Date กับ หนุ่ม Italian ผู้ชายที่ทำให้คุณรู้สึกถึง ความ Romantic

จากที่เคยเล่าถึงประสบการณ์ที่มาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอิตาลีไป 1 ปีเต็ม ก็ผ่านมาแล้ว 3 กระทู้
http://ppantip.com/topic/33418740
http://ppantip.com/topic/34776347
http://ppantip.com/topic/34780395
คงจะไม่กล่าวถึงเรื่องการเดทกับผู้ชายที่ประเทศนี้ไม่ได้ และตั้งแต่มาที่นี่ ก็ไม่เคยผิดหวังกับผู้ชายประเทศนี้จริงๆ  จากประสบการณ์ของเรา ที่ไม่ใช่ ชายจริง หญิงแท้ เป็นเรื่องของ เกย์ล้วนๆ แต่จะว่าไป จะเกย์หรือ ผู้ชายจริงๆ ก็คงไม่ต่าง ยิ้ม

เคยมีคำพูดนึงหลุดมาจากปากของใครไม่รู้ ซึ่งดูเหมือนไม่มีที่มา แต่ใครๆที่นี่ต่างก้รู้กันดีว่า "Never trust Italian guys"
อาจจะฟังดูโหดร้ายแต่ก็ดันเป็นความจริงที่ตัวเราเองก็ได้ค้นพบข้อเท็จจริงในประโยคบอกเล่านี้ที่บอกต่อๆกันมา  

ตัวเราผ่านการเดทกับผู้ชายมาค่อนข้างเยอะมาก หมายถึงเดทจริงๆนะ ไม่ใช่ One Night Stand ซึ่งอันนั้นเราไม่นับค่ะ ฮ่าๆ ทั้งไทย และ เทศ และการมาอยู่ที่มิลานเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองนั้น Exotic และหายาก อย่างบอกไม่ถูก ฮ่าๆสาวแว่น
อย่าเพิ่งหมันไส้กันไปนะคะ   เหมือนกับ เวลาคุณเห็นฝรั่ง 1 คนท่ามกลาง ผู้คนมากมายบนรถไฟฟ้า มีหรือที่จะไม่เป็นที่สะดุดตา  ถูกมั้ยคะ? และนั้นแหละ เป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเราเองเป็นที่อยากทำให้คนในประเทศนี้ อยากเข้ามาถามและทำความทักทาย

ผู้ชายอิตาเลียนเอง กับผู้หญิงเนี้ยจะปากหวานมาก ชอบเย้าแหย่ หรือไม่ก็ซื้อดอกไม้ให้ พร้อมกับพูดจาหวานชวนเลี่ยน
เราไปไหนกับเพื่อนผู้หญิงก็จะสังเกตเห็นได้ไม่แปลก ทั้งยักคิ้ว หลิ่วตา แต่พวกที่ทำพฤติกรรมแบบนี้มักจะค่อนข้างมีอายุหน่อยแหละนะ ไม่ก็พ่อหม้าย เพราะนิสัยพวกไก่อ่อนที่เพิ่งหัดขันจะค่อนข้างขี้อาย ต่อให้ใคร่อยากรู้มากแค่ไหนก็จะรอโอกาสที่เราจะเข้าไปทักทายเค้าก่อนนั้นเอง และด้วยปัญหาหลักของการสื่อสาร ที่ไม่ค่อยจะถนัดเรื่องของภาษาอังกฤษเท่าไหร่นัก นี่ยิ่งทำให้ผู้ชายอิตาเลียน รู้สึกเขินกันไปใหญ่ และคงไม่อยากรู้สึกปล่อยโป๊ะว่าตัวเองไม่รู้ภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองด้อยไปกว่าผู้หญิงนั้นเอง -จากหลักการเดา-
บอกแล้วคนไทยกับอิตาเลียนคล้ายๆกัน   ขี้เก๊กนั้นแหละเข้ามาดู

การมีแฟนเป็นผู้ชายอิตาเลียน คุณจะได้อะไรที่ดีๆ และ แย่ๆ ในเวลาเดียวกัน เช่น คุณจะมี Dinner แสนโรแมนติก หรือ วันหยุดที่สุดสัปดาห์ที่แสนพิเศษ คุณจะได้รับคำชมตลอดเวลา หรือ การเอาอกเอาใจแบบที่ว่าแทบจะถอดรองเท้าให้  ในขณะเดียวกันก็ ช่าง ดราม่า เหลือเกิน พูดเยอะบ้างจนน่ารำคาญ และขี้บ่น  และคุณไม่มีทางทำกับข้าวได้อร่อยเท่าฝีมือของคุณแม่ของพวกเขาแน่ๆ และแน่นอนว่า เจ้าชู้  บร๊ะเจ้าโจ๊ก

เอาเป็นว่าจะเล่าที่เด็ดๆให้อ่านกันแล้วกันนะคะ
เราเองก็เป็นคนที่ชอบฝรั่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยเที่ยวสนุกแบบไม่ผูกพันไปด้วย จริงๆหลายคนก็อยากจะจริงจังกับเรานะ แต่ว่าเราเป็นโรคจิต ไม่ชอบให้ใครมาชอบเราก่อน ฮ่าๆ  

เราไปงานแฟชั่นโชว์กับเพื่อนในคลาสเดียวกัน ก็เลยได้มีโอกาสเจอกับหนุ่มอิตาเลียนคนนึง เค้าเป็น ช่างภาพ และมาถ่ายรูปในงานแฟชั่นโชว์ นางก็เดินมาถ่ายรูปเรากับเพื่อนไม่หยุด

"You're  so  gorgeous I'm Dany "   เป็นไงล่ะ แค่ประโยคแรกก็สตั้นแล้ว
"Ohh Thank you   I'm """  Nice to meet you"

และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักกันครั้งแรก ซึ่งจะว่าไป Dany ไม่มีความเหมือนเกย์เลยสักนิด ไม่เหมือนเลย ไม่ได้ดูหล่อเหลาอะไรมาก แต่ดูสุภาพ สูง แต่งตัวดี และเหนียมอายมากกว่าคนอิตาเลียนทั่วไป

เกย์อิตาเลียนดูยากมาก เพราะส่วนมากจะมีหนวด แต่งตัวดี ต้องใช้การสังเกตแบบขั้น Sherlock homes ในการจำแนกเลยทีเดียว บางคนคิดว่าใช่แต่ก็ไม่ใช่ บางคนว่าไม่ใช่ แต่พอเต้นปุ๊ป สาวแตกแบบนิ่งกว่า

"Would you mind if I drive you home?"   นั้นไงหลอกถามที่อยู่เรา เท่

ซึ่งเราก็ไม่ได้ปฎิเสธอะไร  ที่พีคไปกว่านั้นก็คือ ก่อนขึ้นรถ ฮีมาเปิดประตูรถให้ด้วยจ้าาาา  นี่ทั้งแบบ อุ้ยย  เกิดมาไม่เคยมีผู้ชายที่เคยเดทด้วยคนไหนเปิดประตูรถให้เลยสักครั้ง นับว่าคนนี้เป็นคนแรกเลยทีเดียว

แฟชั่นโชว์จบตอน 2 ทุ่ม แต่กว่าจะถึงบ้านเราก็ไปไป ตี 4  !  แน่นอนว่าฮีเป็นคนคุยสนุก และทำให้เราอยากคุยด้วยโดยไม่น่าเบื่อเลยแม่แต่นิดเดียว  บทสนทนาก็ทั่วๆเหมือนๆกันทุกคน  เรามาจากไหน? เรามาทำอะไรที่นี่? ชอบประเทศนี้ไหม? บลาๆ ตามประสาคนเพิ่งรู้จัก และยิ่งเราเป็นต่างชาติด้วย รับรองเลยว่ายิ้มจะมีคำถามยิงมาให้คุณตอบแบบไม่ยั้ง ซึ่งก็กลายเป็นข้อดีไปว่าจะมีบทสนทนาที่คุยกันแบบไม่มีวันเบื่อ

มีอยู่บทสนทนานึงจำได้ขึ้นใจ และทำให้รู้สึกว่าทำไมคนประเทศนี้ถึงได้ปากหวานกันนัก

Dany : You must be have a lot of guys like you , don't you? you are so attractive.
with your skin, your black eyes ,tiny nose and beautiful lips.

(สาบานเลยว่า ผู้ชายไทยไม่เคยพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ยิ้มหาแต่คำติมาตลอด )
เรา : Thank you  but I never thought I am because in Thailand I was normal  they 'd rather be  white skin than tanned but I got tanned skin, and its true there have a lot of Italian people asked me for date, are they blind?

Dany : No they don't ...but because we have a good taste

O M G  แต่ก็ไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบ นี้ และก็ยังมีที่แบบ หนักกว่านี้ก็เยอะ

นี่มาแค่ซอฟ ๆ ใสๆ นะ มีเยอะกว่านี้อีก แต่จำได้ไหมหมด คือชม อยู่นั้นแหละ ชมจนจะแบบ เออสงสัยกูจะไปประกวดนางงามได้ว่ะ

ก็ต้องเอามาหารและชั่งน้ำหนักเอาเองละกัน อย่างที่เคยบอกไป คนที่นี่จะพูดแต่ข้อดี  เลี่ยงข้อเสีย ทำให้เรารู้สึกว่า เออชั้นคือ เจ้าหญิง สาวแว่น

ประมาณนั้น แต่ก็ไม่ได้มีอะไรกันนะ เพราะเหมือนกับว่าเค้าดูเป็นคนดีอะ แล้วเราก็ไม่ได้อยากจะรีบร้อนตัดเค้าไปจากชีวิต ก็คือเก็บไว้ให้รู้สึกดีเรื่อยๆไปก่อนดีกว่า ถ้ารีบร้อนอะไรไปเดี๋ยวมันจะลงเอยแบบที่เคยผ่านๆมา

แต่เราก็ไม่ได้ชอบอะไรมากนะ จนวันที่เค้า มาชวน เอ๊ย ต้องเรียกว่า ขอ ให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อน ช่วงวันหยุดที่ ฝรั่งเศส ตอนนั้นจำได้ว่า โอ้โห ชีลงทุนนะ

แบบ 1 อาทิตย์ที่ ฝรั่งเศส ที่เมือง Menton , Monaco ลแะ Nice เพราะว่าชีมีบ้านอยู่ Monaco ตอนนั้นแบบ โอ้โหห Monaco เลยนะ  จะรออะไรล่ะคะ ก็ตกลงไปตามระเบียบ  โดยชีจะขับรถไปจากมิลานนั้นเอง
แต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันบ่อย เจอกันบ่อยขึ้น อะไรๆมันโคตรจะแตกต่าง ทั้งวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความคิด มันเหมือนเรามาจากคนละด้านของโลก เช่นแบบ

ตะโกนถามเราด้วยน้ำเสียงแบบไม่พอใจตอนที่เราเอาไวน์แดงไปแช่ตู้เย็นต่อหน้าเพื่อนๆ  ตอนนั้นเราตกใจ และ โมโหมาก แต่ไม่ได้พูดอะไร คือมันอาย และขายหน้ามากๆที่ทำตัวแบบนั้นต่อหน้าทั้งเพื่อนเรา และเพื่อนเค้าFacepalm

หรือไม่ ทัศนคติการมาสาย เพราะ การที่คุณมาสาย แสดงว่าคุณเป็นคน สำคัญ
(ไม่รู้ว่าเป็นทุกคนหรือเปล่านะ แต่ยิ้มส่วนมาก สายทั้งประเทศ)

อีบ้า !! ทัศนคติต่ำมาก ตอนนั้นโมโหมากตอนที่แม่งงพูดแบบ นี้  หรือไม่กระทั่งการอวดร่ำรวย แบบทางอ้อม
อิตาเลียน ดีที่สุดในโลกบลาๆ  ตอนแรกก็พอทน แล้วที่เกลียดมากที่สุดคือไปหัวเราะ สำเนียงภาษาอังกฤษของคนฝรั่งเศส นี่แบบ เอิ่บบ  สำเนียงภาษาอังกฤษคนอิตาเลียน ไม่ได้ดีกว่าเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่ซึ่งก็ไม่ได้เถียงนะว่าอิตาลีก็ดีจริงๆ แต่พูดเลยว่าไม่ใช่ทั้งหมด มีขาว ก็ต้องมี ดำ

Dany : I dont know about fashion much but why there have a lot of Italian brands in the world???

เดี๋ยวๆ โฟกัสแคบไปหรือ เปล่า คือชีจะชอบถามแต่อะไรแบบนี้ ถามให้เราอวย ซึ่ง แค่บทสนทนานี้ก็เถียงกันจน หมูอบเย็น จนแข็ง

แต่หลังจากการไปฝรั่งเศสด้วยกัน นี่ พอเลย จบ เลย เพราะมันไม่ไหวจริงๆ
คือเราเป็นคนต้องกินข้าวเช้าไง  แต่ คนที่นี่ยิ้มไม่กิน
คือกินแค่ขนมปัง ครัวซองต์ กาแฟ โหหหห ใครจะไปแบกท้องให้ถึงตอนเที่ยงไหว แล้วยิ้มทำกับข้าวกันทีก็นาน กว่าจะได้กินมื้อเที่ยงก็ปาไป บ่าย 2 งี้ ชีจะก็พูดว่าแบบ ทำไมกินพาสต้าตอนเช้า  ทำไมกินข้าวตอนเช้า คนที่นี่เค้าไม่ทำกันนะ บลาๆ


หรือแม้แต่พฤติกรรมการขับรถของคนที่นี่ก็ตาม เป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้จริงๆ เกลียดและเครียดมาก ซึ่งข้อนี้ เรา พอรู้อยู่แล้ว เพราะว่าเพื่อนเราเป็นคนอิตาเลียนก็เป็น หรือบางทีเราข้ามถนน ก็ชอบได้ยินคนเปิดกระจกรถด่ากัน แต่การที่นั่งอยู่บนรถพร้อมคำด่า มันทำให้ประสาทจะแตก
คือการขับรถไป ด่าไป ตะโกนไป  คือทำเก่งนั้นแหละ พอเอาเข้าจริงๆก็ หัวหดค่ะ  น่าปวดหัว และเครียดมากตอนอยู่บนรถ คือปกติแล้วคนไทยไม่ค่อยเป็นนะคะ  ส่วนมากถ้าเป็นก็คือแบบ โอเค ด่าในรถ อี บลาๆ ๆๆๆ แล้วจบ แต่นี่คือมันมาทั้งเสียง สีหน้า มือไม้ท่าทางไปหมด และที่สำคัญ มันยาว !! และส่วนตัวเราเป็นคนค่อนข้างเก็บอารมณ์เก่งมาก และไม่ค่อยพูด ตรงกันข้ามกับนางที่เป็นคนแสดงอารมณ์ชัดเจน  แต่พอเราระเบิดปุ๊ป   จบเลยค่ะ ขว้างข้าวของใส่ซึ่งตอนที่ทะเลากันแรงๆก็ตอนอยู่ฝรั่งเศสด้วยนะ กะว่าจะออกจากบ้านชีแล้วไปหาโรงแรมเมืองอื่นนอนเอา Monaco ไม่กล้าเสี่ยงไปนอนค่ะฮ่าๆ ก็คิดหาทางออกอยู่หลายวิธี ระหว่างเก็บของ และเพื่อยื้อเวลาให้ชีมาง้อ :p แหะๆ และ ก็มาง้อนะ ฮ่าๆ

ตอนไปอยู่ฝรั่งเศส 1 อาทิตย์ ทะเลาะกันทุกวันค่ะ  ทะเลาะกันเป็นบ้า ทะเลาะกันแบบ ปวดหัวตุ๊บๆ
ตั้งแต่ขับรถไป  -ยิ้มมารับสาย
ไปกินข้าว - ไม่ช่วยมันตัดสินใจว่าอยากกินร้านไหน แล้วเผลอลืมตัวไปสั่งพาสต้ากินที่ฝรั่งเศส
ไปอาบแดด - กูร้อนแล้วชายหาดยิ้มเป็นหิน กูเจ็บค่ะ คลื่นทะเลยิ้มก็เศร้าๆ
ไปเล่นคาสิโน - เล่นไม่เป็นค่ะ
ไปดูพลุที่ NICE ตอนนั้นไม่รู้เทศกาลอะไร -ขับรถหลงทาง แล้วให้ อิชั้น ไปถามทางคนแถวนั้น เอิ่บบบบบบ ก็เกี่ยงกัน
ไปทำอาหารกินกัน - ยิ้มทำกันนานถึง3ชม หิวมาก หิวจนอิ่ม อิ่มควันเทียนค่ะ
หรือแม้แต่เข้าซุปเปอร์แล้วซื้อของ นางยังหาเรื่องทะเลาะได้
คือแบบ ภาพช่วงที่จีบกันแรกๆ หายไปหมดเลย

แต่ยังไงก็แล้วแต่ ชีก็ขอเราเป็นแฟน บอกรักเราอย่างนั้นโน้นนี่  ท่ามกลางลมทะเล และ โบสถ์ ริมหาด เห้อออ ส่วนเราอ่ะนะ เหล่ผู้ชายแถวนั้น แฮปปี้กว่า นางก็พยายามชมเราว่าเราดูดีตลอดทุกวันนะ ทั้งๆที่เราเองก็เกลียดไปแล้ว แล้วก็อยากกลับมิลานมากๆ ไม่อยากอยู่กับชีแล้ว  ต่อให้เราขว้างของใส่ชียังไง หรือพยายามจะเก็บของหนีชียังไง ชีก็ยังดีนะคะ ห้ามเราตลอด  และเราก็ไม่รู้จริงๆนะว่าถ้าเค้าเกิดโกรธเรามากๆจนไล่เราออกจากบ้านเค้าที่ฝรั่งเศส จะทำยังไงจนตอนนี้ชีก็ผ่านมาประมาณ 6 เดือนกว่าแล้ว ชีก็ยังติดต่อเรามาอยู่เรื่อยๆนะ  แถมไปเที่ยวประเทศไทยอีกด้วย

จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดใครหรอกค่ะ มันเป็นความผิดเราเองที่ไปเล่นกับเค้าและไปให้ความหวังกับเค้า ซึ่งเราก็คิดว่าเออ เค้าเป็นคนดี และสักวันจะทำใจให้ชอบเค้าได้ ซึ่ง เอาเข้าจริง เราก็หลอกตัวเองไม่ได้

ในขณะที่เค้า จีบเรา ไม่ใช่ว่าเค้าไม่คุยกับคนอื่นนะคะ เราเห็น และรู้ แต่เราไม่แคร์ค่ะ

ข้อดี เค้าก็มี แต่ข้อเสียก็เป็นเรื่องของทัศนคติซะส่วนมาก  จริงๆก็มีอีกหลายคนนะที่ทำดีกับเรา และพาเราไปเที่ยวนั้นโน้นนี่ พาไปกินdinner หรือ พาไปเที่ยววันหยุดสุดสัปดาห์ ที่แสนจะโรแมนติค  

จนกระทั่ง เราไปตกหลุมรักกับ real asshole Italian
ขอบอกเลยว่าคนนี้ Bad ass สุดๆ และทำให้เราฝังใจกับความรักครั้งนี้จนถึงขั้นเอามาเป็น Inspiration ในการทำวิทยานิพนธ์ตอนจบปริญญาโท  เป็นไงล่ะ เหมือนเวรกรรมมันตามเราทัน ก็เลยคิดว่าอาจจะหยุดซ่าไปสักพักนึง ซึ่งจริงๆแล้ว ก็หยุดมาสักพักแล้วล่ะ

เดี๋ยวเอาไว้มาเล่าต่อนะคะเรื่องของ BADASS

ทำงานอยู่ที่นี่มันหนักเป็นบ้าเลย เศร้า

ยังไงก็ถ้ามีข้อความไหนที่ทำให้ใครไม่พอใจเราต้องขอโทษด้วยนะคะ อยากจะมาเล่ามาแชร์ให้อ่านกันขำๆ กันเฉยๆ เนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์ ซึ่งเราก็ไม่ได้มีใคร และก็ยังง่วนกับการทำงาน และ อยากกลับไทยด้วย
ยังไงก็ขอให้ทุกคนมีความรักที่สมหวังนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่