กว่าจะมาเป็นนักวิจัยอยู่ที่ญี่ปุ่น

สวัสดีค่ะ เราจะเล่าที่มาที่ไปว่ากว่าจะมาเป็นนักวิจัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเนี่ย ถนนสายที่เราเดินมามันเป็นยังไง
(1. ถ้าชอบ เห็นว่าเป็นประโยชน์ รบกวนกดโหวตนะคะ กระทู้จะได้ไม่ตก  เดี๋ยวคืนนี้เอาการ์ตูนลายเส้นมาอัพให้ค่ะ)
(2. แชร์กระทู้ได้ตามสะดวก แต่ไม่อนุญาตให้นำภาพไปดัดแปลงหรือทำซ้ำใดใดก่อนได้รับอนุญาตนะคะ กราบ)

เรามาเริ่มกันเลย

              ตั้งแต่เกิดจนเข้ามหาวิทยาลัยเราไม่เคยอินกับอะไรที่เป็นญี่ปุ่นมาก่อนเลย เราเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นครั้งแรกด้วยความบังเอิญจากเหตุการณ์เครื่องบินดีเลย์จากนิวยอร์ก ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกแบบ งง งง ค่ะ

              เราเรียนวิศวะลาดกระบัง เราไม่ได้เก่งระดับที่หนึ่งของรุ่น บ้านก็ไม่ได้รวย ตอนนั้นเราคิดว่าอนาคตการทำงานในสายงานวิศวะของเราน่าจะดีถ้าเราได้ภาษาญี่ปุ่นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ เราเลยเรียนเพิ่มทั้งสองภาษาค่ะ งานพิเศษเราก็ทำนะเป็นติวเตอร์ค่ะ เคยรับจ๊อบแก้โจทย์ฟิสิกส์ด้วย (ตอนนี้ไม่สามารถแล้วค่ะ ส่งคืนอาจารย์ไปแล้ว) กิจกรรมมหาลัยเราก็ทำค่ะ เอาทุกอย่างเลย พอจบปุ๊ปเราก็เลยต่อโทที่เดิมกับอาจารย์ท่านเดิมเลยค่ะ เราทำวิจัยด้านอวกาศนะ ทำไปแปปนึงรู้สึกว่ามันสนุกมากเลย แต่เนื่องจากงานวิจัยด้านอวกาศในไทยค่อนข้างจำกัดอยู่มากเราเลยมีโอกาสได้ทำวิจัยร่วมกับนักวิจัยญี่ปุ่นซึ่งเป็นประตูสู่โอกาสหลายๆอย่างตามมา ตรงนี้ต้องสำนึกในความเมตตาของอาจารย์ที่ปรึกษาที่ลาดกระบังจริงๆค่ะ ทำไปทำมาทางญี่ปุ่นก็ชวนให้ไปเป็นนักวิจัยฝึกหัดหนึ่งปีค่ะ แน่นอนค่ะเราไม่ปฏิเสธเพราะได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ ได้เงินด้วยนะ ^^ แต่เราขอลดเวลาลงเพราะอยากกลับมาจบโทที่ไทยก่อน ทุกอย่างราบรื่น ไปค่ะ ไปญี่ปุ่นกัน...

               เรามาถึงญี่ปุ่นตอนฤดูใบไม้ผลิค่ะ หนาวมากตอนนั้น บ้านพัก น้ำ ไฟ แก็ส ฟรี มีแม่บ้านมือโปรมาทำความสะอาดให้ด้วย (ปลื้มมาก) ได้ค่าขนมวันละห้าพันกว่าเยน ชีวิตเริ่มต้นดูดีมากเลย เริ่มงานเท่านั้นแหละค่ะเข้าใจเลยนรกมีจริง บรรยากาศมันต่างจากเมืองไทยมากไงคะ ตอนนั้นยังไม่ชินกับบรรยากาศแบบคร่ำเคร่งตลอดเวลาขนาดนั้น (แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วค่ะ) เราก็คิดในใจ เอาวะลองสู้ดูซักตั้ง มาขนาดนี้แล้ว เราก็เรียนรู้จากนักวิจัยจริงๆ ลีนักส์ เชลล์สคริป ภาษาญี่ปุ่น มารยาทแบบญี่ปุ่น ทุกอย่างมาเต็มจนล้นค่ะ เหนื่อยนะท้อด้วยแต่ไม่ถอย ทีสิสก็ต้องเขียนไม่งั้นกลับไปสอบจบที่ไทยไม่ทันอีก โอยๆ รู้สึกเหมือนเป็นยอดมนุษย์มากค่ะ กลางวันทำวิจัย กลางคืนทำกับข้าว ดึกๆทบทวนของใหม่ที่ได้มาในแต่ละวัน ศุกร์เสาร์อาทิตย์ก็ไปลั้ลลาบ้างกับนักวิจัยคนอื่นๆ พอเริ่มอยู่ตัวเลยเริ่มสนุก (แต่ภาษาญี่ปุ่นก็ยังไม่โอเคนะคะ)

รูปนี้สมัยหัดทำกับข้าวที่ญี่ปุ่นค่ะ



นี่รูปหน้าบ้านพักพร้อมจักรยานแม่บ้านคู่ใจ คิดถึงจัง


ชีวิตช่วงนั้นเป็นชีวิตที่เหมือนดอกทานตะวันได้แสงแดดจัดๆอะค่ะ เบ่งบานมาก ช่วงเบ่งบานนี่แหละค่ะที่โอกาสอันถัดไปเข้ามาในชีวิต คือการมีเด็กไทยในสถาบันวิจัย (แห่งชาติด้วย ) ที่ญี่ปุ่น แล้วมาทำวิจัยด้านอวกาศเนียนๆกับนักวิจัยที่นี่มันเหมือนเป็นแรร์ไอเท่มอะค่ะ นักวิจัยที่นี่ก็เอ็นดูเราเหมือนลูกเหมือนหลานก็คอยไปชวนโปรเฟสเซอร์คนนู้นนี้นั้นมาฟังงานเรา บุญพาวาสนาส่ง (ว่าไปนู่น ^^) โปรเฟสเซอร์หลายๆท่านก็มาจีบไปเรียนต่อ

              ระหว่างกลับไปสอบจบโทที่ไทย ผลทุนรัฐบาลญี่ปุ่นก็ออกค่ะ (ทุนให้เปล่า จบแล้วจะทำอะไรที่ไหนยังไงก็ได้ ไม่ต้องหนีทุนค่ะ) ดีใจมากไม่คิดว่าจะได้ทุนเพราะคิดมาตลอดว่าคนได้ทุนต้องเก่งแบบอภิมหาเทพอะค่ะแต่เราไม่ใช่ ^^ สุดท้ายเราตกลงปลงใจไปเรียนที่เกียวโตค่ะ เหตุผลง่ายๆคือได้ทุนค่ะ ก็บินไปญี่ปุ่นค่ะ



ตอนบินออกจากไทยก็เคว้งอยู่นะเพราะคราวนี้ต้องจากไทยไปนาน ถึงปุ๊ปก็นั่งแท็กซี่ที่โปรจองไว้ให้ไปหอที่มหาลัยค่ะ ถึงหน้าหอมีคุณเลขามายืนรอ คือช็อตนี้บอกเลยว่ารู้สึกประทับใจและอบอุ่นมาก (เท่าที่ถามเพื่อนๆคนอื่นทราบมาว่าไม่มีใครมารอแบบนี้) ไม่ใช่แค่มารอ คุณเลขายังพาเดินพาไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นสำหรับวันแรกด้วยค่ะ พอวันถัดไปตอนเช้าก็เดินไปแลบเพื่อหาโปรค่ะผลคือหลงจ้า คือหอพักเราอยู่บนเขาอะค่ะพอจะไปมหาลัยมันจะไปได้หลายทาง สนุกสนานกันเลยทีเดียว ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะจำทางได้ พอมาหาโปรปุ๊ป โปร (เรียกโปรใหญ่นะคะ) ก็แนะนำหลายอย่างแล้วขับรถพาเข้าเมืองไปช็อปปิ้งของเข้าบ้านค่ะ! (ประทับใจอีกแล้ว คือถ้าไปเองคงลำบากมากๆๆๆๆๆๆๆ) ชีวิตในมหาลัยก็เหมือนเด็กมหาลัยญี่ปุ่นทั่วไปค่ะแต่เราพิเศษกว่านิดตรงที่เรามีโปรเฟสเซอร์ท่านที่สองด้วย (จากนี้จะเรียกโปรน้อย) ซึ่งโปรใหญ่กับโปรน้อยของเราอยู่คนละแคมปัสค่ะห่างกันห้าสิบนาทีโดยรถบัสมหาลัย เราเลยมีสองออฟฟิซ

อันนี้รูปแคมปัสหลักที่โปรน้อยอยู่ โยชิดะแคมปัสค่ะ




ส่วนรูปนี้เป็นอุจิแคมปัสที่โปรใหญ่อยู่ค่ะ



โต๊ะทำงานเด็ก ป เอก หน้าตาประมาณนี้ค่ะ


การมีสองโปรสองออฟฟิซเหมือนจะดีแต่โหดพอตัวเพราะนั่นหมายความว่าเราต้องเข้าประชุมเข้าสัมนาทำกิจกรรมกับแลบทั้งสองแคมปัส แยกร่างได้นี่จะแยกร่างเลยค่ะ เหนื่อยมากขอบอก รอบตัวเราในแลบนี่ญี่ปุ่นล้วนเลยค่ะแถมภาษาก็ญี่ปุ่นล้วนด้วย โชคดีที่เพื่อนๆค่อนข้างใจดีคอยช่วยเหลือตอนเราไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น (ก็ทุกตอนอะค่ะ ฮ่าๆๆ) การเรียนที่นี่เลยไม่โหดร้ายเกินไป

นี่สภาพรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่นั่งกลับบ้านเป็นประจำ โล่งมากค่ะ ^^


สู้ไปด้วยกันค่ะ



กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เตรียมโอะเบนโตะให้พร้อมค่ะ รูปจะทยอยอัพเรื่อยๆค่ะ



อ่านต่อที่ ความคิดเห็นที่ 5-10
เพิ่มเติม
ความเห็นที่ 28 เรื่องเงินเดือนและค่าใช้จ่ายค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่