ฮาโหลลลลลลลล
หวกน้อยกลับมาอีกครั้ง หลังจากปล่อยดองทริปให้ผ่านมาเนิ่นนาน
มาดูอีกที เอ้ยยย ทริปนี้จะครบปีแล้วนี่หว่า เลยได้ฤกษ์มารื้อความทรงจำกันสักหน่อย เขียนแบบหลงๆลืมๆละก็ช่างมันบ้างไรบ้างนะฮะพี่น้องง
เช่นเคยค่ะ ไปกัน 2 คนกับผู้บ่าว ไม่ใช่อยากสวีทอะไร แต่ไม่มีคนไปด้วย
ไอเราเป็นพวกไม่ค่อยแพลนทริปล่วงหน้านานๆ คนจะไปด้วยเค้าเลยเตรียมตัวกันไม่ค่อยทัน
หลังจากที่มีเวลาคิดกันไม่นานว่าจะไปไหน ในช่วงเดือนนี้ดีนี้
ก็สรุปออกมาได้ว่าไปดูทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิง ยิงยาวไปหยวนหยาง ขี่มอไซค์แว๊นซาปา เดินเปิดหูเปิดตาจิบเบียร์ฮอยที่ฮานอยกัน
ทำไมต้องเป็นโหล่วผิง??
ก็วีซ่าจีนเค้าเหลือเข้าได้อีกครั้ง และช่วงมี.ค.ทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิงก็กำลังบานไง
ทำไมต้องไปหยวนหยาง??
ก็มันใกล้ๆกันง่ะ แถมยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องความงามของนาขั้นบันได
ทำไมไปจีนแล้วยังอยากไปเวียดนามเหนือด้วย??
ฮู้ยยย หยวนหยางกับเวียดนามใกล้กันแค่นี้ จะพลาดได้ไง
ไหนจะใกล้บ้านเรา เดินทางง่าย ค่าครองชีพไม่ห่างกันมาก เอ้า!! รู้อย่างนี้จะรออะไร งั้นก็ไปกันเล้ยยยย
Travel Plan 5-15 Mar,15 (อันนี้ก่อนไป ไม่ได้ฟิกซ์อะไรนักค่ะ กลับมาแล้วก็ตามนี้)
Day 1 : (5) Bkk - Kunming - Luoping
Day 2 : (6) Luoping
Day 3 : (7) Luoping - Kunming - Yuanyang (by overnight bus)
Day 4 : (8) Yuanyang
Day 5 : (9) Yuanyang
Day 6 : (10) Yuangyang - Lao Cai (Vietnam Border) - Sapa
Day 7 : (11) Sapa - Hanoi
Day 8 : (12) Hanoi - Babe National park
Day 9 : (13) Babe - Hanoi
Day 10 : (14) Hanoi - Freeday
Day 11 : (15) Hanoi - Bkk
เตรียมพร้อม
- ที่ขาดไม่ได้เลยก็เงินค่ะ 555 เราแลกเป็นหยวนไป เหลือเท่าไหร่ค่อยไปแลกเป็นเงินด่องที่ด่านลาวไคอีกที
- วีซ่าจีน จะทำผ่านเอเจนท์หรือยื่นด้วยตัวเองก็ได้ ส่วนเข้าเวียดนามคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ
- สำเนาวีซ่า พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน ส่วนโรงแรมมีดูๆไว้บ้าง แต่ไม่ได้จองล่วงหน้า
- เสื้อผ้า อุปกรณ์อะไรต่างๆ ก็ตามนั้นแหละค่ะ เราไม่เน้นเอาของไปเยอะ ขี้เกียจหอบ เผื่อต้องใช้หลายๆพาหนะ (ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น ค่อยๆตามอ่านกันไปค่ะ)
- ภาษาจีน!! ดีว่าผู้บ่าวพอจะสื่อสารจีน เวียดนามได้บ้าง แต่ถ้าใครไม่ได้เลย แนะนำหาชื่อสถานที่ คำศัพท์ง่ายๆที่เป็นภาษาจีนติดไปด้วย อย่างน้อยๆอ่านไม่ออกยังพอเทียบเคียงได้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีแอฟมือถือที่ช่วยแปลภาษาได้อย่างง่ายดาย ลองหามาเล่นๆดูค่ะ
อ้อ อีกอย่าง ป้ายเป็นภาษาอังกฤษในตัวเมืองจีนเองก็เริ่มมีให้เห็นเยอะมากขึ้น ยกเว้นแค่ตามบ้านนอกที่ยังเป็นภาษาจีนล้วนๆอยู่
ส่วนถ้าไปตามสถานที่ท่องเที่ยวเช่น หยวนหยาง ชาวจีนเองก็มีพูดภาษาอังกฤษกันได้อยู่บ้าง รอดไปค่ะ
การเดินทาง
อย่างแรกก็ต้องมาดูว่าจะเดินทางไปอย่างไง จากเมืองไทยไปตั้งต้นที่คุนหมิง ไปได้ 2 ทาง
1.ทางรถ
จากกรุงเทพ - เชียงของ - หลวงน้ำทา - คุนหมิง
ออกจากกรุงเทพตอนเย็น ถึงเชียงของตอนเช้าพอดี ข้ามไปฝั่งลาว ถามรถตรงด่านให้ไปส่งคิวรถไปคุนหมิงที่อยู่ไม่ไกล
ค่ารถไม่เกิน 100 บาท ทำเรื่องข้ามด่านลาว-จีน มีแวะกินข้าว ลักษณะเป็นรถนอน สะอาดและสบายพอสมควร ราคาประมาณ 320 หยวน (เรทเมื่อปี 12) พาจอดยืดเส้นยืดสายที่เมืองเหมิ่งหล้า ที่สามารถต่อรถไปยังจิ่งหงหรือสิบสองปันนาก็ได้ จากนั้นไปถึงคุนหมิงอีกทีก็ตอนเช้าเลยค่ะ
เท่ากับว่าใช้เวลานั่งรถรวม 2 คืนกับอีก 1 วันเต็ม
จนไปสุดทางที่ South Bus Station แล้วนั่งรถแท๊กซี่ต่อไปที่ East Bus station (คล้ายๆบ้านเราที่จะมีสถานีรถสายใต้ สายเหนือ แต่ที่นี่มีหลายสถานีค่ะ) จะไปเมืองไหน ต่อที่สถานีไหนอะไร เช็คได้ที่ >>
http://www.travelchinaguide.com/cityguides/yunnan/kunming/travel-tips2.htm
เราเคยนั่งรถจากไทยไปแชงกรีล่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตั้งใจจะไปให้ถึงเต๋อชิง แต่ไม่ถึง 555
เพราะเวลาหมดซะก่อน เลยไปสุดแค่ที่จงเตี้ยนแล้วนั่งรถกลับไทยทางเดิม (ทริปนี้เปิดโลกทัศน์ของการนั่งรถข้ามประเทศที่จำจนตาย 555 เคยเขียนบันทึกไว้อยู่นะ แต่ดองไว้ตามเคย)
2.ทางเครื่องบิน
รอบนี้ใช้วิธีนั่งเครื่องไปค่ะ เพราะไปถึงก็ตั้งใจนั่งรถข้ามเมืองกันอยู่แล้ว เลยอยากร่นเวลาเดินทางหน่อย ใช้บริการของหางแดง โดยได้สปอนเซอร์ใจดีจากหนังสือ Trip Magazine ค่าเครื่องเลยไม่ต้องจ่ายเอง ขอขอบคุณออกสื่อมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ อิอิ
อ่านตอน 2 > Day 7-11 China มา Vietnam | Chapter 2 "บาเบ๋" ที่เที่ยวไม่ใหม่ แต่ได้ใจคนรักธรรมชาติและความสงบ
http://ppantip.com/topic/34805588
Day 1 : Bkk - Kunming - Luoping
จากกรุงเทพ-คุนหมิง ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาเหยียบแผ่นดินมังกรทางฝั่งใต้ โดยมีคุนหมิงเป็นเมืองหลวงของมลฑลยูนนาน
มาถึงก็มองหาป้ายรถไฟฟ้าใต้ดิน ตรงหน้าทางเข้าจะมีเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติและมีเมนูภาษาอังกฤษ(เริ่ดป่ะล่าาาา)
เครื่องจะรับแบงค์ใหญ่สุดได้แค่ใบ 50 หยวน ซึ่งเราสามารถแลกเป็นแบงค์ย่อยได้ที่ช่อง Customer service ที่อยู่ใกล้เคียง
เป้าหมายของเราคือมุ่งหน้าไปเมืองโหล่วผิงที่แรก ซึ่งจะต้องไปขึ้นรถที่ East Bus station
คนละ 5 หยวน สำหรับค่าบัตรโดยสาร ภายในตู้ใหม่และสะอาดมากๆ ที่สำคัญว่ามีภาษาอังกฤษบอกอย่างชัดเจน เราใช้เวลาเพียง 25 นาที ก็ถึงค่ะ
จีนในวันนี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก ถนนหนทางดีขึ้น คนที่จะแบคแพคมาคงไม่ต้องเลือดตาแท่บกระเด็นอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว
(คงไม่ต้องสาธยายว่าเพราะอะไร ไหนจะห้องน้ำ ถนน รถ คน นอกจากอินเดีย เราว่าก็มีแบคแพคมาจีนนี่แหละ ที่สูสีกัน)
หลังจากมาถึงก็มองหาช่องขายตั๋วเรียงรายมากมาย ที่เราสามารถเข้าช่องไหนที่เปิดก็ได้
เพียงบอกจุดหมายปลายทางของท่านนน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยยย
East Bus Station มีไวไฟฟรีด้วยน้าาา 2 ชั่วโมงที่รอรถออกก็นั่งเล่นเนตไปค่ะ
ห้องน้ำก็ไม่ได้แย่มาก แค่เกือบซวยไปเหยียบอึที่อยู่ตรงกลางทางเดิน ทุกวันนี้ยังงงว่ามันหลงไปอยู่ตรงนั้นได้ไง
อากาศวันนี้กำลังสบายๆ ฟ้ายังครึ้มด้วยหมอกเมฆ (หรือควันก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆๆ)
การเดินทางทุกอย่างราบรื่นดี ยกเว้นแต่ว่าป้ายภาษาอังกฤษต่างๆที่เคยทำให้ใจหลงระเริง ตอนนี้มันหายไปไหนหมด
- ระหว่างรถจอดพัก พอรู้ว่าเราถ่ายรูปเค้า มีหันสู้กล้องด้วย ลุงน่ารักกกกกก -
รถออกจากชานชลาตรงเวลาตามหน้าตั๋ว สภาพภายในใหม่เอี่ยม ถนนราบเรียบ ใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง เราก็มาถึงที่นี่โหล่วววผิงงงงงง
แต่เดี๋ยวก่อน เมืองโหล่วผิงก็ยังไม่ใช่จุดที่เราจะไปถึงทุ่งคาโนลาได้นะ ต้องนั่งรถออกไปอีกจ้า
ตอนนั้นจำได้ว่าจะมีทั้งรถเมล์คันเขียวๆ และรถตู้โดยสารไปส่งยังเมืองจินจีหลิง ที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ราคาคนละ 7 หยวน
มาถึงก็มืดสนิดพอดี เราตั้งใจเลือกทำเลที่พักเป็นหลัก
เดินถามๆพักนึงเจอราคาคืนละ 50 หยวน ราคา ความสะอาด ทำเล อยู่ในเกณฑ์ จึงใช้เวลาตัดสินใจชั่ววิบเดียว ติแค่ว่าเป็นห้องน้ำรวม แต่ก็ช่างมัน เน้นถูก 555
เราพักทั้งหมด 2 คืน ซึ่งอยู่ใกล้ทางขึ้นวัดจินจี ที่ด้านบนเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของที่นี่ด้วย
ลักษณะที่พักแถบนี้อาจไม่ดีเริศอะไร หากอยากพักโรงแรมดีๆ 4 ดาว ก็ให้เลือกพักที่ตัวเมืองโหล่วผิงค่ะ
มื้อเย็นก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารของโรงแรม มาถึงที่นี่ ก็ต้องมาลองทานผัดผักคาโนลากัน รสชาติไม่ได้แย่ แค่เรากินไม่หมด (เอ๊ะ ยังไง) ปกติไม่ค่อยกินผักอยู่แล้ว มันออกเหม็นเขียวหน่อยๆ
อาาาา ผ่านไปแล้ววันแรก คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น พรุ่งนี้ก็คงเช่นกัน
ทุ่งคาโนลาโหล่วผิง ยิงยาวไปหยวนหยาง ขี่มอไซค์แว๊นซาปา เดินเปิดหูเปิดตาจิบเบียร์ฮอยที่ฮานอยกัน!!
ฮาโหลลลลลลลล
หวกน้อยกลับมาอีกครั้ง หลังจากปล่อยดองทริปให้ผ่านมาเนิ่นนาน
มาดูอีกที เอ้ยยย ทริปนี้จะครบปีแล้วนี่หว่า เลยได้ฤกษ์มารื้อความทรงจำกันสักหน่อย เขียนแบบหลงๆลืมๆละก็ช่างมันบ้างไรบ้างนะฮะพี่น้องง
เช่นเคยค่ะ ไปกัน 2 คนกับผู้บ่าว ไม่ใช่อยากสวีทอะไร แต่ไม่มีคนไปด้วย
ไอเราเป็นพวกไม่ค่อยแพลนทริปล่วงหน้านานๆ คนจะไปด้วยเค้าเลยเตรียมตัวกันไม่ค่อยทัน
หลังจากที่มีเวลาคิดกันไม่นานว่าจะไปไหน ในช่วงเดือนนี้ดีนี้
ก็สรุปออกมาได้ว่าไปดูทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิง ยิงยาวไปหยวนหยาง ขี่มอไซค์แว๊นซาปา เดินเปิดหูเปิดตาจิบเบียร์ฮอยที่ฮานอยกัน
ทำไมต้องเป็นโหล่วผิง??
ก็วีซ่าจีนเค้าเหลือเข้าได้อีกครั้ง และช่วงมี.ค.ทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิงก็กำลังบานไง
ทำไมต้องไปหยวนหยาง??
ก็มันใกล้ๆกันง่ะ แถมยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องความงามของนาขั้นบันได
ทำไมไปจีนแล้วยังอยากไปเวียดนามเหนือด้วย??
ฮู้ยยย หยวนหยางกับเวียดนามใกล้กันแค่นี้ จะพลาดได้ไง
ไหนจะใกล้บ้านเรา เดินทางง่าย ค่าครองชีพไม่ห่างกันมาก เอ้า!! รู้อย่างนี้จะรออะไร งั้นก็ไปกันเล้ยยยย
Travel Plan 5-15 Mar,15 (อันนี้ก่อนไป ไม่ได้ฟิกซ์อะไรนักค่ะ กลับมาแล้วก็ตามนี้)
Day 1 : (5) Bkk - Kunming - Luoping
Day 2 : (6) Luoping
Day 3 : (7) Luoping - Kunming - Yuanyang (by overnight bus)
Day 4 : (8) Yuanyang
Day 5 : (9) Yuanyang
Day 6 : (10) Yuangyang - Lao Cai (Vietnam Border) - Sapa
Day 7 : (11) Sapa - Hanoi
Day 8 : (12) Hanoi - Babe National park
Day 9 : (13) Babe - Hanoi
Day 10 : (14) Hanoi - Freeday
Day 11 : (15) Hanoi - Bkk
เตรียมพร้อม
- ที่ขาดไม่ได้เลยก็เงินค่ะ 555 เราแลกเป็นหยวนไป เหลือเท่าไหร่ค่อยไปแลกเป็นเงินด่องที่ด่านลาวไคอีกที
- วีซ่าจีน จะทำผ่านเอเจนท์หรือยื่นด้วยตัวเองก็ได้ ส่วนเข้าเวียดนามคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ
- สำเนาวีซ่า พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน ส่วนโรงแรมมีดูๆไว้บ้าง แต่ไม่ได้จองล่วงหน้า
- เสื้อผ้า อุปกรณ์อะไรต่างๆ ก็ตามนั้นแหละค่ะ เราไม่เน้นเอาของไปเยอะ ขี้เกียจหอบ เผื่อต้องใช้หลายๆพาหนะ (ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น ค่อยๆตามอ่านกันไปค่ะ)
- ภาษาจีน!! ดีว่าผู้บ่าวพอจะสื่อสารจีน เวียดนามได้บ้าง แต่ถ้าใครไม่ได้เลย แนะนำหาชื่อสถานที่ คำศัพท์ง่ายๆที่เป็นภาษาจีนติดไปด้วย อย่างน้อยๆอ่านไม่ออกยังพอเทียบเคียงได้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีแอฟมือถือที่ช่วยแปลภาษาได้อย่างง่ายดาย ลองหามาเล่นๆดูค่ะ
อ้อ อีกอย่าง ป้ายเป็นภาษาอังกฤษในตัวเมืองจีนเองก็เริ่มมีให้เห็นเยอะมากขึ้น ยกเว้นแค่ตามบ้านนอกที่ยังเป็นภาษาจีนล้วนๆอยู่
ส่วนถ้าไปตามสถานที่ท่องเที่ยวเช่น หยวนหยาง ชาวจีนเองก็มีพูดภาษาอังกฤษกันได้อยู่บ้าง รอดไปค่ะ
การเดินทาง
อย่างแรกก็ต้องมาดูว่าจะเดินทางไปอย่างไง จากเมืองไทยไปตั้งต้นที่คุนหมิง ไปได้ 2 ทาง
1.ทางรถ
จากกรุงเทพ - เชียงของ - หลวงน้ำทา - คุนหมิง
ออกจากกรุงเทพตอนเย็น ถึงเชียงของตอนเช้าพอดี ข้ามไปฝั่งลาว ถามรถตรงด่านให้ไปส่งคิวรถไปคุนหมิงที่อยู่ไม่ไกล
ค่ารถไม่เกิน 100 บาท ทำเรื่องข้ามด่านลาว-จีน มีแวะกินข้าว ลักษณะเป็นรถนอน สะอาดและสบายพอสมควร ราคาประมาณ 320 หยวน (เรทเมื่อปี 12) พาจอดยืดเส้นยืดสายที่เมืองเหมิ่งหล้า ที่สามารถต่อรถไปยังจิ่งหงหรือสิบสองปันนาก็ได้ จากนั้นไปถึงคุนหมิงอีกทีก็ตอนเช้าเลยค่ะ
เท่ากับว่าใช้เวลานั่งรถรวม 2 คืนกับอีก 1 วันเต็ม
จนไปสุดทางที่ South Bus Station แล้วนั่งรถแท๊กซี่ต่อไปที่ East Bus station (คล้ายๆบ้านเราที่จะมีสถานีรถสายใต้ สายเหนือ แต่ที่นี่มีหลายสถานีค่ะ) จะไปเมืองไหน ต่อที่สถานีไหนอะไร เช็คได้ที่ >> http://www.travelchinaguide.com/cityguides/yunnan/kunming/travel-tips2.htm
เราเคยนั่งรถจากไทยไปแชงกรีล่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตั้งใจจะไปให้ถึงเต๋อชิง แต่ไม่ถึง 555
เพราะเวลาหมดซะก่อน เลยไปสุดแค่ที่จงเตี้ยนแล้วนั่งรถกลับไทยทางเดิม (ทริปนี้เปิดโลกทัศน์ของการนั่งรถข้ามประเทศที่จำจนตาย 555 เคยเขียนบันทึกไว้อยู่นะ แต่ดองไว้ตามเคย)
2.ทางเครื่องบิน
รอบนี้ใช้วิธีนั่งเครื่องไปค่ะ เพราะไปถึงก็ตั้งใจนั่งรถข้ามเมืองกันอยู่แล้ว เลยอยากร่นเวลาเดินทางหน่อย ใช้บริการของหางแดง โดยได้สปอนเซอร์ใจดีจากหนังสือ Trip Magazine ค่าเครื่องเลยไม่ต้องจ่ายเอง ขอขอบคุณออกสื่อมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ อิอิ
อ่านตอน 2 > Day 7-11 China มา Vietnam | Chapter 2 "บาเบ๋" ที่เที่ยวไม่ใหม่ แต่ได้ใจคนรักธรรมชาติและความสงบ
http://ppantip.com/topic/34805588
Day 1 : Bkk - Kunming - Luoping
จากกรุงเทพ-คุนหมิง ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาเหยียบแผ่นดินมังกรทางฝั่งใต้ โดยมีคุนหมิงเป็นเมืองหลวงของมลฑลยูนนาน
มาถึงก็มองหาป้ายรถไฟฟ้าใต้ดิน ตรงหน้าทางเข้าจะมีเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติและมีเมนูภาษาอังกฤษ(เริ่ดป่ะล่าาาา)
เครื่องจะรับแบงค์ใหญ่สุดได้แค่ใบ 50 หยวน ซึ่งเราสามารถแลกเป็นแบงค์ย่อยได้ที่ช่อง Customer service ที่อยู่ใกล้เคียง
เป้าหมายของเราคือมุ่งหน้าไปเมืองโหล่วผิงที่แรก ซึ่งจะต้องไปขึ้นรถที่ East Bus station
คนละ 5 หยวน สำหรับค่าบัตรโดยสาร ภายในตู้ใหม่และสะอาดมากๆ ที่สำคัญว่ามีภาษาอังกฤษบอกอย่างชัดเจน เราใช้เวลาเพียง 25 นาที ก็ถึงค่ะ
จีนในวันนี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก ถนนหนทางดีขึ้น คนที่จะแบคแพคมาคงไม่ต้องเลือดตาแท่บกระเด็นอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว
(คงไม่ต้องสาธยายว่าเพราะอะไร ไหนจะห้องน้ำ ถนน รถ คน นอกจากอินเดีย เราว่าก็มีแบคแพคมาจีนนี่แหละ ที่สูสีกัน)
หลังจากมาถึงก็มองหาช่องขายตั๋วเรียงรายมากมาย ที่เราสามารถเข้าช่องไหนที่เปิดก็ได้
เพียงบอกจุดหมายปลายทางของท่านนน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยยย
East Bus Station มีไวไฟฟรีด้วยน้าาา 2 ชั่วโมงที่รอรถออกก็นั่งเล่นเนตไปค่ะ
ห้องน้ำก็ไม่ได้แย่มาก แค่เกือบซวยไปเหยียบอึที่อยู่ตรงกลางทางเดิน ทุกวันนี้ยังงงว่ามันหลงไปอยู่ตรงนั้นได้ไง
อากาศวันนี้กำลังสบายๆ ฟ้ายังครึ้มด้วยหมอกเมฆ (หรือควันก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆๆ)
การเดินทางทุกอย่างราบรื่นดี ยกเว้นแต่ว่าป้ายภาษาอังกฤษต่างๆที่เคยทำให้ใจหลงระเริง ตอนนี้มันหายไปไหนหมด
รถออกจากชานชลาตรงเวลาตามหน้าตั๋ว สภาพภายในใหม่เอี่ยม ถนนราบเรียบ ใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง เราก็มาถึงที่นี่โหล่วววผิงงงงงง
แต่เดี๋ยวก่อน เมืองโหล่วผิงก็ยังไม่ใช่จุดที่เราจะไปถึงทุ่งคาโนลาได้นะ ต้องนั่งรถออกไปอีกจ้า
ตอนนั้นจำได้ว่าจะมีทั้งรถเมล์คันเขียวๆ และรถตู้โดยสารไปส่งยังเมืองจินจีหลิง ที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ราคาคนละ 7 หยวน
มาถึงก็มืดสนิดพอดี เราตั้งใจเลือกทำเลที่พักเป็นหลัก
เดินถามๆพักนึงเจอราคาคืนละ 50 หยวน ราคา ความสะอาด ทำเล อยู่ในเกณฑ์ จึงใช้เวลาตัดสินใจชั่ววิบเดียว ติแค่ว่าเป็นห้องน้ำรวม แต่ก็ช่างมัน เน้นถูก 555
เราพักทั้งหมด 2 คืน ซึ่งอยู่ใกล้ทางขึ้นวัดจินจี ที่ด้านบนเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของที่นี่ด้วย
ลักษณะที่พักแถบนี้อาจไม่ดีเริศอะไร หากอยากพักโรงแรมดีๆ 4 ดาว ก็ให้เลือกพักที่ตัวเมืองโหล่วผิงค่ะ
มื้อเย็นก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารของโรงแรม มาถึงที่นี่ ก็ต้องมาลองทานผัดผักคาโนลากัน รสชาติไม่ได้แย่ แค่เรากินไม่หมด (เอ๊ะ ยังไง) ปกติไม่ค่อยกินผักอยู่แล้ว มันออกเหม็นเขียวหน่อยๆ
อาาาา ผ่านไปแล้ววันแรก คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น พรุ่งนี้ก็คงเช่นกัน