หมายเหตุ: เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลองเขียนขึ้นโดยใช้ตัวละครเดิมจาก Dark Tales of London ของตัวเองที่ลงไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแต่เปลี่ยนจากสมัยศตวรรษที่ 19 มาดำเนินเรื่องในยุคปัจจุบันค่ะ
---------------------------------------------------------------
“ผมไม่คิดว่าจะได้เจอหมอที่นี่”
ผมบอก ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ระหว่างที่ขับรถสโกดาออคตาเวียออกจากสถานีตำรวจเซาธ์วอร์ค ที่ผมจอดรถฝากเอาไว้ และอาสาที่จะขับไปส่งเขาที่ WHRI หรือ สถาบันวิจัยวิลเลียม ฮาร์วีย์ มหาวิทยาลัยควีนแมรี่แห่งลอนดอน ซึ่งเป็นที่ตั้งของภาควิชานิติเวชวิทยา ที่ทำงานของเขา เพราะเขาเดินทางมาศาลด้วยแท็กซี่ เพื่อความรวดเร็วและไม่หลงทาง
เราพบกันโดยบังเอิญตรงเฉลียงทางเดินของศาลคราวน์คอร์ท เขาเป็นฝ่ายสังเกตเห็นและทักผมก่อน ซึ่งอาการดีใจและแสดงความเป็นมิตรอย่างเปิดเผยของเขาดูจะทำให้เฮอร์เบิร์ต มัลลิแกน อัยการในคดีที่เขาเบิกความในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญอ้าปากค้างด้วยความไม่คาดคิด แต่เมื่อสังเกตจากบรรยากาศระหว่างตัวอัยการและพยานในวันนี้ ผมคิดว่าเพื่อนของผมคนนี้คงทำให้ลูกขุนประทับใจอยู่ไม่น้อย และให้ปากคำที่เป็นผลดีกับฝ่ายโจทก์มากกว่าจำเลย
เขาดูแปลกตาอยู่ไม่น้อยในชุดสูทสีเทาเข้ม เสื้อเชิ้ตขาว และเนคไทสีฟ้า เพราะตามปกติแล้ว เขามักจะไม่สวมสูท แต่ใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีน และสวมคาร์ดิแกนหรือสเวตเตอร์เป็นบางครั้ง เพราะสะดวกกับการทำงานของเขามากกว่า ผมยอมรับว่า ตัวเองมองเขาอยู่นาน ก่อนที่จะรู้ตัวว่า เขาเองก็กำลังมองผมที่แต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติ และใส่เสื้อผ้าโทนสีเดียวกันอยู่ด้วยเช่นกัน
“นั่นสิครับ ผมกำลังคิดว่าจะกลับแท็กซี่หรือบัสอยู่ ก็เจอสารวัตรพอดี” โทบี้ ฟอล์กเนอร์ยิ้มรับ “สารวัตรแวะส่งผมที่ชานเซอรี่เลน แล้วกลับบ้านเลยก็ได้นะครับ เพราะวิทยาลัยมันไปคนละทางกับฟลีตสตรีท พรุ่งนี้ ผมค่อยไปเอาตำราที่ยืมมาจากห้องสมุดตอนเช้าก็ได้ คืนนี้ก็ทำงานอื่นไปก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้รีบร้อนอะไร แค่คิดว่าหลังจากจมอยู่ในห้องพิจารณาคดีทั้งวัน ผมควรหาอะไรดื่ม และถ้ามีเพื่อนดื่มด้วยก็คงจะดี” ผมว่า พร้อมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ “หมอว่างหรือเปล่า ผมคิดว่าจะไปคาเฟ่บีโลว์ที่ชีพไซด์ ครึ่งทางของควีนแมรี่กับบ้านเราพอดี”
แพทย์นิติเวชนิ่งคิดอยู่ไม่นาน ก็พยักหน้าตกลงอย่างง่าย ๆ “แสดงว่ามีเรื่องให้ฉลองเหรอครับ”
“หืม หมอหมายความว่าไง” ผมเหลือบตามองเขานิดหนึ่งก่อนขับรถขณะขับรถข้ามแม่น้ำเทมส์จากเซาธ์วอล์ก และตรงไปยังฝั่งอีสต์เอนด์ของลอนดอน
ข้อสังเกตของเขาน่าสนใจ เพราะวันนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดีควรค่าแก่การหาเรื่องฉลองจริง ๆ
“คาเฟ่บีโลว์มีชื่อเสียงเรื่องอาหารชุดสำหรับ Private Dining กับไวน์ดีและไม่แพงมาก ถ้าซื้อทั้งขวด คำว่าดื่มของสารวัตรไม่น่าจะหมายถึงเบียร์แน่ ๆ” โทบี้ ฟอล์กเนอร์บอกยิ้ม ๆ “อีกอย่าง ตั้งแต่เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในศาลมา น้อยครั้งมาก ที่ผมจะเห็นตำรวจเดินอารมณ์ดีออกมาจากห้องพิจารณาคดี ในขณะที่ทนายจำเลยเดินหน้าบูดออกมาแบบนั้น”
คำอธิบายของเขาทำให้ผมหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อนึกภาพทนายจำเลยขึ้นมาอีกครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นทนายจำเลยมือเก๋าที่เคยอัดเพื่อนร่วมงานของผมเละคาคอกพยาน ซักค้านผมเหมือนทนายที่เพิ่งว่าความเป็นครั้งแรกและถูกผู้พิพากษาเตือนและรับค้านจากพนักงานอัยการไปหลายรอบ มันเป็นความสะใจอย่างประหลาดที่ได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ชอบที่เขาทำหน้าที่ทนายจำเลยชนิดกัดไม่ปล่อยได้เสมอต้นเสมอปลายดี เพราะพยานหลักฐานทุกอย่างของเราชี้นิ้วไปที่จำเลยชนิดที่ไอ้หมอนั่นดิ้นไม่หลุด และเขาก็สู้จนถึงที่สุดแล้ว
“ทางหมอเองก็เถอะ การเบิกความเป็นพยานคงจะราบรื่นดี เพราะผมเห็นอัยการยิ้มร่าออกมาขนาดนั้น ลูกขุนคงจะเข้าข้างฝ่ายโจทก์มากกว่าจำเลย เท่าที่จำความได้ เดียน่า ทเวธส์ได้ชื่อว่า เป็นคนจุกจิกเรื่องการเลือกลูกขุนมากที่สุด”
“ไม่ใช่แค่ลูกขุนอย่างเดียว แต่เป็นทุกรายละเอียดที่อาจมีผลกับลูกขุนเลยละ ผมว่า”
แพทย์นิติเวชโคลงศีรษะไปมาด้วยอารมณ์ขันปนรำคาญ แต่ไม่ได้หงุดหงิดที่ความเป็นส่วนตัวถูกกระเทือนมากนัก ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับคดีของเธอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทเวธส์เป็นคนเก่ง มุ่งมั่น และหัวรั้นแบบเดียวกัน เขาเลยยอมอ่อนข้อให้ และเธอเองก็เก่งพอตัวที่รู้ว่าจะทำให้เขายอมรับได้อย่างไร
“เธออุตส่าห์โทรมาหาผมตอนเจ็ดโมงเช้าเพื่อที่จะย้ำเรื่องการแต่งตัวให้เรียบร้อยสมเป็นนักวิชาการ ซึ่งผมไม่รู้ว่า มันช่วยได้จริงหรือเปล่า ในเมื่อผมต้องอธิบายกระบวนการแอดิโพเซียร์ หรือ กระบวนการที่ไขมันในร่างกายแปรสภาพทำให้ศพกลายเป็นสบู่มนุษย์ จนศาลต้องพักการพิจารณาสิบห้านาที เพราะเห็นลูกขุนกับผู้นั่งฟังการพิจารณาเริ่มทนไม่ไหว”
“นั่นไม่ใช่อะไรที่ผมอยากฟังหลังจากทานอาหารกลางวัน หรือก่อนมื้อเย็นแน่ ๆ” ผมออกความเห็น “ผมไม่ได้ทำคดีนั่น แต่เท่าที่ฟังจากพีท เอเฮิร์นสารวัตรเจ้าของคดี ฆาตกรในคดีนั้นควรได้รางวัลอิกโนเบลจากความพยายามทดลองทำสบู่มนุษย์แล้วได้ผลเหมือนเดิมทุกครั้ง”
ความเห็นของผมทำให้โทบี้ ฟอล์กเนอร์ที่นั่งฟังอยู่หลุดหัวเราะพรืดใหญ่ ก่อนจะกล่าวขอโทษ... เป็นความรู้สึกผิดกับเหยื่อมากกว่าอย่างอื่น แต่ผมรู้ว่า การมอบอิกโนเบล หรือ รางวัลโนเบลสำหรับงานวิจัยสร้างสรรค์แต่ออกนอกลู่นอกทางและคาบเส้นระหว่างคำว่าฉลาดสุด ๆ กับ เพี้ยนจนไม่คิดว่าจะมีใครบ้าทำ
งานของเราสองคนไม่มีอะไรที่น่ารื่นรมย์ ศพสารพัดรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งในนั้น การมองดูและพูดถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยความเคยชินอาจเป็นเรื่องน่ากลัว และอาจเป็นเรื่องชวนขนลุกยิ่งขึ้น ถ้าพวกเขารู้ว่า เรายังสามารถใช้ชีวิตปกติต่อไปได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอนหลับกินอาหารได้เหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไร อย่างไรก็ตาม การที่เรายังหัวเราะกับเรื่องเหล่านี้ได้ บางครั้ง ก็เป็นแค่การระบายหรือปลดปล่อยความเครียดจากการทำงานเหล่านี้อย่างหนึ่ง
“ผมเพิ่งเห็นว่า วันนี้ สารวัตรสวมแหวนแต่งงาน” เขาทักขึ้น เมื่อหยุดหัวเราะได้ และเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ผมเลี้ยวเข้าถนนอัลลี่สตรีทที่จะผ่านไปทางไวท์ชาเพล
คำพูดของเขาทำให้ผมอดมองแหวนทองเกลี้ยงที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของผมเองไม่ได้... เขาพูดถูก ผมสวมแหวนแต่งงานของผมกับแมรี่ ภรรยาที่จากไปเมื่อสิบปีที่แล้วไปศาลจริง ๆ
“หมอจะเรียกว่า ที่พึ่งทางใจก็ได้” ผมตอบเขาตามความรู้สึกของตัวเอง “ผมใส่แหวนแต่งงานทุกครั้งที่ไปศาล มันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้สู้อยู่ตัวคนเดียว... แต่มันอาจเป็นผลทางจิตวิทยากับลูกขุนที่ทำให้พวกเขาฟังผมด้วยก็ได้”
ดร. ฟอล์กเนอร์เลิกคิ้วน้อย ๆ หันมามองผมนิดหนึ่งด้วยท่าทีสนใจ
“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ลูกขุนเห็นผมสวมแหวนแต่งงาน พวกเขาก็จะรู้สึกว่า ผมเองก็เป็นสามี เป็นพ่อเหมือน ๆ กับพ่อของเหยื่อ สามีของเหยื่อ หรือทำงานอย่างเข้าใจคนในครอบครัวที่สูญเสียด้วยเหมือนกัน...” ผมยิ้ม “ที่ทเวธส์จ้ำจี้จ้ำไชให้หมอแต่งตัวเนี้ยบ ๆ ก็ด้วยเหตุผลอย่างนี้ อย่างน้อยมันก็ช่วยด้านความรู้สึกของคนฟังได้ เธอตาถึงนะ ที่เลือกโทนสีฟ้าให้หมอ”
และเธอคงสนุกด้วยที่ได้โอกาสจับเขาแต่งตัว แล้วหนุ่มเนิร์ดที่ขึ้นชื่อว่าเก็บเนื้อเก็บตัวที่สุดคนที่ว่าก็ดันยอมเสียด้วยสิ เธอคงนับเป็นชัยชนะครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ยิ่งกว่าชนะคดีซะอีก... ผมนึกในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมาให้เขาได้ยิน
“ผมควรต้องขอบคุณเธอสินะ” เขาทำเสียงหึในลำคอ ซึ่งใกล้เคียงกับเสียงหัวเราะมากกว่าประชด “ตอนแรก ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ตัวเองต้องไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือพยานผู้เชี่ยวชาญกันแน่ ที่ยอมเธอ เพราะความอยากรู้อยากเห็นคำเดียวจริง ๆ”
คนที่นั่งข้างผมหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมา “แต่ผมไม่คิดว่าสารวัตรเลือกใส่สีฟ้าด้วยเหตุผลเดียวกัน”
เป็นอีกครั้งที่เขาพูดถูก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นอะไรจากตัวผมที่ทำให้เขาคิดอย่างนั้น
“วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของผมกับแมรี่” ผมบอก “มันแปลกดีเหมือนกันนะ วันแต่งงาน เธอเลือกสวมชุดสีขาวแซมด้วยฟ้าอ่อน และใช้ธีมสีน้ำเงิน แต่สีนั้นก็เหมาะกับเธอดี”
“Married in White, You have chosen right. Married in Blue, Your lover is true.”
(มีต่ออีกนิดนะคะ)
Dark Tales of London - Married in Blue
“ผมไม่คิดว่าจะได้เจอหมอที่นี่”
ผมบอก ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ระหว่างที่ขับรถสโกดาออคตาเวียออกจากสถานีตำรวจเซาธ์วอร์ค ที่ผมจอดรถฝากเอาไว้ และอาสาที่จะขับไปส่งเขาที่ WHRI หรือ สถาบันวิจัยวิลเลียม ฮาร์วีย์ มหาวิทยาลัยควีนแมรี่แห่งลอนดอน ซึ่งเป็นที่ตั้งของภาควิชานิติเวชวิทยา ที่ทำงานของเขา เพราะเขาเดินทางมาศาลด้วยแท็กซี่ เพื่อความรวดเร็วและไม่หลงทาง
เราพบกันโดยบังเอิญตรงเฉลียงทางเดินของศาลคราวน์คอร์ท เขาเป็นฝ่ายสังเกตเห็นและทักผมก่อน ซึ่งอาการดีใจและแสดงความเป็นมิตรอย่างเปิดเผยของเขาดูจะทำให้เฮอร์เบิร์ต มัลลิแกน อัยการในคดีที่เขาเบิกความในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญอ้าปากค้างด้วยความไม่คาดคิด แต่เมื่อสังเกตจากบรรยากาศระหว่างตัวอัยการและพยานในวันนี้ ผมคิดว่าเพื่อนของผมคนนี้คงทำให้ลูกขุนประทับใจอยู่ไม่น้อย และให้ปากคำที่เป็นผลดีกับฝ่ายโจทก์มากกว่าจำเลย
เขาดูแปลกตาอยู่ไม่น้อยในชุดสูทสีเทาเข้ม เสื้อเชิ้ตขาว และเนคไทสีฟ้า เพราะตามปกติแล้ว เขามักจะไม่สวมสูท แต่ใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีน และสวมคาร์ดิแกนหรือสเวตเตอร์เป็นบางครั้ง เพราะสะดวกกับการทำงานของเขามากกว่า ผมยอมรับว่า ตัวเองมองเขาอยู่นาน ก่อนที่จะรู้ตัวว่า เขาเองก็กำลังมองผมที่แต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติ และใส่เสื้อผ้าโทนสีเดียวกันอยู่ด้วยเช่นกัน
“นั่นสิครับ ผมกำลังคิดว่าจะกลับแท็กซี่หรือบัสอยู่ ก็เจอสารวัตรพอดี” โทบี้ ฟอล์กเนอร์ยิ้มรับ “สารวัตรแวะส่งผมที่ชานเซอรี่เลน แล้วกลับบ้านเลยก็ได้นะครับ เพราะวิทยาลัยมันไปคนละทางกับฟลีตสตรีท พรุ่งนี้ ผมค่อยไปเอาตำราที่ยืมมาจากห้องสมุดตอนเช้าก็ได้ คืนนี้ก็ทำงานอื่นไปก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่ได้รีบร้อนอะไร แค่คิดว่าหลังจากจมอยู่ในห้องพิจารณาคดีทั้งวัน ผมควรหาอะไรดื่ม และถ้ามีเพื่อนดื่มด้วยก็คงจะดี” ผมว่า พร้อมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ “หมอว่างหรือเปล่า ผมคิดว่าจะไปคาเฟ่บีโลว์ที่ชีพไซด์ ครึ่งทางของควีนแมรี่กับบ้านเราพอดี”
แพทย์นิติเวชนิ่งคิดอยู่ไม่นาน ก็พยักหน้าตกลงอย่างง่าย ๆ “แสดงว่ามีเรื่องให้ฉลองเหรอครับ”
“หืม หมอหมายความว่าไง” ผมเหลือบตามองเขานิดหนึ่งก่อนขับรถขณะขับรถข้ามแม่น้ำเทมส์จากเซาธ์วอล์ก และตรงไปยังฝั่งอีสต์เอนด์ของลอนดอน
ข้อสังเกตของเขาน่าสนใจ เพราะวันนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดีควรค่าแก่การหาเรื่องฉลองจริง ๆ
“คาเฟ่บีโลว์มีชื่อเสียงเรื่องอาหารชุดสำหรับ Private Dining กับไวน์ดีและไม่แพงมาก ถ้าซื้อทั้งขวด คำว่าดื่มของสารวัตรไม่น่าจะหมายถึงเบียร์แน่ ๆ” โทบี้ ฟอล์กเนอร์บอกยิ้ม ๆ “อีกอย่าง ตั้งแต่เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในศาลมา น้อยครั้งมาก ที่ผมจะเห็นตำรวจเดินอารมณ์ดีออกมาจากห้องพิจารณาคดี ในขณะที่ทนายจำเลยเดินหน้าบูดออกมาแบบนั้น”
คำอธิบายของเขาทำให้ผมหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อนึกภาพทนายจำเลยขึ้นมาอีกครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นทนายจำเลยมือเก๋าที่เคยอัดเพื่อนร่วมงานของผมเละคาคอกพยาน ซักค้านผมเหมือนทนายที่เพิ่งว่าความเป็นครั้งแรกและถูกผู้พิพากษาเตือนและรับค้านจากพนักงานอัยการไปหลายรอบ มันเป็นความสะใจอย่างประหลาดที่ได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ชอบที่เขาทำหน้าที่ทนายจำเลยชนิดกัดไม่ปล่อยได้เสมอต้นเสมอปลายดี เพราะพยานหลักฐานทุกอย่างของเราชี้นิ้วไปที่จำเลยชนิดที่ไอ้หมอนั่นดิ้นไม่หลุด และเขาก็สู้จนถึงที่สุดแล้ว
“ทางหมอเองก็เถอะ การเบิกความเป็นพยานคงจะราบรื่นดี เพราะผมเห็นอัยการยิ้มร่าออกมาขนาดนั้น ลูกขุนคงจะเข้าข้างฝ่ายโจทก์มากกว่าจำเลย เท่าที่จำความได้ เดียน่า ทเวธส์ได้ชื่อว่า เป็นคนจุกจิกเรื่องการเลือกลูกขุนมากที่สุด”
“ไม่ใช่แค่ลูกขุนอย่างเดียว แต่เป็นทุกรายละเอียดที่อาจมีผลกับลูกขุนเลยละ ผมว่า”
แพทย์นิติเวชโคลงศีรษะไปมาด้วยอารมณ์ขันปนรำคาญ แต่ไม่ได้หงุดหงิดที่ความเป็นส่วนตัวถูกกระเทือนมากนัก ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับคดีของเธอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทเวธส์เป็นคนเก่ง มุ่งมั่น และหัวรั้นแบบเดียวกัน เขาเลยยอมอ่อนข้อให้ และเธอเองก็เก่งพอตัวที่รู้ว่าจะทำให้เขายอมรับได้อย่างไร
“เธออุตส่าห์โทรมาหาผมตอนเจ็ดโมงเช้าเพื่อที่จะย้ำเรื่องการแต่งตัวให้เรียบร้อยสมเป็นนักวิชาการ ซึ่งผมไม่รู้ว่า มันช่วยได้จริงหรือเปล่า ในเมื่อผมต้องอธิบายกระบวนการแอดิโพเซียร์ หรือ กระบวนการที่ไขมันในร่างกายแปรสภาพทำให้ศพกลายเป็นสบู่มนุษย์ จนศาลต้องพักการพิจารณาสิบห้านาที เพราะเห็นลูกขุนกับผู้นั่งฟังการพิจารณาเริ่มทนไม่ไหว”
“นั่นไม่ใช่อะไรที่ผมอยากฟังหลังจากทานอาหารกลางวัน หรือก่อนมื้อเย็นแน่ ๆ” ผมออกความเห็น “ผมไม่ได้ทำคดีนั่น แต่เท่าที่ฟังจากพีท เอเฮิร์นสารวัตรเจ้าของคดี ฆาตกรในคดีนั้นควรได้รางวัลอิกโนเบลจากความพยายามทดลองทำสบู่มนุษย์แล้วได้ผลเหมือนเดิมทุกครั้ง”
ความเห็นของผมทำให้โทบี้ ฟอล์กเนอร์ที่นั่งฟังอยู่หลุดหัวเราะพรืดใหญ่ ก่อนจะกล่าวขอโทษ... เป็นความรู้สึกผิดกับเหยื่อมากกว่าอย่างอื่น แต่ผมรู้ว่า การมอบอิกโนเบล หรือ รางวัลโนเบลสำหรับงานวิจัยสร้างสรรค์แต่ออกนอกลู่นอกทางและคาบเส้นระหว่างคำว่าฉลาดสุด ๆ กับ เพี้ยนจนไม่คิดว่าจะมีใครบ้าทำ
งานของเราสองคนไม่มีอะไรที่น่ารื่นรมย์ ศพสารพัดรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งในนั้น การมองดูและพูดถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยความเคยชินอาจเป็นเรื่องน่ากลัว และอาจเป็นเรื่องชวนขนลุกยิ่งขึ้น ถ้าพวกเขารู้ว่า เรายังสามารถใช้ชีวิตปกติต่อไปได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอนหลับกินอาหารได้เหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไร อย่างไรก็ตาม การที่เรายังหัวเราะกับเรื่องเหล่านี้ได้ บางครั้ง ก็เป็นแค่การระบายหรือปลดปล่อยความเครียดจากการทำงานเหล่านี้อย่างหนึ่ง
“ผมเพิ่งเห็นว่า วันนี้ สารวัตรสวมแหวนแต่งงาน” เขาทักขึ้น เมื่อหยุดหัวเราะได้ และเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ผมเลี้ยวเข้าถนนอัลลี่สตรีทที่จะผ่านไปทางไวท์ชาเพล
คำพูดของเขาทำให้ผมอดมองแหวนทองเกลี้ยงที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของผมเองไม่ได้... เขาพูดถูก ผมสวมแหวนแต่งงานของผมกับแมรี่ ภรรยาที่จากไปเมื่อสิบปีที่แล้วไปศาลจริง ๆ
“หมอจะเรียกว่า ที่พึ่งทางใจก็ได้” ผมตอบเขาตามความรู้สึกของตัวเอง “ผมใส่แหวนแต่งงานทุกครั้งที่ไปศาล มันทำให้ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้สู้อยู่ตัวคนเดียว... แต่มันอาจเป็นผลทางจิตวิทยากับลูกขุนที่ทำให้พวกเขาฟังผมด้วยก็ได้”
ดร. ฟอล์กเนอร์เลิกคิ้วน้อย ๆ หันมามองผมนิดหนึ่งด้วยท่าทีสนใจ
“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ลูกขุนเห็นผมสวมแหวนแต่งงาน พวกเขาก็จะรู้สึกว่า ผมเองก็เป็นสามี เป็นพ่อเหมือน ๆ กับพ่อของเหยื่อ สามีของเหยื่อ หรือทำงานอย่างเข้าใจคนในครอบครัวที่สูญเสียด้วยเหมือนกัน...” ผมยิ้ม “ที่ทเวธส์จ้ำจี้จ้ำไชให้หมอแต่งตัวเนี้ยบ ๆ ก็ด้วยเหตุผลอย่างนี้ อย่างน้อยมันก็ช่วยด้านความรู้สึกของคนฟังได้ เธอตาถึงนะ ที่เลือกโทนสีฟ้าให้หมอ”
และเธอคงสนุกด้วยที่ได้โอกาสจับเขาแต่งตัว แล้วหนุ่มเนิร์ดที่ขึ้นชื่อว่าเก็บเนื้อเก็บตัวที่สุดคนที่ว่าก็ดันยอมเสียด้วยสิ เธอคงนับเป็นชัยชนะครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ยิ่งกว่าชนะคดีซะอีก... ผมนึกในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมาให้เขาได้ยิน
“ผมควรต้องขอบคุณเธอสินะ” เขาทำเสียงหึในลำคอ ซึ่งใกล้เคียงกับเสียงหัวเราะมากกว่าประชด “ตอนแรก ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ตัวเองต้องไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือพยานผู้เชี่ยวชาญกันแน่ ที่ยอมเธอ เพราะความอยากรู้อยากเห็นคำเดียวจริง ๆ”
คนที่นั่งข้างผมหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมา “แต่ผมไม่คิดว่าสารวัตรเลือกใส่สีฟ้าด้วยเหตุผลเดียวกัน”
เป็นอีกครั้งที่เขาพูดถูก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นอะไรจากตัวผมที่ทำให้เขาคิดอย่างนั้น
“วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของผมกับแมรี่” ผมบอก “มันแปลกดีเหมือนกันนะ วันแต่งงาน เธอเลือกสวมชุดสีขาวแซมด้วยฟ้าอ่อน และใช้ธีมสีน้ำเงิน แต่สีนั้นก็เหมาะกับเธอดี”
“Married in White, You have chosen right. Married in Blue, Your lover is true.”
(มีต่ออีกนิดนะคะ)