวลาประมาณ5-6โมงเย็น จะมีฝูงค้างคาวนับหมื่นตัวบินเรียงแถวกันออกหากิน" Go!!!
อุปสรรคในการถ่ายภาพของผมคือ การหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายในแต่ละครั้งนี้แหล่ะครับ บางจังหว่ะเราเห็นแสงเห็นมุมสวยๆ แต่ก็ไม่สามารถจอดรถถ่ายได้ ทำได้แค่บันทึกมันด้วยสายตา
แต่ก็พยายามจอดถ่ายภาพในที่ๆ จอดได้นะ
เส้นทางที่ผมขับผ่าน ผมก็ทำการบ้านเรื่องมุมถ่ายภาพมาพอสมควร ในระหว่างทางถนนหมายเลข11 ทุ่งดอกทานตะวันที่บานสะพรั่งดูแล้วน่าตื่นตา ( รูปบน Facebook ) ผมก็พยายามสังเกตุสองข้างทางที่ผมผ่าน...........
…......นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชม! สิ่งที่ผมคิดกับความเป็นจริง
"การถ่ายภาพต่อให้เราเตรียมตัวไปดีแค่ไหน แต่ถ้าดวงไม่ดีก็....ยืนยิ้มครับ ^_____^ "
จากทุ่งดอกทานตะวัน ผมขับไปตามทางหลวงหมายเลข11 ถนนเส้นนี้มีรถสิบล้อวิ่งอยู่เป็นระยะๆ จึงต้องระมัดระวังในการขับเป็นพิเศษ (ขับมาเร็วๆ สวนทางกันทีตัวแทบปลิว) และช่วงที่ผ่านบ้านเขาทราย ตรงจุดนี้รถทำความเร็วได้ไม่มาก เพราะมีการซ่อมพื้นถนน ขับค่อนข้างลำบากมีเศษหินและฝุ่นเยอะมาก
และ!สิ่งที่ผมคิดไว้มันก็เกิด..........
.....นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชมยางแหก!!!! เอ้ย ยางแหวก!!! เอ้ย ยางแตก!!! เอ้ย ถูกแล้ว!(ห้าบาทสิบบาทยังเล่น) งานมาแล้วหล่ะครับ ณ ตอนนี้ผมเริ่มไม่สนุกแล้ว ผมคิดในใจว่า "เรามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย"
แต่……....ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง จากจุดที่รถยางแตกไม่ไกล มีร้านปะยางอยู่ (สวรรค์ยังเมตตา) จึงเดินไปขอความช่วยเหลือจากพี่เจ้าของร้าน
ใครจะเชื่อหล่ะแค่เศษหินก้อนเล็กๆ เกือบทำเกมส์เปลี่ยนแล้ว
ผมเสียเวลากับการปะยางไปพอสมควร จากบ้านเขาทราย ผมต้องเปิดคันเร่งทำความเร็ว เพื่อรีบไปให้ถึงจุดหมายก่อนช่วงเวลา5โมงเย็น ขับตามทางถนนหมายเลข11 มาเรื่อยๆและเลี้ยวขวาเข้า ถนนหมายเลข1115
ขับตรงตามทางเข้ามาไม่ไกลนัก ก็มาเจอจุดที่ทำให้ผมถึงกลับเบรคแทบไม่ทัน เพราะทางด้านขวามือเป็นจุดที่มีวิวที่สวยและแปลกตา ผมรีบกลับรถทันทีและไม่รีรอที่จะหยิบกล้องขึ้นกดชัตเตอร์
ตรงจุดที่ผมยืนถ่ายมีชื่อว่า เหมืองทองคำชาตรี ตำแหน่งที่ผมยืนคนทั่วไปสามารถยืนถ่ายได้ ไม่ต้องขออนุญาติใคร เพราะติดกับถนนที่ใช้สัญจรไปมา บอกได้คำเดียวว่า เพลินมาก ถ่ายแบบไม่กลัวการ์ดเต็มเลย
เพลินมาก!!
จากจุดที่เห็นวิวเหมืองผมจอดรถและเดินมาไม่ไกล ก็จะเจอกับถนนที่เป็นเหมือนสะพานเล็กๆ มีรั้วเหล็กกั้นตรงราวสะพาน เพื่อใช้ข้ามถนนที่อยู่ในเหมืองอีกที ตรงจุดนี้เราก็สามารถยืนถ่ายภาพรถบรรทุกที่กำลังวิ่งอยู่ในเหมืองด้วยมุมสูงได้เลย
ระหว่างนั้นผมก็ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่ทำงานที่เหมือง ได้ความรู้ใหม่มาว่า (ถ้าผมจำไม่ผิด) "ดินที่มีแร่ทอง 1ตัน นำมาสกัดทองคำได้ 7กรัม" (แก้ไขตัวเลขเป็น 0.7กรัม) (ผมนี่อ้อออออออออเลยครับ) ทองคำ 1บาท หนักประมาณ 15กรัม เพราะฉะนั้นทองที่เราใส่ 1บาท ต้องใช้ดินประมาณ.....................ไปคิดกันเอาเอง 555555
*(ตอนแรกเข้าใจว่า 1ตัน=7กรัม มีพี่ใจดีในนี้ให้ข้อมูลมาว่ามันแค่ 0.7กรัม ขอบคุณสำหรับข้อมูลตัวเลขที่ถูกต้องครับ)
"ความรู้พวกนี้ มันทำให้ภาพที่ผมถ่ายมารู้สึกมีน้ำหนัก"
ผมใช้เวลาถ่ายตรงนี้อยู่พักใหญ่ เพราะคิดว่าจากตรงนี้คงอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มานั่งเล่นและเช็คเส้นทาง
.................เดี๋ยวนะ! ฮะ! ไม่จริงใช่มั้ย!!!!
ถนนเส้นที่ผมเลี้ยวขวาเข้ามามันไม่ใช่ ถนนหมายเลข1115 ตามที่ผมเข้าใจ แต่มันคือถนนหมายเลข1301 ผะ ผะ ผะ ผมหลงทาง!!!!!!
จากจุดที่ผมอยู่ต้องขับต่อไปอีกห้าสิบกว่าโลกจึงจะถึงจุดหมาย ประเมินจากระยะทางและช่วงเวลาแล้ว น่าจะไปไม่ทันเวลาไฮไลท์ที่เนินมะปราง ผมจึงตัดสิ้นใจหาที่ซุกหัวนอนแถวนี้สักคืน
ผมขับตามทางถนนหมายเลข1301 เข้ามาเพื่อหาที่พัก ไม่ไกลนักก็เจอกับหมู่บ้านหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ (ทราบชื่อในเวลาต่อมาว่าชื่อหมู่บ้านวังชะนาง) เสียงท่อรถของผมดึงดูดสายตาผู้คนในหมู่บ้านไม่น้อย ราวกับว่าผมเป็นตัวประหลาด T^T. ผมจึงจอดรถและใช้วิธีเดินเข้าไปสอบถามข้อมูลที่พัก เพื่อสร้างไมตรี ดีกว่าขับรถท่อดังดุ่มๆเข้าไปโดยตรง
จากการสอบถามได้คำตอบคือในหมู่บ้านนี้ไม่มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่มีแม้แต่โฮมสเตย์ (ผมเริ่มกังวล)
......แต่สักพักก็มีชาวบ้านเดินมาบอกว่า "ยังพอมีที่พัก เป็นบ้านของชาวบ้านที่ใช้รองรับแขก ที่เดินทางมาที่นี่" ผมรีบตอบตกลงและให้เค้านำทางไปยังบ้านหลังดังกล่าว
เจ้าของบ้านหลังนี้มีชื่อว่าคุณแม่บังเอิญ คุณแม่บังเอิญเป็นคนยิ้มแย้มคุยเก่ง ทั้งที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่การต้อนรับที่ได้กลับมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง^^
นอนที่นี่สักคืน
บรรยากาศรอบตัวบ้านก็ยังคงความเป็นชนบท คุณแม่เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะทำนา ทำไร่และเลี้ยงสัตว์ แทบทุกบ้านจะปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง คุณแม่ยังคุยให้ฟังอีกว่าหมู่บ้านนี้ยังได้รับรางวัล หมู่บ้านเศษรฐกิจพอเพียงอีกด้วย^^
ผมนั่งคุยกับคุณแม่และญาติๆอยู่พักใหญ่ จึงขอตัวไปนอน เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวัน zZzZ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!!! "ตื่นได้แล้วลูก ตื่นมาใส่บาตร" เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกให้ผมลุกขึ้นจากที่นอน ช่วงเช้ามืดอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น ไม่เหมาะกับการตื่นมาใส่บาตรซะเลย (ผมคิดในใจ555)
คุณแม่เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่แทบทุกบ้าน จะตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารและยืนรอ พระภิกษุที่จะเดินมารับบาตรทุกเช้า ผมเองก็ไม่พลาดที่จะหยิบกล้องติดมือไปเก็บภาพบรรยากาศช่วงเช้า
พอใส่บาตเสร็จผมก็ขอตัวจากคุณแม่ เพื่อเดินไปเก็บภาพบรรยากาศวิถีชีวิตของคนในชุมชน
ภาพนี้คือคุณแม่และพี่สาวกำลังก้มเก็บผักหน้าบ้าน เพื่อนำไปทำกับข้าวให้ผมกิน ^______^
นี่แหล่ะครับภาพวิถีชีวิต ที่เราเองรู้สึกได้ว่า มันคือสิ่งที่ไม่เคยมีในชีวิตคนเมือง
บรรยากาศช่วงเช้าเงียบสงบกว่าช่วงเย็นวันก่อนที่ผมเพิ่งมา เสียงลมพัดและเสียงนกร้องของที่นี่ ดังจนผมได้ยินชัดเจน เด็กๆเตรียมตัวไปโรงเรียน บ้างก็มีรถโรงเรียนมารับ บ้างก็มีผู้ปกครองไปส่ง ร้านค้าเริ่มทยอยกันตั้งร้าน ผู้คนเริ่มทยอยกันออกไปทำหน้าที่ๆตัวเองมี สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เริ่มพากันออกหากิน
พอยกกล้องขึ้นถ่าย น้องๆ ก็ชูมือให้ทันที เอ้า 123!!!
หลังจากเดินถ่ายภาพอยู่พักใหญ่ผมก็กลับมาทานข้าวที่บ้านและเตรียมตัวเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมาย และแน่นอนผมไม่ลืมที่จะถ่ายภาพแม่บังเอิญเจ้าของบ้านที่แสนใจดี ไว้เป็นที่ระลึกและผมสัญญา จะหาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนท่านอีกในไม่ช้า
มีคนกล่าวว่า
"หากเราก้าวออกจากจุดที่เรายืน เราจะเจอเรื่องราวใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอ"
"หากเราเดินหลงทาง เราจะได้รู้จักกับเส้นทางใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไป"
และเส้นทางนี้คือที่ๆผม"หลงทาง"หากใครติดตามมาถึงตรงนี้ ก็จะพอเข้าใจในความหมายของคำว่า หลงทาง ในแบบของผม.........มันหมายถึง "หลง(รักเส้น)ทาง" และตัวผมเองต้องหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกสักครั้ง "มาในที่ๆผมไม่เคยคิดจะมา"
เหมืองแร่ทองคำชาตรี จังหวัดพิจิตรหนึ่งในมุมไฮไลท์ของทริปนี้
เดี๋ยวมาต่อ^^
[CR] หลงทางที่ ”พิจิตรจังหวัดที่ไม่คิดไปเหยียบ”
FB : https://www.facebook.com/snowmanz.photo
การเดินทางของผมในครั้งนี้ใช้ชื่อว่า หลงทาง (Lhong thang)
ผมก็เหมือนกับใครหลายคน ที่หมกมุ่นกับการทำงานจนไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเอง การเดินทางของผมในครั้งนี้อาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ สำหรับใครหลายคน แต่มันคือการเดินทาง เพื่อออกไปหาแรงบันดาลใจในการทำงานของตัวเอง ผมคิดว่ามันน่าจะช่วยให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น และอาจทำให้ผมได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เชิญทัศนา
นี่คืออุปกรณ์ที่ผมเตรียมไป เพื่อช่วยให้ผมเก็บภาพและเรื่องราวต่างๆ กลับมาให้ได้มากที่สุด อ่อ!ลืมบอกไปนิดครับผมทำงานเป็นช่างภาพอิสระ การหาแรงบันดาลใจของผมคงหนีไม่พ้นการถ่ายภาพ เพราะฉะนั้นความต้องการที่จะได้ภาพของผม จึงมีมากเป็นพิเศษและอุปกรณ์ที่เตรียมไปผมก็คำนึงถึงโอกาสที่จะใช้ และความคล่องตัว
จุดหมายปลายทางของผมคือ บ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 9.00 น กับน้องดอกสะโหน(สองล้อคู่ใจ) ใช้เส้นทางถนนราชพฤกษ์-สายเอเชีย-ทางหลวงหมายเลข11 ความเร็วที่ใช้ตลอดเส้นทางอยู่ที่ประมาณ 100-120กม./ชั่วโมง คำนวนจากระยะทางและความเร็วที่ใช้ในการเดินทาง ผมน่าจะถึงปลายทางเวลาประมาณบ่าย3โมง (รวมจอดพักและจอดถ่ายรูประหว่างทางแล้ว) "เพราะช่วงไฮไลท์ของที่นั่น อยู่เวลาประมาณ5-6โมงเย็น จะมีฝูงค้างคาวนับหมื่นตัวบินเรียงแถวกันออกหากิน" Go!!!
อุปสรรคในการถ่ายภาพของผมคือ การหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายในแต่ละครั้งนี้แหล่ะครับ บางจังหว่ะเราเห็นแสงเห็นมุมสวยๆ แต่ก็ไม่สามารถจอดรถถ่ายได้ ทำได้แค่บันทึกมันด้วยสายตา
แต่ก็พยายามจอดถ่ายภาพในที่ๆ จอดได้นะ
เส้นทางที่ผมขับผ่าน ผมก็ทำการบ้านเรื่องมุมถ่ายภาพมาพอสมควร ในระหว่างทางถนนหมายเลข11 ทุ่งดอกทานตะวันที่บานสะพรั่งดูแล้วน่าตื่นตา ( รูปบน Facebook ) ผมก็พยายามสังเกตุสองข้างทางที่ผมผ่าน...........
…......นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชม! สิ่งที่ผมคิดกับความเป็นจริง
"การถ่ายภาพต่อให้เราเตรียมตัวไปดีแค่ไหน แต่ถ้าดวงไม่ดีก็....ยืนยิ้มครับ ^_____^ "
จากทุ่งดอกทานตะวัน ผมขับไปตามทางหลวงหมายเลข11 ถนนเส้นนี้มีรถสิบล้อวิ่งอยู่เป็นระยะๆ จึงต้องระมัดระวังในการขับเป็นพิเศษ (ขับมาเร็วๆ สวนทางกันทีตัวแทบปลิว) และช่วงที่ผ่านบ้านเขาทราย ตรงจุดนี้รถทำความเร็วได้ไม่มาก เพราะมีการซ่อมพื้นถนน ขับค่อนข้างลำบากมีเศษหินและฝุ่นเยอะมาก
และ!สิ่งที่ผมคิดไว้มันก็เกิด..........
.....นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชมยางแหก!!!! เอ้ย ยางแหวก!!! เอ้ย ยางแตก!!! เอ้ย ถูกแล้ว!(ห้าบาทสิบบาทยังเล่น) งานมาแล้วหล่ะครับ ณ ตอนนี้ผมเริ่มไม่สนุกแล้ว ผมคิดในใจว่า "เรามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย"
แต่……....ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง จากจุดที่รถยางแตกไม่ไกล มีร้านปะยางอยู่ (สวรรค์ยังเมตตา) จึงเดินไปขอความช่วยเหลือจากพี่เจ้าของร้าน
ใครจะเชื่อหล่ะแค่เศษหินก้อนเล็กๆ เกือบทำเกมส์เปลี่ยนแล้ว
ผมเสียเวลากับการปะยางไปพอสมควร จากบ้านเขาทราย ผมต้องเปิดคันเร่งทำความเร็ว เพื่อรีบไปให้ถึงจุดหมายก่อนช่วงเวลา5โมงเย็น ขับตามทางถนนหมายเลข11 มาเรื่อยๆและเลี้ยวขวาเข้า ถนนหมายเลข1115
ขับตรงตามทางเข้ามาไม่ไกลนัก ก็มาเจอจุดที่ทำให้ผมถึงกลับเบรคแทบไม่ทัน เพราะทางด้านขวามือเป็นจุดที่มีวิวที่สวยและแปลกตา ผมรีบกลับรถทันทีและไม่รีรอที่จะหยิบกล้องขึ้นกดชัตเตอร์
ตรงจุดที่ผมยืนถ่ายมีชื่อว่า เหมืองทองคำชาตรี ตำแหน่งที่ผมยืนคนทั่วไปสามารถยืนถ่ายได้ ไม่ต้องขออนุญาติใคร เพราะติดกับถนนที่ใช้สัญจรไปมา บอกได้คำเดียวว่า เพลินมาก ถ่ายแบบไม่กลัวการ์ดเต็มเลย
เพลินมาก!!
จากจุดที่เห็นวิวเหมืองผมจอดรถและเดินมาไม่ไกล ก็จะเจอกับถนนที่เป็นเหมือนสะพานเล็กๆ มีรั้วเหล็กกั้นตรงราวสะพาน เพื่อใช้ข้ามถนนที่อยู่ในเหมืองอีกที ตรงจุดนี้เราก็สามารถยืนถ่ายภาพรถบรรทุกที่กำลังวิ่งอยู่ในเหมืองด้วยมุมสูงได้เลย
ระหว่างนั้นผมก็ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่ทำงานที่เหมือง ได้ความรู้ใหม่มาว่า (ถ้าผมจำไม่ผิด) "ดินที่มีแร่ทอง 1ตัน นำมาสกัดทองคำได้ 7กรัม" (แก้ไขตัวเลขเป็น 0.7กรัม) (ผมนี่อ้อออออออออเลยครับ) ทองคำ 1บาท หนักประมาณ 15กรัม เพราะฉะนั้นทองที่เราใส่ 1บาท ต้องใช้ดินประมาณ.....................ไปคิดกันเอาเอง 555555
*(ตอนแรกเข้าใจว่า 1ตัน=7กรัม มีพี่ใจดีในนี้ให้ข้อมูลมาว่ามันแค่ 0.7กรัม ขอบคุณสำหรับข้อมูลตัวเลขที่ถูกต้องครับ)
"ความรู้พวกนี้ มันทำให้ภาพที่ผมถ่ายมารู้สึกมีน้ำหนัก"
ผมใช้เวลาถ่ายตรงนี้อยู่พักใหญ่ เพราะคิดว่าจากตรงนี้คงอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มานั่งเล่นและเช็คเส้นทาง
.................เดี๋ยวนะ! ฮะ! ไม่จริงใช่มั้ย!!!!
ถนนเส้นที่ผมเลี้ยวขวาเข้ามามันไม่ใช่ ถนนหมายเลข1115 ตามที่ผมเข้าใจ แต่มันคือถนนหมายเลข1301 ผะ ผะ ผะ ผมหลงทาง!!!!!!
จากจุดที่ผมอยู่ต้องขับต่อไปอีกห้าสิบกว่าโลกจึงจะถึงจุดหมาย ประเมินจากระยะทางและช่วงเวลาแล้ว น่าจะไปไม่ทันเวลาไฮไลท์ที่เนินมะปราง ผมจึงตัดสิ้นใจหาที่ซุกหัวนอนแถวนี้สักคืน
ผมขับตามทางถนนหมายเลข1301 เข้ามาเพื่อหาที่พัก ไม่ไกลนักก็เจอกับหมู่บ้านหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ (ทราบชื่อในเวลาต่อมาว่าชื่อหมู่บ้านวังชะนาง) เสียงท่อรถของผมดึงดูดสายตาผู้คนในหมู่บ้านไม่น้อย ราวกับว่าผมเป็นตัวประหลาด T^T. ผมจึงจอดรถและใช้วิธีเดินเข้าไปสอบถามข้อมูลที่พัก เพื่อสร้างไมตรี ดีกว่าขับรถท่อดังดุ่มๆเข้าไปโดยตรง
จากการสอบถามได้คำตอบคือในหมู่บ้านนี้ไม่มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่มีแม้แต่โฮมสเตย์ (ผมเริ่มกังวล)
......แต่สักพักก็มีชาวบ้านเดินมาบอกว่า "ยังพอมีที่พัก เป็นบ้านของชาวบ้านที่ใช้รองรับแขก ที่เดินทางมาที่นี่" ผมรีบตอบตกลงและให้เค้านำทางไปยังบ้านหลังดังกล่าว
เจ้าของบ้านหลังนี้มีชื่อว่าคุณแม่บังเอิญ คุณแม่บังเอิญเป็นคนยิ้มแย้มคุยเก่ง ทั้งที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่การต้อนรับที่ได้กลับมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง^^
นอนที่นี่สักคืน
บรรยากาศรอบตัวบ้านก็ยังคงความเป็นชนบท คุณแม่เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะทำนา ทำไร่และเลี้ยงสัตว์ แทบทุกบ้านจะปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง คุณแม่ยังคุยให้ฟังอีกว่าหมู่บ้านนี้ยังได้รับรางวัล หมู่บ้านเศษรฐกิจพอเพียงอีกด้วย^^
ผมนั่งคุยกับคุณแม่และญาติๆอยู่พักใหญ่ จึงขอตัวไปนอน เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวัน zZzZ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!!! "ตื่นได้แล้วลูก ตื่นมาใส่บาตร" เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกให้ผมลุกขึ้นจากที่นอน ช่วงเช้ามืดอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น ไม่เหมาะกับการตื่นมาใส่บาตรซะเลย (ผมคิดในใจ555)
คุณแม่เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่แทบทุกบ้าน จะตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารและยืนรอ พระภิกษุที่จะเดินมารับบาตรทุกเช้า ผมเองก็ไม่พลาดที่จะหยิบกล้องติดมือไปเก็บภาพบรรยากาศช่วงเช้า
พอใส่บาตเสร็จผมก็ขอตัวจากคุณแม่ เพื่อเดินไปเก็บภาพบรรยากาศวิถีชีวิตของคนในชุมชน
ภาพนี้คือคุณแม่และพี่สาวกำลังก้มเก็บผักหน้าบ้าน เพื่อนำไปทำกับข้าวให้ผมกิน ^______^
นี่แหล่ะครับภาพวิถีชีวิต ที่เราเองรู้สึกได้ว่า มันคือสิ่งที่ไม่เคยมีในชีวิตคนเมือง
บรรยากาศช่วงเช้าเงียบสงบกว่าช่วงเย็นวันก่อนที่ผมเพิ่งมา เสียงลมพัดและเสียงนกร้องของที่นี่ ดังจนผมได้ยินชัดเจน เด็กๆเตรียมตัวไปโรงเรียน บ้างก็มีรถโรงเรียนมารับ บ้างก็มีผู้ปกครองไปส่ง ร้านค้าเริ่มทยอยกันตั้งร้าน ผู้คนเริ่มทยอยกันออกไปทำหน้าที่ๆตัวเองมี สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เริ่มพากันออกหากิน
พอยกกล้องขึ้นถ่าย น้องๆ ก็ชูมือให้ทันที เอ้า 123!!!
หลังจากเดินถ่ายภาพอยู่พักใหญ่ผมก็กลับมาทานข้าวที่บ้านและเตรียมตัวเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมาย และแน่นอนผมไม่ลืมที่จะถ่ายภาพแม่บังเอิญเจ้าของบ้านที่แสนใจดี ไว้เป็นที่ระลึกและผมสัญญา จะหาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนท่านอีกในไม่ช้า
มีคนกล่าวว่า
"หากเราก้าวออกจากจุดที่เรายืน เราจะเจอเรื่องราวใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอ"
"หากเราเดินหลงทาง เราจะได้รู้จักกับเส้นทางใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไป"
และเส้นทางนี้คือที่ๆผม"หลงทาง"หากใครติดตามมาถึงตรงนี้ ก็จะพอเข้าใจในความหมายของคำว่า หลงทาง ในแบบของผม.........มันหมายถึง "หลง(รักเส้น)ทาง" และตัวผมเองต้องหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกสักครั้ง "มาในที่ๆผมไม่เคยคิดจะมา"
เหมืองแร่ทองคำชาตรี จังหวัดพิจิตรหนึ่งในมุมไฮไลท์ของทริปนี้
เดี๋ยวมาต่อ^^
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น