เช้าวันหนึ่ง คนที่ทำงานมาบอกบุญ เนื่องจากเขาเป็นประธานผ้าป่า ก็มาชวนเราร่วมทำบุญ ขอชื่อไปใส่เป็นกรรมการ เราก็ตอบปฏิเสธไปว่า ไม่ล่ะ เราไม่ชอบทำบุญ โอ้โห..... แค่นั้นแหละจ้า ทำไมล่ะ ไม่ใช่คนพุทธหรอ ไม่นับถือพระหรอ ตายไปไม่ได้ขึ้นสวรรรค์นะเนี้ย ไม่มีบุญติดตัวเลย
อืม..
เราท่องพุทธ โธ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ว่าแท้ที่จริง เขาหวังดี อยากให้เรามีบุญติดตัว ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เราเข้าใจคุณ ขอบคุณมากนะ แค่ชวนเรา คุณก็ได้บุญแล้ว ส่วนเราไม่ทำ ก็ปล่อยให้เป็นกรรมของเราเถอะ
แต่คือเราไม่ได้เชื่อถือเรื่องปาฏิหาร อะไรพวกนี้ไง
ไม่ใช่เราไม่นับถือพระพุทธศาสนานะ เราเชื่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่รู้ทำไมเราแยกแยะเรื่องอัศจรรย์ทั้งหลายออกมาว่าเราไม่เชื่อ เชื่อไม่ลงอ่ะ ยกตัวอย่างเช่น
เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงๆ นะ แต่ตามหนังสือวิชาพระพุทธศาสนาที่เราได้เรียนในตอนมัธยม แต่พอได้อ่านเรื่อง ตอนที่พระองค์ประสูตร สามารถเดินได้ทันที 7 ก้าว และมีเกิดปาฏิหารดอกบัวผุดขึ้นมารองเท้าตามจำนวนก้าว มันทำให้เราคิดว่าเรื่องนี้มันประสาท มันโกหกล้วนๆ จะบ้าหรอ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงบนโลกนี้
เรากลัวผีนะ จริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าเรากลัวผีทำไม เพราะเราไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ ภูต ผี ปีศาจ กุมาร รัก ยม ทำของ คุณไสย์อะไรพวกนี้เลย แบบ เกิดมาไม่เคยเห็น ใจจริงเราอยากเห็น เราอยากเจอ เราจะได้รู้ว่าเฮ้ย ยูววว ยูมีตัวตนจริงๆ นี่.. แต่ตอนนี้หรอ เราคิดกับคนที่บอกว่าเขาเห็น หรือว่าเลี้ยงอยู่เลยว่า มโนล้วนๆ เพราะการเล่นผีถ้วยแก้ว ผีเหรียญบาทอะไรตอนเด็กๆ แล้วเพื่อนขนลุก ฮือฮา ทั้งหมดก็เพราะกะรูนี่แหละ ลากไปลากมา มันไม่ได้ลอยไปได้เองอย่างที่คิดหรอก เอ้อ
เอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เราคิดและรู้สึกอย่างที่เป็นในปัจจุบันนี้ เพราะที่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ ก็หล่อหลอมเลี้ยงดูมาให้เข้าวัด ชวนทำบุญตลอด เด็กๆ เรายังคิดไม่เป็นเราก็ไปตามเขาบอกให้ไปก็ไป พอเริ่มรู้จักวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างที่คนเฒ่าคนแก่ของเราปลูกฝังมามันก็พังครืนลงหมดเลย เวลายายชวนไปทำบุญ แกก็มักจะพูดเสมอว่า ทำไว้ ตายไปจะได้ไม่ไปนั่งมองเขากิน เราก็เริ่มเถียงยายแล้วว่า ตายแล้ว ยังจะต้องกินอะไรอีกยายยยยยย แต่เราก็ไปวัดกับยายนะ แกแก่มากแล้ว ไปให้แกสบายใจ ไม่ได้ไปเก็บบุญอะไรอย่างที่แกว่าหรอก
เราไม่ชอบทำบุญกับพระสงฆ์ เพราะข่าวเสื่อมเสียที่มีให้เห็นประจำสม่ำเสมอ เราจึงไม่ศรัทธา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเข้าใจนะว่าไม่ใช่พระสงฆ์ทุกรูป ที่เป็นแบบนั้น แต่เรามีแนวคิดว่าเมื่อเราไม่สบายใจที่จะทำบุญ ทำไปก็ไม่ได้บุญ เลยไม่ทำดีกว่า เรารู้สึกว่าเสียดายเงินที่กว่าจะหามาได้แต่ละบาทที่ต้องเสียให้กับคนที่โกนหัวห่มผ้าเหลือง เก็บเงินไว้ซื้อขนมให้เด็กๆ กินสบายใจกว่า
เราไม่ชอบทำบุญกับวัดดัง ที่มีตุ๊กตาไฮโดรลิก (เรียกแบบนี้หรือเปล่ามะรุ้ ที่แบบ หมุนได้ พูดได้) กุศโลบายเชิญชวนให้ทำบุญ เห็นได้ตามวัดใหญ่ๆ ที่เงินเหลือๆ ไม่มีที่สร้างศาลาเพิ่มเพราะสร้างเต็มหมดแล้ว ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรดี ก็คงเอามาทำอันนี้แหละ (อันนี้จขกท.มโนเอาเองนะ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นความรู้สึกล้วนๆ ) เรารู้สึกว่าเขาเหลือ เขาไม่ขาด แต่คนก็ยังไปทำบุญกับวัดเหล่านี้
ที่พูดมายืดยาว เราสงสัยว่าเราผิดปกติหรือเปล่า ที่มีความคิดพวกนี้ คนอื่นเป็นเหมือนเรา มีบ้างไหม เรารู้สึกเหมือนเป็นคนประหลาดในสายตาคนส่วนใหญ่ ...... เอวัง ก็มีด้วยประการละชะนี้
คนไม่ร่วมทำบุญ เป็นคนแปลกประหลาด
อืม..
เราท่องพุทธ โธ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ว่าแท้ที่จริง เขาหวังดี อยากให้เรามีบุญติดตัว ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เราเข้าใจคุณ ขอบคุณมากนะ แค่ชวนเรา คุณก็ได้บุญแล้ว ส่วนเราไม่ทำ ก็ปล่อยให้เป็นกรรมของเราเถอะ
แต่คือเราไม่ได้เชื่อถือเรื่องปาฏิหาร อะไรพวกนี้ไง
ไม่ใช่เราไม่นับถือพระพุทธศาสนานะ เราเชื่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่รู้ทำไมเราแยกแยะเรื่องอัศจรรย์ทั้งหลายออกมาว่าเราไม่เชื่อ เชื่อไม่ลงอ่ะ ยกตัวอย่างเช่น
เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงๆ นะ แต่ตามหนังสือวิชาพระพุทธศาสนาที่เราได้เรียนในตอนมัธยม แต่พอได้อ่านเรื่อง ตอนที่พระองค์ประสูตร สามารถเดินได้ทันที 7 ก้าว และมีเกิดปาฏิหารดอกบัวผุดขึ้นมารองเท้าตามจำนวนก้าว มันทำให้เราคิดว่าเรื่องนี้มันประสาท มันโกหกล้วนๆ จะบ้าหรอ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงบนโลกนี้
เรากลัวผีนะ จริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าเรากลัวผีทำไม เพราะเราไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ ภูต ผี ปีศาจ กุมาร รัก ยม ทำของ คุณไสย์อะไรพวกนี้เลย แบบ เกิดมาไม่เคยเห็น ใจจริงเราอยากเห็น เราอยากเจอ เราจะได้รู้ว่าเฮ้ย ยูววว ยูมีตัวตนจริงๆ นี่.. แต่ตอนนี้หรอ เราคิดกับคนที่บอกว่าเขาเห็น หรือว่าเลี้ยงอยู่เลยว่า มโนล้วนๆ เพราะการเล่นผีถ้วยแก้ว ผีเหรียญบาทอะไรตอนเด็กๆ แล้วเพื่อนขนลุก ฮือฮา ทั้งหมดก็เพราะกะรูนี่แหละ ลากไปลากมา มันไม่ได้ลอยไปได้เองอย่างที่คิดหรอก เอ้อ
เอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เราคิดและรู้สึกอย่างที่เป็นในปัจจุบันนี้ เพราะที่บ้าน คนเฒ่าคนแก่ ก็หล่อหลอมเลี้ยงดูมาให้เข้าวัด ชวนทำบุญตลอด เด็กๆ เรายังคิดไม่เป็นเราก็ไปตามเขาบอกให้ไปก็ไป พอเริ่มรู้จักวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างที่คนเฒ่าคนแก่ของเราปลูกฝังมามันก็พังครืนลงหมดเลย เวลายายชวนไปทำบุญ แกก็มักจะพูดเสมอว่า ทำไว้ ตายไปจะได้ไม่ไปนั่งมองเขากิน เราก็เริ่มเถียงยายแล้วว่า ตายแล้ว ยังจะต้องกินอะไรอีกยายยยยยย แต่เราก็ไปวัดกับยายนะ แกแก่มากแล้ว ไปให้แกสบายใจ ไม่ได้ไปเก็บบุญอะไรอย่างที่แกว่าหรอก
เราไม่ชอบทำบุญกับพระสงฆ์ เพราะข่าวเสื่อมเสียที่มีให้เห็นประจำสม่ำเสมอ เราจึงไม่ศรัทธา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเข้าใจนะว่าไม่ใช่พระสงฆ์ทุกรูป ที่เป็นแบบนั้น แต่เรามีแนวคิดว่าเมื่อเราไม่สบายใจที่จะทำบุญ ทำไปก็ไม่ได้บุญ เลยไม่ทำดีกว่า เรารู้สึกว่าเสียดายเงินที่กว่าจะหามาได้แต่ละบาทที่ต้องเสียให้กับคนที่โกนหัวห่มผ้าเหลือง เก็บเงินไว้ซื้อขนมให้เด็กๆ กินสบายใจกว่า
เราไม่ชอบทำบุญกับวัดดัง ที่มีตุ๊กตาไฮโดรลิก (เรียกแบบนี้หรือเปล่ามะรุ้ ที่แบบ หมุนได้ พูดได้) กุศโลบายเชิญชวนให้ทำบุญ เห็นได้ตามวัดใหญ่ๆ ที่เงินเหลือๆ ไม่มีที่สร้างศาลาเพิ่มเพราะสร้างเต็มหมดแล้ว ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรดี ก็คงเอามาทำอันนี้แหละ (อันนี้จขกท.มโนเอาเองนะ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นความรู้สึกล้วนๆ ) เรารู้สึกว่าเขาเหลือ เขาไม่ขาด แต่คนก็ยังไปทำบุญกับวัดเหล่านี้
ที่พูดมายืดยาว เราสงสัยว่าเราผิดปกติหรือเปล่า ที่มีความคิดพวกนี้ คนอื่นเป็นเหมือนเรา มีบ้างไหม เรารู้สึกเหมือนเป็นคนประหลาดในสายตาคนส่วนใหญ่ ...... เอวัง ก็มีด้วยประการละชะนี้