China มา Vietnam | Chapter 2 "บาเบ๋" ที่เที่ยวไม่ใหม่ แต่ได้ใจคนรักธรรมชาติและความสงบ


หวัดดี

จากตอนที่แล้วในที่สุดพวกเราก็หารถจากหยวนหยางมาถึงซาปาได้โดยปลอดภัย
ถึงจะเป็นระยะทางไม่ไกล ถนนก็ดี แต่มีเรื่องให้ได้ลุ้นจัง ^^"

ส่วนตอนนี้จะพาไป บ่าเบ๋

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักและเวียดนามก็ยังมีเรื่องให้เราได้ทึ่งในทุกๆครั้งที่มา เช่นในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อจากนี้ค่ะ ^^

Travel Plan 5-15 Mar,15
Day 1 : (5) Bkk - Kunming - Luoping
Day 2 : (6) Luoping
Day 3 : (7) Luoping - Kunming - Yuanyang (by overnight bus)
Day 4 : (8) Yuanyang
Day 5 : (9) Yuanyang
Day 6 : (10) Yuangyang - Lao Cai (Vietnam Border) - Sapa
Day 7 : (11) Sapa - Hanoi
Day 8 : (12) Hanoi - Babe National park
Day 9 : (13) Babe - Hanoi
Day 10 : (14) Hanoi - Freeday
Day 11 : (15) Hanoi - Bkk

ตอนที่แล้ว >> Day 1-6 ทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิง ยิงยาวไปหยวนหยาง ขี่มอไซค์แว๊นซาปา เดินเปิดหูเปิดตากินเบียร์ฮอยที่ฮานอยกัน http://ppantip.com/topic/34783326




Day 7 : (11) Sapa - Hanoi

แพลนเดิมอยากไปมู่กังจ๋าย นาขั้นบันไดของเวียดนามอีกที่ ที่ดูรูปแล้วกระตุ้นต่อมอยากมาก
แต่พอเทียบกับวันเดินทางที่เหลือ กับเรื่องการเดินทางแล้ว ดูท่าจะต้องเปลียนแผน
ประกอบกับไปเห็นเวียดนามมีที่เที่ยวที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จัก เลยตัดสินใจไปที่บ่าเบ๋นี่แทนดีกว่า แผนนี้ทำให้เรามีเวลาที่ซาปาได้ 2 คืน...

แต่เอาซี่ พอตั้งใจจะอยู่ 2 คืน ซาปากลับมาต้อนรับเราด้วยหมอก คงต้องเผื่อใจกับเธอไว้บ้าง

ตื่นมาเห็นอากาศข้างนอกจากหน้าต่างบนห้องนอนชั้น 3 ขาวทึบไปด้วยหมอก..

ก่อนจะออกไปแว๊นรอบๆซาปา เลยต้องเช็คพยากรณ์อากาศเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ

เค้าว่าจะหมอกอย่างนี้อีก 2-3 วัน

เก็บกระเป๋าไว้เตรียมรอ ถ้าฟ้าเปิด(บ้าง)จะอยู่ต่อ ถ้าไม่คงได้โบกมือลาต่อกัน

ซาปา เมืองเล็กๆโรแมนติกอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงกว่า 1600 เมตรและมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากที่สุดเมืองหนึ่งของเวียดนาม ครั้งหนึ่งที่เวียดนามเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศษได้มีการสร้างอาคารแบบโคโลเนียลไว้เป็นสถานที่พักตากอากาศเพราะที่นี่มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี จนได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ และคนเวียดนามด้วยกันเองอย่างมาก

ด้วยเพราะเป็นเมืองเล็กๆ สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่เลยไม่ไกลกันมาก ส่วนใหญ่จึงนิยมเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวกัน ราคาก็มีทั้ง 4-7 usd

หลังอาหารเช้า พวกเราก็ออกไปวัดดวงที่แรกคือหมู่บ้าน กัต กัต ...

ท่ามกลางหมอกหนา ไม่เห็นทั้งนาขั้นบันได ไม่เห็นทั้งวิวและน้ำตก

นึกถึงที่พยากรณ์อากาศที่เช็คไว้ เริ่มรู้สึกว่าถึงพรุ่งนี้ก็อาจไม่เห็นอะไรอยู่ดี อย่างงี้แล้วจะอยู่ทำไม งั้นก็ไปดีกว่า ตัดสินกันง่ายๆยังงี้แหละ

กลับมาในตัวเมืองไปหาอะไรกินที่ตลาด ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ

จนได้เวลาก็บ๊าย บาย มุ่งหน้าไปหาแสงสีที่ฮานอย

ซึ่งขานี้เราได้ใช้รถบัสที่มีวิ่งบริการระหว่างเมืองซาปา-ลาวไค ในราคาคนละ 28000 ด่อง แล้วค่อยหารถบัสไปฮานอย คนละ 230000 ด่อง

ซาปารอบนี้ คงไม่ใช่ที่ของเรา

รถนอนซาปาสภาพใหม่เอี่ยม ถนนดี ใช้เวลาวิ่งเพียงไม่ถึง 5 ชั่วโมง ไว้เก็บเป็นตัวเลือกสำหรับคนมีเวลาน้อย แต่ยังไงพอพูดถึงซาปาก็ต้องนั่งรถไฟมาถึงจะคลาสสิคเนอะ ว่ามั้ย

พวกเรามาถึงฮานอยตอนเกือบทุ่ม โบกแท๊กซี่จากท่ารถเข้ามาย่านถนน 36 สาย เดินหาห้องสักพักได้มาในราคา 20 usd พร้อมอาหารเช้า ซึ่งถือว่าดูดีไม่ขี้เหร่ค่ะ

แต่อย่างที่บอกไปว่าตั้งใจจะไปบ่าเบ๋กัน

แต่จากฮานอยด้วยระยะทาง 200 กว่ากิโล แว๊นไปวันเดียวก็กลัวไปไม่ถึง ข้อมูลอะไรก็ไม่ค่อยมี
จึงไปเดินถามตามเคาน์เตอร์ทัวร์ ซึ่งถ้าเป็นโปรแกรมทัวร์ส่วนมากจะมีออกได้แค่วันเสาร์ อาทิตย์
วันธรรมดานี่ไม่ค่อยมีคนมาจอยด้วย ต่างจากโปรแกรมยอดฮิตอย่าง ฮาลองเบย์ หรือฮาลองบก

เราเลยขอหาแค่รถที่จะไปส่งถึงบาเบ๋ได้ก็พอ

มาเจอที่นึงคิดราคาคนละ 350000 ด่อง (คิดเป็นเงินไทยประมาณคนละ 500 กว่าบาท) แอบแปลกใจเหมือนกันว่าถ้าคนไม่ค่อยไปเที่ยวกัน แล้วจะได้คนพอที่รถจะออกหรอ?

ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ถามไปว่าเป็นรถอะไร ได้แต่เดากันให้ได้ลุ้นเล่นๆระหว่างนั่งกินเบียร์ฮอยท่ามกลางฝนโปรยปราย






Day 8 : (12) Hanoi - Babe National park

วันนี้มีเวลาครึ่งวันเช้าที่จะออกไปเก็บที่เที่ยวในตัวเมืองฮานอย

หลังจากเช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ก็โบกรถแท๊กซี่ออกไปสุสานลุงโฮฯ อันถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของฮานอย
ใกล้ๆกันยังมีพิพิธภัณฑ์ วัดเจดีย์เสาเดียว และกลับมาแวะที่ทะเลสาบคืนดาบ

จนใกล้ได้เวลาที่นัดไว้คือ 12.30 จึงกลับมาที่จุดนัดรถคือโรงแรมที่เราฝากกระเป๋าไว้

เจ้าหน้าที่ชายผมเรียบแปล้ ใส่โอเวอร์โค้ทสีดำ เดินถือกระเป๋าใส่เอกสารสีดำ หน้าตาเกือบจะขึงขังจนน่าเกรงขามอยู่แล้ว ถ้าไม่เผอิญเหลือบไปเห็นถุงพลาสติกที่หุ้มรองเท้าไว้กันเปียกกันเลอะ ความคอนทราสที่โค-รตน่ารักแบบนี้ เห็นทีไรแล้วอดยิ้มไม่ได้ทุกที

เข้ามาแนะนำตัวว่ามาจากบริษัททัวร์ ขอตรวจรายละเอียดใบเสร็จเรียบร้อยก็พาเราขึ้น"แท๊กซี่" ที่โบกจากหน้าโรงแรม มุ่งหน้าไปท่ารถ ”หมี่ดิงห์” (My Dinh)

มาถึงท่ารถเราเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที อย่างที่แอบอำกันไว้เล่นๆ ว่าราคาเท่านี้ไม่น่าจะหนี "รถบัสประจำทาง"

จะเป็นรถอะไรก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือจะไปถึงบาเบ๋ได้ยังไง! ในเมื่อที่เคยเช็คมันไม่มีรถวิ่งตรง!

เราต่างไม่พูดอะไร ได้แต่สังเกตการณ์ห่างๆห่วงๆในการจัดการระบบขนส่งแบบนี้

เห็นจนท.แกคุยกับเด็กรถ คุยโทรศัพท์สักพัก ก็เรียกเราให้ไปขึ้นรถ

ด้วยต้องการความแน่ใจ เลยถามย้ำๆหลายรอบว่า"ไปถึงบาเบ๋แน่นะ?"

ซึ่งก็ได้คำตอบเดิม เอาๆ เชื่อก็ได้ มาตามดูกัน

คันแรกออกจากท่ารถหมี่ดิงห์ เป็นรถบัสคันใหญ่ มีไวไฟให้เล่นฟรีด้วย ไฮโซอ่า บ้านเรารถทัวร์เฟิร์สคลาสยังไม่มีเลยนะ

ระหว่างทางก็นั่งรถไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดพักรถระหว่างทาง

เด็กรถก็ลงไปดีลกับอีกคันที่จอดรออยู่ จ่ายค่ารถที่รับมาจากเฮียคนเมื่อกี้เรียบร้อย แล้วบอกให้เราไปขึ้นคันนั้น

เอาจริงๆตอนแรกคืองงทางไปหมด แต่ก็เออๆออๆ ขึ้นก็ขึ้น  

คันสองเป็นรถเมล์ขนาดเล็ก คราวนี้ไม่มีไวไฟและไม่เปิดแอร์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราร้อนแต่อย่างใด

รถยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ จากยังมีคนนั่งอยู่ กลับเริ่มไม่มีคนเลย จนกระทั่งรอบตัวมืดมิด จะมีก็แต่ไฟข้างทางที่มีเป็นบางระยะ

ท่ามกลางความมืดจากภายนอกมาถึงภายในรถ ได้ยินแต่เสียงรถที่วิ่งบุเลงไปตามทาง เด็กรถเริ่มชวนคุย

สนทนาและแปลโดยผู้บ่าวตามเคย
เด็กรถ : พวกพี่นอนโฮมสเตย์ที่ไหนในบ่าเบ๋?
ชาย : คิดว่าจะไปนอนบ้าน Mr.Linh..
เด็กรถ : โอเช ได้ๆ แปปนึง.. (ต่อสาย คุยโทรศัทพ์ พูดภาษาเวียดนาม สักพักจึงยื่นโทรศัพท์ให้)

Mr.Linh คือเจ้าของโฮมสเตย์ที่เราได้หาข้อมูลจากในเนตว่าเหล่าทริปแอดไวเซอร์นิยมไปพักและแนะนำกันมา

มิสเตอร์แกบอกว่าปกติรถจะไม่วิ่งเข้ามาถึงในตัวอุทยาน คนขับเลยขอเราเพิ่ม 100000 ด่อง ซึ่งตอนนั้นรอบตัวไม่มีรถวิ่งสวนเลย ราคานี้กับรถที่มีแต่เราเป็นผู้โดยสารด้วยแล้ว ใครจะไม่เอาล่ะ ไม่มีทางเลือกด้วยแหละ

- ต้องนั่งเรือข้ามฟากแบบนี้ ต่างกันที่ตอนเรามาถึงไม่มีเรือวิ่งแล้ว นอกจากต้องเรียกให้มารับ -

และเมื่อมาถึงเรายังต้องนั่งเรือข้ามฟากต่อไปอีก มิสเตอร์จะส่งเรือมารับ ค่าเรืออีก 100000 ด่อง แล้วเฮียจะขี่มอไซค์มารับที่ท่าเรือเอง โอเคม๊ายยย?

ก็ต้องโอเคสิเฮีย..

- ท่าเรือ (ตอนสว่าง) -

คุยโทรศัพท์นัดแนะกันจนเข้าใจ เกือบ 2 ทุ่มที่รถวิ่งมาสุดทาง(ถึงซะที!)

เปลี่ยนไปลงเรือมืดๆ กับแว๊นมอไซค์ไปโฮมสเตย์ กว่าจะถึงก็หมดแรงไปกับการลุ้น!

นี่ยังอดทึ่งกับการขายทัวร์แบบนี้ไม่ได้ (แบบนี้ก็ได้หรอ 555) คือใช้วิธีส่งต่อกันเป็นทอดๆ เป็นวิธีที่เบสิคและสมูทมาก เราไม่ต้องไปบู๊ ไปต่อสู้อะไรให้หัวเสีย

แต่มันจะใช้ไม่ได้เลยถ้าฝ่ายใดฝ่ายนึงขาดความเชื่อใจหรือไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน

- อีกวันมิสเตอร์ขี่มอเตอร์ไซค์พามาส่งล่องเรือ -


จนท.ผมเรียบแปล้ต้องเชื่อใจคันหนึ่ง

คันหนึ่งต้องเชื่อใจคันสอง

คันสองมีน้ำใจพาส่งต่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง

แต่คงจะมาถึงที่นี่ไม่ได้..

..ถ้าเราไม่เชื่อใจพวกเค้าตั้งแต่แรก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่