พาเที่ยว Malta และ Sicily ยุโรปสุดประทับใจที่หลายคนมองข้าม

สวัสดีค่ะ The Icecream Parlour จะพาไปเที่ยวประเทศ มอลตา (Malta) และ เกาะซิซิลี (Sicily) ประเทศอิตาลี
ถึงทริปนี้เราจะใช้กล้องโทรศัพท์ล้วนๆ ภาพอาจเบลอบ้าง ขนาดอาจจะตลกบ้าง แต่เราต้องการเสนอ 2 destinations ใหม่ๆ สำหรับชาว ppantip.com ค่ะ



สาเหตุที่เราตัดสินใจไปเที่ยวในครั้งนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกกว่าหลายๆประเทศ  (ดูสรุปค่าใช้จ่ายได้ข้างล่าง) และมีความน่าสนใจและ ประทับใจทั้งทาง ทัศนียภาพ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมค่ะ ทุกเมืองที่เราไปนี่ เป็น Unesco World Heritage หมดเลยค่ะ และรักษากันอย่างดีมาก หลายๆท่านใน pantip น่าจะสามารถเที่ยวเองได้ โดยไม่ใช้ทัวร์ค่ะ เรามารู้ทีหลังว่าทัวร์จากไทยราคาเหยียบแสนกันเลย

สำหรับทริปนี้ 8 วัน 7 คืน ค่ะ โดยใช้เวลา 4 วัน 3 คืน ที่มอลต้า และ 4 วัน 4 คืนที่ซิซิลี จริงๆ เรามองว่ามันสั้นไปมากๆค่ะ ยังมีอีกหลายๆจุดที่ยังไม่ได้ไปเลย

ประเทศมอลต้า
สาธารณรัฐมอลตา เป็นประเทศขนาดเล็ก มีเกาะหลักๆ 3 เกาะ คือ Malta, Comeo และ Gozo ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในยุโรป มีอาณาเขตติดกับอิตาลี สามารถนั่งเรือ หรือเครื่องบินข้ามไปได้ค่ะ  นอกจากนี้ มอลต้ายังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Popeye และ Game of Throne ด้วยนะคะ

มอลต้ามีผู้มาครอบครองและถูกแย่งชิงนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต ไม่ว่าจะเป็น จาก โรมัน แขกมัวร์ ชาวนอร์แมน ชาวซิซิเลียน สเปน ชาวฝรั่งเศส หรือ เครือจักรภพ แต่ที่มีผลกับประวัติศาสตร์สมัยใหม่มากที่สุดคือ คณะอัศวิน St.John หรือที่พวกเรารู้จักกันในนาม คณะอัศวินฮอสปิทัลเลอร์ จากเยรูซาเล็ม นอกจากนี้ มอลต้ายังถูกระเบิดมากที่สุดในสมัยสงครามโลกอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกค่ะ



เมืองหลวงของประเทศคือ Valletta (เป็น Unesco World Heritage ด้วยนะ)ในขณะที่โรงแรมส่วนใหญ่อยู่ในเขตธุรกิจ คือ  Sliema และ  St.Julian ซึ่งอยู่ในเกาะหลัก Malta คนที่นี่พูดภาษามัลตีส และภาษาอังกฤษเป็นหลักและเคร่งศาสนากันค่อนข้างมาก อาหารประจำชาติคือ กระต่าย (ไม่ได้กินค่ะ น้องกระต่ายน่าสงสาร) ซึ่งนิยมนำมาทำเป็นสตูว์และย่าง รวมถึงอาหารทะเล
แผนที่ของ 2 จุดหมายปลายทางของเรา จาก goeurope.about.com



เกาะซิซิลี
เป็นแคว้นของอิตาลี ถือเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีประวัติต่อเนื่องยาวนานกว่า 4,000 ปี เนื่องจากสถานที่ตั้งซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของยุโรป จึงตกเป็นเป้าหมายของการยึดครองจาก เหล่า กรีก โรมัน คาร์เทจ อาหรับ ชาวนอร์มัน เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน มาโดยตลอดนอกจากเมืองหลักๆ คือ ปาแลร์โม (Palermo) กาตาเนีย(Catania) แล้ว ยังมี เมือง Agrigento และภูเขาไฟ Etna ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่ โดยมีความสูงถึง 3,320 เมตร  และมีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป ถึงแม้แคว้นนี้จะดังเรื่องมาเฟีย แต่สำหรับพวกเรา ผู้คนใจดีและเป็นมิตรมาก ถึงแม้การสื่อสารจะเป็นปัญหาสำคัญ



อาหารขึ้นชื่อ คือปลา swordfish ไข่หอยเม่น ปลาซาดีน ปลาทูนา และอรันชินี (arancini) ซึ่งเป็นข้าวทอดยัดไส้ รวมถึง Cannoli (ขนมสอดใส้ชีสริคอตต้า) พิทาชิโอ ไวน์แดง ไวน์โรเซ่ ผลไม้ตระกูลส้ม และน้ำผึ้ง

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
-ค่าตั๋วเครื่องบิน  Malta-Catania    = 4300 บาท
-ค่าที่พัก (รวม tourist tax แล้ว)
    Valetta Airbnb 3 คืน   =  7700 บาท
    Catania 2 คืน  =  5000 บาท
    Agrigento 1 คืน = 4500 บาท
    Palermo 1 คืน  = 2400 บาท
- ค่าเดินทางใน malta = 715 บาท (รถบัส 10 เที่ยว + เรือข้ามฟาก)
- ค่าเดินทางระหว่างเมืองใน Sicily
     รถบัส Catania- Agrigento = 1,100 บาท
     รถไฟ Agrigento- Palermo =  610 บาท
     ค่ารถจากสนามบิน<> เมือง = 310 + 700 บาท
- ค่าไกด์ไป Etna- Taormina    = 7,900 บาท
- ค่าเข้าชมสถานที่ + ค่าอาหาร = 13500 บาท (กินทุกมื้อค่ะ)
โดยประมาณ 50,000 หรือ 25,000 บาทต่อคน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

วันแรก
เราเดินทางกันโดยสายการบิน lowcost ไปถึงท่าอากาศยานแห่งชาติ ซึ่งมีขนาดเล็กมาก การตรวจคนเข้าเมืองเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็วค่ะ คนเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นเป็นที่คุ้นเคยของชาวมอลทีส เนื่องจากไม่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าประเทศ

การเดินทาง จาก Airport ไปยังเมืองต่างๆสะดวกสบายมากค่ะ อย่างในกรณีของเราที่จะ ไป Valletta สามารถขึ้นรถ X4 โดยซื้อตั๋วจากคนขับเลยค่ะ การพักในตัวเมือง Valletta ทำให้ง่ายต่อการเดินทางไปรอบนอก เพราะสถานีขนส่งจะอยู่นอกกำแพงเมืองค่ะ นอกจากเมืองหลวงของมอลต้าแล้ว เมืองที่เป็นที่นิยมคือ Sliema และ  St.Julian ซึ่งค่าที่พักจะถูกกว่ามากค่ะ



เราพักกันที่ Airbnb ที่ west street ซึ่งอยู่ติดริมน้ำ ตรงข้ามกับฝั่ง Valletta ทำให้สามารถเห็นวิวสวยๆ จากบนหลังคาได้ค่ะ


ตัวเมืองสร้างในสมัยที่คณะอัศวิน St.John เข้ามาดูแลเมืองในช่วง ศตวรรษที่ 16 จึงมีรูปแบบของศิลปะกรรม Barouqe มาเต็มๆ ถึงแม้ว่าจะโดนระเบิดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทางมอลต้าก็ยังเก็บรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมไว้  







Grand Master Palace ซึ่งเป็นที่อำนวยการของเหล่าอัศวินในสมัยก่อนค่ะ ตอนนี้เปิดให้เข้าชมได้




ช่วงที่ไปเป็นช่วงคริสมาสค่ะ พอกลางคืนปุ๊บ แสงไฟและเสียงเพลงก็ตามมา ทั้งบนถนนหลัก หรือแม้แต่ซอยเล็กๆ





วันที่ 2
เราจะไปเมือง Rbat และ Mdina กัน โดยขึ้นรถบัสหมายเลข 52 จากสถานีค่ะ เมือง Mdina หรือ เอ็มดิน่า เป็นเมืองหลวงเก่า โดยที่ Rbat เป็นชานเมืองของ Mdina ถึงแม้บริเวณนี้ยังมีผู้คนอยู่อาศัยอยู่ แต่กลับได้ชื่อว่า Silent city เพราะว่าเงียบและสงบมากค่ะ








การเดินในเมืองเก่านี้ เราเข้าชมคุกใต้ดินตรงประตูเมือง ซึ่งบอกเรื่องราวของการถูกยึดครองของมอลต้าไว้โดยใช้หุ่น แสง และเสียงค่ะ ทีมงานของ Airbnb ที่ไปพักแนะนำให้ กินขนมร้านที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดในประเทศด้วย



ในฝั่งของ Rbat เราสามารถแวะเข้าชมโบสถ์ต่างๆได้ แต่เราได้รับการแนะนำจากคนท้องถิ่นให้เข้าชม St.Paul Catacomb (3.5 euro) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการฝังศพของโรมัน โดยหลุมฝังศพพวกนี้เชื่อมกับทางเดินใต้ดินซึ่งถูกทำไว้หลบภัย




ทางออกของทางเดินใต้ดิน คือ St.Paul Grotto ซึ่งเป็นเซนต์ที่ ชาวมอลทีสศรัทธา และถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาคริสตร์ในประเทศมอลต้า ถึงแม้ว่าท่านจะอยู่ในมอลต้าแค่ 3 เดือนค่ะ


เหลือร่องรอย fresco ให้ดูนิดนึง

ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงซึมซับประวัติศาสตร์และความเงียบ เรานั่งรถหมายเลข 202 ไป เมือง St.julian ซึ่งนักท่องเที่ยวเยอะมาก เหมือนอยู่คนละประเทศกับฝั่งเมืองหลวงเลยค่ะ ค่าอาหารถูกกว่ามากด้วย



เราสามารถเห็นเมืองหลวงจากที่นี่ และ นั่ง ferries ข้ามฝั่งกลับไปฝั่งเมืองหลวงได้ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่