" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 7 : จุดเปลี่ยนแรกชีวิตแอร์ ✈️✨ "

สวัสดีค่ะ วันนี้เจ้าของกระทู้มาลงภาคต่อเรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 7 นะคะ ไม่รู้ว่าจะยังติดตามกันอยู่หรือเปล่าเอ่ย😢 ตอนนี้จะมาเล่าจุดหักเหแรกของการใช้ชีวิตและแนวคิดช่วงเป็นแอร์นะคะ หวังว่าจะไม่ยาวหรือสั้นจนเกินไป ยังไงมีคอมเมนต์อะไรติชมกันได้นะคะ เริ่มเลยละกันกับ " เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 7 : จุดเปลี่ยนแรกชีวิตแอร์ ✈️✨ " ค่ะ

"  3 เดือนผ่านไป..
หลังจากจบไฟลท์เจนีวาในวันนั้นด้วยดี ชีวิตเราก็เข้าสู่โหมดมนุษย์ตารางบินเต็มขั้นตอน นั่นคือทุกความสุข ความทุกข์ ล้วนมาจากไฟลท์และตารางบินที่ได้ทั้งสิ้น
.. ไม่มีอย่างอื่นเลย อย่างที่ฝรั่งเค้าเรียกกันว่า No Life ฝุดๆ

คือทุกวันที่ 23 ของเดือน ก็จะเริ่มไม่เป็นอันทำอะไร กดตารางบินซ้ำมาซ้ำไป เพื่อหวังว่าจะขึ้นข้อความสีแดงแจ้งว่าตารางบินใหม่ออกแล้ว และเราจะได้ไปที่ไหนบ้าง? จะได้ไปประเทศที่เราขอเอาไว้หรือไม่? แล้วถ้าได้ไป ก็จะดีใจประมาณหนึ่งสัปดาห์ และจะรอแต่ไฟลท์นั้นทั้งเดือน
เรียกว่าไฟลท์ที่ขอแล้วได้ก็จะเป็นพระเอกของชีวิต ส่วนไฟลท์ที่เหลือก็จะเป็นตัวประกอบ แบบว่า.. ไปทำงาน ไม่ได้รู้สึกว่าได้ไปเที่ยวอีกต่อไป
ส่วนไฟลท์เจนีวาน่ะเหรอ?? หลังจากกรี๊ดวิ่งพุ่งหลาวไปหาน้ำพุในคราวนั้น บริษัทก็คงพบว่า เด็กคนนี้ชอบเจนีวามาก เลยจัดเจนีวาให้เราไปอีก 3 ครั้งในเดือนถัดไป

แต่มนุษย์หนอมนุษย์ อะไรที่ไปหลายๆครั้งมากเกินไป ความตื่นเต้นก็เริ่มหดหาย ถ้าเปรียบเป็นความรักหญิงชายก็คือหมดโปรนั่นเอง คือชั้นไปหาเทอว์แบบใจไม่ไหวสั่นละนะ (ว่าไปนั่น.. - -")

และในเดือนนี้ หนึ่งความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่เราต้องเผชิญก็คือ อาคารที่พักลูกเรือแห่งใหม่ของบริษัทได้เป็นอันก่อสร้างแล้วเสร็จ และลูกเรือทุกคนที่กำลังพำนักอยู่ตามโรงแรมต่างๆทั่วเมืองก็ได้เวลาย้ายเข้ามาอยู่ที่ตึกใหม่นี้กันตามระเบียบ
นับเป็น Talk of The Town เรื่องอาคารใหม่แห่งนี้ จะไปบินไฟลท์ไหน ตั้งแต่มานั่งรอรถ หรือเหยียบเข้ารถตู้ ก็จะมีแอร์หรือสจ๊วตอย่างน้อยหนึ่งนางเปิดประเด็นถึงอาคารแห่งใหม่นี้ขึ้นมา
หลายๆคนล้วนต่างตื่นเต้นและดีใจ เหตุเพราะอาคารนี้มีความทันสมัย "ที่สุด" ในยุคนั้น ใหม่ที่สุด ใหญ่ที่สุด และใจกลางเมืองที่สุดเลยก็ว่าได้ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จะไปยิม สระว่ายน้ำ จากุซซี่ แม้แต่กีฬาอื่นๆอย่างเช่น สควอซ หรือบาสเก็ตบอล ที่มีสนามจัดไว้ให้หมด

แต่คนคนเดียวไม่ตื่นเต้นและดีใจเลย น่าจะเป็น "เรา"
เพราะเทียบกับการได้อยู่ห้องสวีทที่มีทั้งครัว ห้องรับแขก และเครื่องซักผ้าส่วนตัวแล้วนั้น บัดนี้ทุกๆอย่างคือ "ส่วนรวม"
เฉพาะแชร์ครัวกับเพื่อนร่วมห้องอีก 2 คน ก่อนออกจากห้อง เราจึงมักต้องเงี่ยหูฟังให้ดีว่าไม่มีใครใช้ครัวอยู่ แล้วจึงเดินออกไปทำกับข้าว
  ..พอความเป็นส่วนตัวหดหาย เราจึงเริ่มเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอน

ในตอนนั้นเรายังยึดติดอยู่กับนิสัยเดิมๆสมัยที่ยังอยู่เมืองไทยตามประสาพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่แต่งหน้า ไม่แต่งตัว และไม่กล้าใช้ตังค์!
คิดถึงสมัยนั้นแว๊บขึ้นมาในหัว.. ค่าใช้จ่ายพนักงานออฟฟิศในแต่ละวัน ทั้งค่าเดินทาง(มอเตอร์ไซค์) หมูย่างข้าวเหนียวรอบเช้า ทานข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน กินกาแฟถุงข้างทาง และบางทีก็มีข้าวเย็นกับเพื่อนอีก คือหลายร้อย ในขณะที่รายได้รายวันโดยเฉลี่ยตกอยู่ที่ 600 บาทเท่านั้น ตึงเปรี๊ยะสุดๆ!
อย่าได้พูดถึงแบรนด์หรูหรือแม้แต่เครื่องสำอางค์ราคาเกิน 500 บาทเลย เสื้อผ้าทุกตัวที่ใส่ล้วนมาจากตลาดนัดข้างออฟฟิศทั้งสิ้น ส่วนเสื้อตัวเก่งของเราน่ะเหรอ.. เสื้อเหลืองเรารักในหลวงเลย ถึงแม้บริษัทจะไม่บังคับให้ใส่ แต่เราบัญญัติให้กลายเป็นยูนิฟอร์มประจำตัวเราในทุกวันจันทร์มาตลอด 2 ปีเต็ม

จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่เดินเข้าร้าน Watson ที อยากได้เครื่องสำอาง หยิบรองพื้นแบบครีม Maybelline รุ่นใหม่สมัยนั้นขึ้นมาจับแล้วจับอีก อยากได้.. แต่เสียดายเงิน พอซื้อครีมของ L'Oréal มาขวดนึงนี่ยิ้มละนะ แบบว่าภูมิใจ ได้ใช้ของดี!

ส่วนเงินเดือนที่เป็นอาจารย์เราไม่เคยแตะ ได้เท่าไหร่ให้แม่กับป๊าหมด เพราะเราอยากจะเป็นแบบอย่างให้น้องๆดู
ดังนั้น ในวันนี้ที่เราติดปีก ชีวิตก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม เก็บเงินบางส่วนเอาไว้ซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์กลับบ้าน บางส่วนเอาไว้แลกเงินซื้อข้าวเวลาไปลงต่างประเทศ และส่วนสำคัญคือ เก็บไว้ซื้อของฝากให้ที่บ้าน
.. ที่เหลือทั้งหมด คือเก็บส่งกลับบ้าน

ในขณะที่เรากำลังนั่งทอดถอนใจอยู่ในห้องใหม่ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาสดๆร้อนๆนั้น มือเราก็ปัดไปโดนมือถือที่ตั้งเอาไว้ข้างกาย เราจึงหยิบมันขึ้นมาเพื่อเปิดดูรูปในอัลบั้มภาพ
กดดูรูปเก่าๆไป.. น้ำตาไหลไป ดูไป.. น้ำตาไหลไป
คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ คิดถึงน้อง คิดถึงอาม่า นี่ตูมาอยู่คนเดียวทำไมฟะ
ค่าบัตรโทรศัพท์ 200 บาท โทรได้นานแค่ 20 นาที และที่บ้านเล่นคอมก็ไม่เป็น อย่าได้คิดว่าจะชวนเล่นสไกป์ได้ เดือนนี้หมดเงินไปหลายพันกับค่าโทร ฉะนั้น จะโทรพร่ำเพรื่อด้วยความเหงาไม่ได้.. เราจะต้องอดทน ตั้งใจอุตสาหะทำงานหนักมาจนบัดนี้โดยไม่มีคอมเพลนต์เลยสักครั้ง แม้นจะเจอกับคนมากมายนับร้อยชาติร้อยภาษาเลยก็ตาม จะมาแพ้เอากับแค่ความเหงาหรือ?!

จวบจนวันนี้ อยู่ที่นี่มาแล้ว 5 เดือน ผ่านไปแต่ละวันที่หยุดก็คือเหมือนกันทุกวัน
~ เก็บตัว เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เขียนไดอารี่ อ่านหนังสือ ซื้อของเข้ามากินในห้อง มีนัดทานข้าวกับเพื่อนบ้างประปรายแต่ก็ไม่บ่อย เพราะกว่าจะเทียบตารางมาเจอกันได้ เราก็เปลี่ยนใจ ออกไปหาซื้ออะไรมากินที่ห้องคนเดียวน่าจะง่ายกว่า..

เวลาเราจะลงไปซื้อข้าวทีก็ต้องหลบลูกเรือต่างชาติที เพราะอาย แต่ละนางนี่.. นึกว่าดาราฮอลลีวูด มันจะสวยไปไหน! แล้วอยู่บ้าน แต่งตัวอะไรกันขนาดนี้ แม็กซี่เดรส แว่นกันแดด Prada, Gucci ใส่เพื่อ?? ต้องอย่างเรานี่ สบายๆ ใส่เสื้อยืดยี่ห้อ Lee ของปลอมตัวใหญ่กับกางเกงผูกเอวขาสามส่วน ..คือ Real อยู่บ้านคืออยู่บ้าน

ซื้อข้าวเสร็จ งานอดิเรกของเราก็คือเปิดเพลงจาก Laptop ฟังคลอตอนกินข้าว แต่ในระยะนี้เริ่มมีอาการแทรกซ้อนคือ น้ำตามันเริ่มไหลง่ายมากกกับเพลงเกี่ยวกับบ้าน เช่นเพลง "เด็กบ้านนอก" ของฟลุค วงไอน้ำ ขนาดสวดมนต์ น้ำตาก็ไหล..
"อืมม.. มันเริ่มไม่ใช่แล้วล่ะ เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว" เราเริ่มเตือนตัวเองในใจ ไม่งั้นบ้าก่อนครบปีแน่ เพราะเราลาออกไม่ได้ ตั้งใจว่าจะบินให้ได้ครบ 5 ปี เราจะไม่ให้ใครมองว่าเราเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเป็นอันขาด สู้!

แล้ววันหนึ่ง.. เราก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง

"เราคงต้องรักตัวเองซะบ้าง" ประโยคนี้จู่ๆก็ลั่นขึ้นมาในใจในขณะที่กำลังนั่งจิบกาแฟและละเมียดคุ้กกี้อยู่บนโต๊ะไม้สีขาวที่เราประกอบเองจาก IKEA ขณะกำลังฟังเพลง The day we find love ของวง 911 อยู่ในห้อง
ไม่มีใครเตือน และไม่รู้มันมาได้ไง ไม่ใช่จิตหลอนแต่มันคือทางสว่าง!

เหลือบหันไปมองกระจกบานสูงขนาด 1 เมตรที่อยู่ตรงหน้า โอ้ว.. ไม่
จากคนที่เคยผิวใสขาวโอโม่ บัดนี้ หน้าได้ตกสะเก็ดเหมือนไปเลี้ยงม้าที่ทะเลทรายโกบีในมองโกเลียมากว่า 1 เดือน ..คือเยิน คือแตกร้าว คือริ้วรอยวัยกลางคนควรมีอันไหน เรามาเต็มจัดหนักกว่าคนรุ่นเดียวกันนัก
"เพิ่งจะ 24 เองนะ" เราเริ่มเบะปาก มองบนแรง

อึก! วางแก้วกาแฟ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปดูกระจกใกล้ๆ
"ความเครียดมันทำร้ายเราได้ขนาดนี้เลยหรอ? อาจจะเป็นเพราะเราแพ้น้ำด้วยมั้ง"
ไม่ได้การณ์ล่ะ! เราต้องทาครีม เหลือบไปดูครีมที่มีอยู่ หมดอายุยังวะ.. หิ้วมาจากกรุงเทพเมื่อ 5 เดือนก่อนยังไง ตอนนี้ก็มีอยู่เท่านั้น จะเช้า จะก่อนนอน จะเปลี่ยนฤดูก็ทามันขวดเดียว อุปกรณ์แต่งหน้าก็มีอยู่ 4 ชิ้น รองพื้น Maybelline กับลิปสติค อายแชโดว์ อายไลน์เนอร์ของ In2It ชิ้นละร้อยกว่าบาท - เป็นอันเสร็จสิ้น เพราะคิ้วทาไม่เป็น

ภาพแอร์ๆนางต่างๆที่สวยสะเด็ดญาติก็ลอยเข้ามาในหัว สวยจนเราเกรงใจไม่กล้าเดินผ่าน แต่ทำไมทุกนางถึงดูดีอินเตอร์เหมือนในทีวีเลย แล้วทำไมเราเหมือนจัณฑาล

"หนูทำได้!! ปิ๊ดปี่.. ปิ๊ดปี่" ท่อนฮิตพร้อมปี่ของป้าจิ๊กขึ้นมาในหัว ใช่สิ! เราก็ดูดีได้เหมือนทุกนาง
หาเงินได้ แต่ไม่ใช้ จะทำไปเพื่ออะไร? ถ้าไม่รักตัวเอง - หากวันนี้ เราจะสร้างความสุขได้จากอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ เราก็จะขอทำอะไรให้กับตัวเอง นั่นคือ "สร้างความสุข" จาก "ความสวย"

แล้วปฏิบัติการดูดีหัวจรดปลายเท้าแบบฉบับแอร์อินเตอร์ก็เริ่มขึ้นณ บัดนาว
อาบน้ำ แต่งตัว หน้าสด เดินลงไปเรียกแท็กซี่..
ขอไปห้างที่ใกล้ที่สุด เพราะพี่ร้อนวิชามาก อยากช็อป อยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่

สเต็ป 1 เริ่มต้นที่กดตังค์ตู้เอทีเอ็ม กดเงินมาเลย 2 หมื่น แล้วไปที่โซนห้าง แผนกเครื่องสำอางเคาท์เตอร์แบรนด์

กลัวโชว์เสร่อ เราจึงไปด้อมๆมองๆแป๊ปนึง เอาจากชื่อที่คุ้นที่สุดก่อน นั่นก็คือ Estée Lauder และดึงดูดเรากว่านั้นก็คือ กระเป๋าถือพร้อมเครื่องสำอาง 5 ชิ้นเล็กๆเป็นของแถมวางเรียงรายในกล่องกระจกใสข้างหน้าเคาท์เตอร์เมื่อซื้อครบ 7,000 บาท
อ่ะ.. จัดสิคะจะรออะไร!
ไม่รู้จักสักตัว เราจึงเริ่มที่เซรั่มขวดสีเขียวและขวดสีน้ำตาลที่คนขายว่าดี และครีมขวดสีฟ้าเติมน้ำให้กับผิว เพราะคนขายทักมาว่าผิวกร้านโลกมาก

ไปต่อ! จัดมา.. ต้องใช้ทำงาน ลิปสติคชาแนลสีแดงสด แป้งและอายไลน์เนอร์เจล Inglot รวมไปถึงครีมรองพื้น Givenchy แปลว่ารวมกับของแถมที่ได้ในวันนี้ เราได้สวยครบสำหรับหน้าแล้ว
..กลับบ้านเถอะ เงินหมดตูดแล้วค่ะ

เปลี่ยนคุณให้เป็นคนใหม่จริงๆ.. ใจนี่สั่นรัวๆเพราะไม่เคยซื้อของแพงขนาดนี้ และไม่เคยมีของแบรนด์เนม วันนี้เสียสติเลยก็ว่าได้ แต่ทำไม.. เรามีความสุข!
เดินอมยิ้มรัวๆเข้าตึก กดลิฟต์ เดินเข้าห้อง แล้วโยนทุกอย่างลงเตียง..
แกะ!! แกะมันทุกสิ่งอัน ตื่นเต้น ดีใจ ได้ใช้ของดีเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรก ที่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง

หลังจากนี้ เราจะสวย จะดูดี ให้สมกับที่เค้าเรียกว่าเป็นแอร์ อย่างน้อย.. นี่คือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเราให้ทำงานท่ามกลางความเหงาเดียวดายนี้ไปได้อีกสักระยะก็ยังดี ใครจะมองว่าเราเริ่มเสียคนก็ช่างเพราะเราว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เบียดเบียนใคร เราแค่ปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตเราให้ดีขึ้นตามกำลังทรัพย์ที่มี ไม่ได้กู้หนี้ยืมสิน และยังมีเงินเก็บทุกเดือนต่อไป
แล้วเย็นวันนั้น จากที่นั่งเหงาอยู่ริมกระจก เหม่อลอย ก็กลายเป็นเย็นดีๆที่มีของให้เล่นมากมาย รวมทั้งความหวัง.. ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีได้

อีก 2 วัน เรากำลังจะไปไฟลท์ที่คนขอมากที่สุดในบริษัท เพราะยาว 9 วันรวด ปกติเด็กใหม่ขอยังไงก็ไม่ได้หรอกนะไฟลท์นี้ ..แต่เราได้
"ไฟลท์สิงคโปร์-บริสเบน" ที่รัก Yahoo!!

เอาล่ะวันนี้.. นอนหลับฝันดีแล้วนะ ไม่ต้องร้องไห้เหมือนวันหยุดอื่น ทาครีมทุกตัวแล้วนอน กับความหวังว่าจะ Makeover ตัวเองให้ได้ มีกำลังใจละ.. นอน!
Good Night my day off ✈️✨ "

จบตอนที่ 7 นะคะ ส่วนใครที่อยากอ่านย้อนหลังตั้งแต่ตอนที่ 1 เจ้าของกระทู้ลงลิงค์ไว้ให้ด้านล่างนี่แล้วค่ะ ^ ^ :

" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.ppantip.com/topic/34273378

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34504171?

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34536596?

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 3 : นี่หรือ.. ที่เขาเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34568986

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 4 : ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34635697

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 5 : สวิสในฝัน ฉันมาถึงแล้ว✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34675852

" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : ความทรงจำสีจางใจกลางกรุงเจนีวา ✈✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34728863
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่