เชื่อว่าบนโลกนี้ไม่มีใครไม่รู้จักประเทศเล็กๆนี้เป็นอย่างแน่นอน ประเทศต้นตำรับของ อาหารที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่างพาสต้า สปาเกตตี้ ลาซานย่า และพิซซ่า อารยะธรรมทางศิลปะและประวัติศาสตร์ของโลก
ทัศนียภาพของบ้านเมืองที่สวยงามและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งศิลปะ ท่วงทำนองของภาษาที่ไพเราะราวกับเสียงเพลง
สอดคล้องกับท่าทางภาษามือที่แสดงอารมณ์อย่างสนุกสนานและตรงไปตรงมา.
1ปี แล้วที่ตัวเจ้าของกระทู้เองได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่ มิลาน อิตาลี เพราะได้รับส่วนลดทางทุนการศึกษามา
และ ยังได้โอกาสทำงานต่อที่นี่อีก นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนมากๆ ทั้งรัก และ ทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน มีความสุขที่สุด และความทุกข์ที่สุดในช่วงระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ แต่ในกระทู้นี้อยากจะมา เล่า Review เรื่องราวประสาบการณ์ดีๆในอิตาลีของตัวเองให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับใครที่อยากจะมาเรียนที่ อิตาลี หรือ สนใจมาทำงาน หรือ ท่องเที่ยวก็ตาม หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ได้อ่านนะคะ
เราเคยเล่าประสบการณ์ 65 ข้อควรรู้ก่อนไปอยู่ มิลานมาแล้ว ซึ่งหลังจากตั้งกระทู้ไปก็เจอะเจอเรื่องราวอีกหลายๆมุมของที่นี่
http://ppantip.com/topic/33418740
1.มิลาน เปรียบ เสมือน กรุงเทพฯ (ในความคิดเห็นส่วนตัวเรานะ)
เวลาที่อยู่ในมิลาน เวลาเดินงงๆ หรือ หลงทาง เวลาเดินไปถามทางใคร มักไม่ค่อยได้ความช่วยเหลือ หรือ คนที่อยากจะช่วยเหลือเราจริงๆ ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ผู้คนรีบเดิน รีบกิน รีบไปทำงาน การแข่งขันค่อนข้างสูงในการทำงานที่มิลาน เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่ทำไมใครๆก็ จะตีหน้าเบลอใส่กันและกัน คนอิตาเลี่ยนจะภูมิใจในเมืองที่ตัวเองเกิดมากๆ เพราะฉะนั้นคน อิตาเลียนด้วยกันจะรู้ทันทีเลยว่า คนๆนี้มาจากเมืองไหน เพราะทุกๆเมืองในอิตาลี จะมีสำเนียงเป็นของตัวเอง
อย่างคนไทย แบ่งกันหลักๆก็มี 4 สำเนียง มีแยกย่อยออกไปนิดหน่อยตามแต่ละภูมิภาคถูกมั้ยคะ แต่ที่นี่ จะมีสำเนียงประจำเมืองเลย แบบ คนนี้สำเนียง Milanese คนนั้นสำเนียง Bergamo เป็นต้น แล้วลองคิดภาพตาม เวลาคนจากหลายๆเมืองมาอยู่รวมกัน คนนั้นก็ว่าเมืองตัวเองดี คนนี้ก็ว่าเมืองตัวเองดี ปวดหัวตีกันไปหมด นี่ยังไม่นับคน เหนือ กับคนใต้ไม่ถูกกันอีก ล้อสำเนียงกันบ้างล่ะ เราเป็นต่างชาติก็ได้แต่ยืนแอ๊บแบ๊วตีเบลอไปไม่รู้เรื่อง บางทีก็พลอยซวยโดนเหมามาด้วยว่า "ทำไมไม่พูดสำเนียงแบบชั้นล่ะ"
'ดีออก !'
แต่เวลาถ้าคุณไปเมืองอื่นๆ ผู้คนจะเป็นมิตรและใจดีกับคุณมากอย่างเหลือเชื่อ แค่ยืนงงๆ ตามแยกถนน ก็จะมีคนเดินเข้ามาให้ความช่วยเหลือกันอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่า
ยืนเถียงกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับเราเลยแหละ
2. ช่างพูดช่างคุย มีวาทศิลป์ และโรเเมนติกเหลือเกิน
เพื่อนชาวอิตาเลียนเคยบอกเราว่า จริงๆแล้ว ภาษาอิตาเลียนเป็นภาษาแรกของโลกเลยนะ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วเพราะใช้กันแค่ในอิตาลีเท่านั้น. (ซึ่งอันนี้จริงหรือเปล่าเราก็ไม่แน่ใจนะ แต่เพื่อนชาวอิตาเลียนเราส่วนใหญ่ยืนยัน)
ภาษา อิตาเลียน เพราะนะเอาจริงๆ อาจจะฟังแรกๆแล้วแบบ พ่นอะไรออกมา, แต่พอลองไปเทียบกับภาษาอื่นๆในยุโรปแล้ว ภาษาอิตาเลียนมันฟังแล้วสนุก ตลก มีเสน่ห์ เหมือนคนเวลาพูดใส่อารมณ์ลงไปในคำทุกคำที่พูด มีต่ำ สูง มีลากเสียงสั้นและยาว เราเคยอ่านมาว่า
'ภาษาอิตาเลียนเป็นภาษาที่ ใช้พูดขอความรักจากหญิงสาว'
ไม่ได้เว่อร์นะ ลองมาฟังดู แล้วจะรู้ว่า ผู้ชายที่นี่ปากจะหวานมากๆ และทำให้คุณยิ้มแบบไม่หุบเลยจริงๆ คือเบ้าหน้าอิตาเลียนจริงๆก็ไม่ได้ดีมากขนาดที่แบบร้องโอ้โห แต่พอลองได้คุยแล้วจะรู้สึกเลยว่าคนที่นี่เวลาพูดน่ารัก และมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งชายและหญิงเลย.
แม้แต่ Casanova ผู้ชายที่เจ้าชู้ที่สุดในโลก ก็เป็นชาวอิตาเลียน.
ในเรื่องเจรจาในการงาน นี่ไม่ต้องพูดถึง ชาวอิตาเลียนจะมีทักษะทางการพูดการเจรจาอย่างน่าเหลือเชื่อ เหมือนกับเนรมิตรได้ทุกสิ่ง ทำได้ไม่ได้จริงๆก็อีกเรื่องนึง เค้าจะชมคุณ หาข้อดีของคุณ และไม่พูดข้อด้อย (ถ้าไปยั่วโมโหก็ไม่แน่) จะทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญที่สุด สวยที่สุด เริ่ดสุด
แต่อย่าให้พวกชีโวยวายนะ .................... ขอบอกว่าต้องกินยา
3.อิตาเลียน ติสท์ กันทั้งประเทศ
สำหรับชาวติสท์แตกทั้งหลายคงจะชื่นชอบ เมืองศิลปะแหละ รวมแต่ผู้คนแปลกๆ รวมศิลปิน รวมความติสท์แตกในแบบที่คุณก็คาดไม่ถึง
และติสท์กันทั้งประเทศ สังเกตจากหลายๆคนรอบๆข้าง ทุกสาขาอาชีพมีความเป็น ศิลปินหมด คือเราไม่ได้จำกัดว่า เออ ศิลปินต้องวาดรูป แต่งเพลง หรือเป็นนักแสดงนะ มันอยู่ที่ทัศนคติ อารมณ์จะอ่อนไหวง่ายมาก ขี้สงสัยกันทั้งเมือง และไม่ค่อยเจอคนที่สามารถควบคุมอารมณ์หรือเก็บอาการของตัวเองอยู่เท่าไหร่นัก เวลามีความสุข ก็โอเคแหละ แต่พอโมโหกันเมื่อไหร่นี่เหมือนนกกระจอกแตกรัง หน้าตา มือไม้ ท่าทาง ไปหมดจ่ะ
ก็สมควรแล้วที่ขึ้นชื่อว่ามี ศิลปินระดับโลกดังๆเป็นชาวอิตาเลียนหลายคน
4.อาหารอิตาเลียน เป็นอาหารศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกเขา อย่าไปดัดแปลงเอาส่วนผสมแปลกๆใส่ลงไป
คนอิตาเลียนจะภูมิใจในอาหารของเขามากๆ พิซซ่า พาสต้า กาแฟ ไอศกรีม บลาๆๆ ทุกอย่างมีวิธีการทำ ของเขา อย่างคนไทยเราจะมีร้านอาหารตามสั่งใช่ปะ มันแสดงออกถึงว่าเออ ประเทศเรามันยังไงก็ได้จริงๆ แต่อิตาเลียนคุณไปร้านอาหารแล้วบอกเขาว่า เออเอาสปาเกตตี้คาโบนาร่านะ แต่ขอเปลี่ยนเส้น โดนตบเลยนะคะ ฮ่าๆ แต่ถ้าสั่งพิซซ่า 2 หน้าใน 1 ถาดนี้อนุโลมได้
เจ้าของกระทู้เคยหักเส้นสปาเกตตี้ต่อหน้าเพื่อนชาวอิตาเลียน คือตอนนั้นก็ทำไปแบบไม่รู้ตัวหรอกเพื่อความเคยชิน เพราะว่าเส้นมันยาวไง และเราก็ไม่มีหม้อแบบสูงๆ เลยหักซะเลย --' นางก็แบบโวยวาย ไม่ได้นะ อย่างนั้นโน้นนี่เป็นเรื่องเป็นราว เราก็ได้แต่ยืนขำ แล้ว ขอโทษขอโพยไป
ส่วนเพื่อนอีกคนนึงเป็นคนไต้หวันไปร้านอาหารกันมื้อเย็นช่วง Dinner นางดันไปสั่ง Capuchino ปิดท้ายมื้ออาหาร บริกรก็ทำหน้างง คือตอนนั้นทุกคนก็รู้แหละว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่นางก็ยืนยันจะเอา สรุปสุดท้าย เค้าไม่ทำให้จ่ะ คือคิดว่าแกล้งสั่งเล่นๆ
ไวน์แดงห้ามแช่ตู้เย็น.... เพราะไวน์จะเสียรสชาติ เออ เอาเข้าไป....
กาแฟดื่มกันเข้าไป วันละ 5-9 แก้ว ป่วยก็ดื่ม ดีก็ดื่ม โมโหก็ดื่ม ...........แล้วก็บอกว่า "ดื่มกาแฟแล้วดีต่อสุขภาพ" เดี๋ยวๆ
5.ชาวอิตาเลียนไม่กินหนักเช้า แต่กินหนักดึก
มีอยู่วันนึง เพื่อนถามว่ากินไรมาตอนเช้า เราก็บอกว่า เออ มีพาสต้า กับ ลาซานย่า เท่านั้นแหละ
ทุกคนตกใจมาก บอกว่าการกินหนักตอนเช้าไม่ดี จะทำให้รู้สึกป่วย พวกชีกินกาแฟ นม ขนมปังหรือ ครัวซองแค่นั้นเอง ส่วนมื้อดึกคือช่วง 3 ทุ่ม นางกินกันหนักมาก แบบ เคยไปกินผู้ชาย เอ๊ย ! ดินเนอร์ที่บ้านผู้ชายโดยครอบครัวเค้าจัดอาหารต้อนรับเราไว้ให้ คือแบบ จะอ้วกแตกตายย เป็น Dinner แบบเต็มรูปแบบดั้งเดิม
ชาวอิตาเลียนเป็น ชาติที่กินอาหารค่ำเยอะมากๆ คือจริงๆพวกเขาใช้เวลาอาหารค่ำด้วยกันนานพอสมควร การทานอาหารค่ำแบบ Traditional ของชาวอิตาเลียน ค่อนข้างมีพิถีรีตองเยอะ คือมี
Aperitivo คือเป็นเหมือน อารมณ์กินรองท้องก่อนอาหารเย็นหรืออาหารมื้อหนัก มักจะทานกันหลังเลิกงาน แบบดื่ม Cocktailsหรือ Wine , Champagne และก็อาหารเบาๆ แบบ มะกอกดอง ถั่ว ชีส ไส้กรอก มันฝรั่งทอด บลาๆซึ่งส่วนมากตามร้านอาหารจะมีให้ตักแบบ บุฟเฟ่ต์ บางคนก็กะเอาอิ่มเป็น Dinner ไปเลยก็มี แหม เห็นบ่อยอีพวกนี้ ซึ่งถ้าเราไปทานตามร้านอาหารก็มีหลากหลายราคาตามความดังของร้าน คือเราสั่งเครื่องดื่มและ เดินตักอาหาร หรือบางร้านก็จะมีแค่ผักผลไม้ มันฝรั่งทอดให้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน เพราะมิลานเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของคนอิตาเลียนหลายๆพื้นที่
Antipasto อันนี้จะค่อนข้างหนักขึ้นจาก Aperitivo หรือจะเรียกได้ว่า Starter ของDinner ก็ได้นะคะ คือจะมี assalame , mortadella อันนี้ชอบมากเหมือนแฮมใส่พริกบ้านเรา , prosciutto,bresaola ซึ่งส่วนมากก็จะเสิร์ฟมากจำพวก แฮม ชีส และ แซนวิชเป็นต้น มื้อนี้พีทไม่ค่อยรู้เรื่องนัก และก็ไม่ค่อยได้ทานด้วย คือ ฟาด Dinner เลยจบๆ
Primo เข้าสู่ช่วงของ Dinner อย่างเป็นทางการ เป็นเหมือน first course ซึ่งก็จะมีแบบ ข้าว,พาสต้า ซุปนั้นโน้นนี่ Gnocchi หรือที่มันจะเป็นเหมือนเกี๊ยวๆ หรือ พาสต้าทรงหอย ประมาณนั้นอะ ,Polenta , Crespelle,หรือแม้แต่ lasagne ซึ่งอ่านๆดูมาแล้ว คือ จอดตั้งแต่ Pasta แล้ว
Secondo พอมาถึงขั้นตอนนี้คือหนักมากๆค่ะ คือเป็นเหมือน Main Course ของ Dinner เลย ไม่ว่าจะเป็นปลา ซึ่งถ้าแบบ อิ่มแล้วก็สั่งปลาเถอะ หรือบางคนทานได้ต่อก็มาเลยค่ะturkey, sausage, pork, steak, stew, beef, zampone, saltcod, stockfish,salmon,
lobster, lamb, chicken roast ซึ่งมันก็จะแล้วแต่พื้นที่นะคะ หรือแล้วแต่การเฉลิมฉลองด้วยอีกที.
Contorno จะเสิร์ฟควบคู่ไปกับ Secondo นั้นเองจะเป็นพวก ผัก สลัดอะไรประมาณนี้ ทั้งดิบ และก็ทั้งปรุงสุกเรียบร้อย มีทั้งร้อนและเย็น จะเสิร์ฟแยกจานกับมื้ออาหาร จริงๆแล้ว ทุกอย่างจะเสิร์ฟแยกหมดนะคะ คือถ้าทานหมดจานนึง คือเปลี่ยน จานชามใหม่หมด นี่คือความเริ่ด และ ความน่าสงสารของคนล้างจานที่จะต้องสะพรึงกับกองจาน (เปล่า ชีมีเครื่องล้าง )
พอยัง? จุกยัง ? แต่ยังไม่หมด ...!!!
Insalata เสิร์ฟ สลัดอีกที หรือบางทีก็จะไม่เสิร์ฟก็ได้ถ้าไม่เครียดอะไรมาก ส่วนมากก็จะเป็นผักสดนะคะ คือไม่กินก็ได้ หรือ อยากจะกินแบบครบเครื่องก็สั่งมาค่ะ เริ่ดพอกัน เราจะได้ลิ้มรสผักสด
(คือตอนนี้เตรียมอ้วกแล้วค่ะ ไม่ไหวจริงๆ)
Formaggi e frutta ตามมาด้วย ผลไม้ต่อจากผัก ค่ะ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ ฤดูกาล และพื้นที่
Dolce ของหวาน เค้ก หรือ พวก Tiramisu ค่ะ อร่อยมากๆ จริงๆมีอีกหลายอย่างเลยที่อร่อยต้องดูแล้วแต่ร้านด้วยนะคะ ถ้าเป็น Easter ก็จะยิ่งใหญ่มากค่ะ
Caffè อย่างที่บอกชาตินี้ขาดไม่ได้ แล้วต้องเป็น Espresso อย่างเดียวด้วยนะ ห้าม!!! Milky coffees เด็ดขาด และถ้ายังกินไม่เสร็จก็จะไม่เสิร์ฟกาแฟนะคะ
Digestivo สุดท้ายตามด้วย แอลกอฮอล์หนัก อย่าง grappa, amaro, limoncello ซึ่งชอบมากๆ คือช่วยย่อยนะ เค้าว่ากัน คือมันจะมีค่าดีกรีแรงมากเลย คือตบท้ายหลังจากทานอาหารมื้อหนัก และหลังจากกาแฟ ต้องค่อยๆจิบด้วยนะ ยกซดหมดทีเดียวโดนตี
กินไม่หมด ..... หยาบ คาย นะ จ๊ะ
และถ้าหากเราอยากจะรู้จักชาวอิตาเลียนสักคน หรือเพิ่งทำความรู้จักกันใหม่ๆ ลองพูดกับเขาว่า
"I love Italian food" มันจะเป็นเหมือนประโยคพังกำแพงที่ทำให้เค้าอยากคุยกับเรามากขึ้น
เหมือนๆกับเวลาที่มีคนมาชมอาหารบ้านเรานั้นแหละ
กระทู้นี้เอาไว้แค่นี้ก่อน เอาไว้จะมาต่ออีกเรื่อยๆนะคะ ยังไงถ้าผิดพลาดไปเรื่องไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ เพราะที่เขียนมาทั้งหมดก็ตรงๆจากประสบการณ์และความรู้สึก เวลาใครมาที่มิลานจะได้ไม่ตกใจฮ่าๆ
Italy ดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ ที่น่าหลงใหล
ทัศนียภาพของบ้านเมืองที่สวยงามและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งศิลปะ ท่วงทำนองของภาษาที่ไพเราะราวกับเสียงเพลง
สอดคล้องกับท่าทางภาษามือที่แสดงอารมณ์อย่างสนุกสนานและตรงไปตรงมา.
1ปี แล้วที่ตัวเจ้าของกระทู้เองได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่ มิลาน อิตาลี เพราะได้รับส่วนลดทางทุนการศึกษามา
และ ยังได้โอกาสทำงานต่อที่นี่อีก นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนมากๆ ทั้งรัก และ ทั้งเกลียดในเวลาเดียวกัน มีความสุขที่สุด และความทุกข์ที่สุดในช่วงระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ แต่ในกระทู้นี้อยากจะมา เล่า Review เรื่องราวประสาบการณ์ดีๆในอิตาลีของตัวเองให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับใครที่อยากจะมาเรียนที่ อิตาลี หรือ สนใจมาทำงาน หรือ ท่องเที่ยวก็ตาม หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่ได้อ่านนะคะ
เราเคยเล่าประสบการณ์ 65 ข้อควรรู้ก่อนไปอยู่ มิลานมาแล้ว ซึ่งหลังจากตั้งกระทู้ไปก็เจอะเจอเรื่องราวอีกหลายๆมุมของที่นี่ http://ppantip.com/topic/33418740
1.มิลาน เปรียบ เสมือน กรุงเทพฯ (ในความคิดเห็นส่วนตัวเรานะ)
เวลาที่อยู่ในมิลาน เวลาเดินงงๆ หรือ หลงทาง เวลาเดินไปถามทางใคร มักไม่ค่อยได้ความช่วยเหลือ หรือ คนที่อยากจะช่วยเหลือเราจริงๆ ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ผู้คนรีบเดิน รีบกิน รีบไปทำงาน การแข่งขันค่อนข้างสูงในการทำงานที่มิลาน เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่ทำไมใครๆก็ จะตีหน้าเบลอใส่กันและกัน คนอิตาเลี่ยนจะภูมิใจในเมืองที่ตัวเองเกิดมากๆ เพราะฉะนั้นคน อิตาเลียนด้วยกันจะรู้ทันทีเลยว่า คนๆนี้มาจากเมืองไหน เพราะทุกๆเมืองในอิตาลี จะมีสำเนียงเป็นของตัวเอง
อย่างคนไทย แบ่งกันหลักๆก็มี 4 สำเนียง มีแยกย่อยออกไปนิดหน่อยตามแต่ละภูมิภาคถูกมั้ยคะ แต่ที่นี่ จะมีสำเนียงประจำเมืองเลย แบบ คนนี้สำเนียง Milanese คนนั้นสำเนียง Bergamo เป็นต้น แล้วลองคิดภาพตาม เวลาคนจากหลายๆเมืองมาอยู่รวมกัน คนนั้นก็ว่าเมืองตัวเองดี คนนี้ก็ว่าเมืองตัวเองดี ปวดหัวตีกันไปหมด นี่ยังไม่นับคน เหนือ กับคนใต้ไม่ถูกกันอีก ล้อสำเนียงกันบ้างล่ะ เราเป็นต่างชาติก็ได้แต่ยืนแอ๊บแบ๊วตีเบลอไปไม่รู้เรื่อง บางทีก็พลอยซวยโดนเหมามาด้วยว่า "ทำไมไม่พูดสำเนียงแบบชั้นล่ะ"
'ดีออก !'
แต่เวลาถ้าคุณไปเมืองอื่นๆ ผู้คนจะเป็นมิตรและใจดีกับคุณมากอย่างเหลือเชื่อ แค่ยืนงงๆ ตามแยกถนน ก็จะมีคนเดินเข้ามาให้ความช่วยเหลือกันอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่า ยืนเถียงกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับเราเลยแหละ
2. ช่างพูดช่างคุย มีวาทศิลป์ และโรเเมนติกเหลือเกิน
เพื่อนชาวอิตาเลียนเคยบอกเราว่า จริงๆแล้ว ภาษาอิตาเลียนเป็นภาษาแรกของโลกเลยนะ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วเพราะใช้กันแค่ในอิตาลีเท่านั้น. (ซึ่งอันนี้จริงหรือเปล่าเราก็ไม่แน่ใจนะ แต่เพื่อนชาวอิตาเลียนเราส่วนใหญ่ยืนยัน)
ภาษา อิตาเลียน เพราะนะเอาจริงๆ อาจจะฟังแรกๆแล้วแบบ พ่นอะไรออกมา, แต่พอลองไปเทียบกับภาษาอื่นๆในยุโรปแล้ว ภาษาอิตาเลียนมันฟังแล้วสนุก ตลก มีเสน่ห์ เหมือนคนเวลาพูดใส่อารมณ์ลงไปในคำทุกคำที่พูด มีต่ำ สูง มีลากเสียงสั้นและยาว เราเคยอ่านมาว่า
'ภาษาอิตาเลียนเป็นภาษาที่ ใช้พูดขอความรักจากหญิงสาว'
ไม่ได้เว่อร์นะ ลองมาฟังดู แล้วจะรู้ว่า ผู้ชายที่นี่ปากจะหวานมากๆ และทำให้คุณยิ้มแบบไม่หุบเลยจริงๆ คือเบ้าหน้าอิตาเลียนจริงๆก็ไม่ได้ดีมากขนาดที่แบบร้องโอ้โห แต่พอลองได้คุยแล้วจะรู้สึกเลยว่าคนที่นี่เวลาพูดน่ารัก และมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งชายและหญิงเลย.
แม้แต่ Casanova ผู้ชายที่เจ้าชู้ที่สุดในโลก ก็เป็นชาวอิตาเลียน.
ในเรื่องเจรจาในการงาน นี่ไม่ต้องพูดถึง ชาวอิตาเลียนจะมีทักษะทางการพูดการเจรจาอย่างน่าเหลือเชื่อ เหมือนกับเนรมิตรได้ทุกสิ่ง ทำได้ไม่ได้จริงๆก็อีกเรื่องนึง เค้าจะชมคุณ หาข้อดีของคุณ และไม่พูดข้อด้อย (ถ้าไปยั่วโมโหก็ไม่แน่) จะทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญที่สุด สวยที่สุด เริ่ดสุด
แต่อย่าให้พวกชีโวยวายนะ .................... ขอบอกว่าต้องกินยา
3.อิตาเลียน ติสท์ กันทั้งประเทศ
สำหรับชาวติสท์แตกทั้งหลายคงจะชื่นชอบ เมืองศิลปะแหละ รวมแต่ผู้คนแปลกๆ รวมศิลปิน รวมความติสท์แตกในแบบที่คุณก็คาดไม่ถึง
และติสท์กันทั้งประเทศ สังเกตจากหลายๆคนรอบๆข้าง ทุกสาขาอาชีพมีความเป็น ศิลปินหมด คือเราไม่ได้จำกัดว่า เออ ศิลปินต้องวาดรูป แต่งเพลง หรือเป็นนักแสดงนะ มันอยู่ที่ทัศนคติ อารมณ์จะอ่อนไหวง่ายมาก ขี้สงสัยกันทั้งเมือง และไม่ค่อยเจอคนที่สามารถควบคุมอารมณ์หรือเก็บอาการของตัวเองอยู่เท่าไหร่นัก เวลามีความสุข ก็โอเคแหละ แต่พอโมโหกันเมื่อไหร่นี่เหมือนนกกระจอกแตกรัง หน้าตา มือไม้ ท่าทาง ไปหมดจ่ะ
ก็สมควรแล้วที่ขึ้นชื่อว่ามี ศิลปินระดับโลกดังๆเป็นชาวอิตาเลียนหลายคน
4.อาหารอิตาเลียน เป็นอาหารศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกเขา อย่าไปดัดแปลงเอาส่วนผสมแปลกๆใส่ลงไป
คนอิตาเลียนจะภูมิใจในอาหารของเขามากๆ พิซซ่า พาสต้า กาแฟ ไอศกรีม บลาๆๆ ทุกอย่างมีวิธีการทำ ของเขา อย่างคนไทยเราจะมีร้านอาหารตามสั่งใช่ปะ มันแสดงออกถึงว่าเออ ประเทศเรามันยังไงก็ได้จริงๆ แต่อิตาเลียนคุณไปร้านอาหารแล้วบอกเขาว่า เออเอาสปาเกตตี้คาโบนาร่านะ แต่ขอเปลี่ยนเส้น โดนตบเลยนะคะ ฮ่าๆ แต่ถ้าสั่งพิซซ่า 2 หน้าใน 1 ถาดนี้อนุโลมได้
เจ้าของกระทู้เคยหักเส้นสปาเกตตี้ต่อหน้าเพื่อนชาวอิตาเลียน คือตอนนั้นก็ทำไปแบบไม่รู้ตัวหรอกเพื่อความเคยชิน เพราะว่าเส้นมันยาวไง และเราก็ไม่มีหม้อแบบสูงๆ เลยหักซะเลย --' นางก็แบบโวยวาย ไม่ได้นะ อย่างนั้นโน้นนี่เป็นเรื่องเป็นราว เราก็ได้แต่ยืนขำ แล้ว ขอโทษขอโพยไป
ส่วนเพื่อนอีกคนนึงเป็นคนไต้หวันไปร้านอาหารกันมื้อเย็นช่วง Dinner นางดันไปสั่ง Capuchino ปิดท้ายมื้ออาหาร บริกรก็ทำหน้างง คือตอนนั้นทุกคนก็รู้แหละว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่นางก็ยืนยันจะเอา สรุปสุดท้าย เค้าไม่ทำให้จ่ะ คือคิดว่าแกล้งสั่งเล่นๆ
ไวน์แดงห้ามแช่ตู้เย็น.... เพราะไวน์จะเสียรสชาติ เออ เอาเข้าไป....
กาแฟดื่มกันเข้าไป วันละ 5-9 แก้ว ป่วยก็ดื่ม ดีก็ดื่ม โมโหก็ดื่ม ...........แล้วก็บอกว่า "ดื่มกาแฟแล้วดีต่อสุขภาพ" เดี๋ยวๆ
5.ชาวอิตาเลียนไม่กินหนักเช้า แต่กินหนักดึก
มีอยู่วันนึง เพื่อนถามว่ากินไรมาตอนเช้า เราก็บอกว่า เออ มีพาสต้า กับ ลาซานย่า เท่านั้นแหละ
ทุกคนตกใจมาก บอกว่าการกินหนักตอนเช้าไม่ดี จะทำให้รู้สึกป่วย พวกชีกินกาแฟ นม ขนมปังหรือ ครัวซองแค่นั้นเอง ส่วนมื้อดึกคือช่วง 3 ทุ่ม นางกินกันหนักมาก แบบ เคยไปกินผู้ชาย เอ๊ย ! ดินเนอร์ที่บ้านผู้ชายโดยครอบครัวเค้าจัดอาหารต้อนรับเราไว้ให้ คือแบบ จะอ้วกแตกตายย เป็น Dinner แบบเต็มรูปแบบดั้งเดิม
ชาวอิตาเลียนเป็น ชาติที่กินอาหารค่ำเยอะมากๆ คือจริงๆพวกเขาใช้เวลาอาหารค่ำด้วยกันนานพอสมควร การทานอาหารค่ำแบบ Traditional ของชาวอิตาเลียน ค่อนข้างมีพิถีรีตองเยอะ คือมี
Aperitivo คือเป็นเหมือน อารมณ์กินรองท้องก่อนอาหารเย็นหรืออาหารมื้อหนัก มักจะทานกันหลังเลิกงาน แบบดื่ม Cocktailsหรือ Wine , Champagne และก็อาหารเบาๆ แบบ มะกอกดอง ถั่ว ชีส ไส้กรอก มันฝรั่งทอด บลาๆซึ่งส่วนมากตามร้านอาหารจะมีให้ตักแบบ บุฟเฟ่ต์ บางคนก็กะเอาอิ่มเป็น Dinner ไปเลยก็มี แหม เห็นบ่อยอีพวกนี้ ซึ่งถ้าเราไปทานตามร้านอาหารก็มีหลากหลายราคาตามความดังของร้าน คือเราสั่งเครื่องดื่มและ เดินตักอาหาร หรือบางร้านก็จะมีแค่ผักผลไม้ มันฝรั่งทอดให้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน เพราะมิลานเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของคนอิตาเลียนหลายๆพื้นที่
Antipasto อันนี้จะค่อนข้างหนักขึ้นจาก Aperitivo หรือจะเรียกได้ว่า Starter ของDinner ก็ได้นะคะ คือจะมี assalame , mortadella อันนี้ชอบมากเหมือนแฮมใส่พริกบ้านเรา , prosciutto,bresaola ซึ่งส่วนมากก็จะเสิร์ฟมากจำพวก แฮม ชีส และ แซนวิชเป็นต้น มื้อนี้พีทไม่ค่อยรู้เรื่องนัก และก็ไม่ค่อยได้ทานด้วย คือ ฟาด Dinner เลยจบๆ
Primo เข้าสู่ช่วงของ Dinner อย่างเป็นทางการ เป็นเหมือน first course ซึ่งก็จะมีแบบ ข้าว,พาสต้า ซุปนั้นโน้นนี่ Gnocchi หรือที่มันจะเป็นเหมือนเกี๊ยวๆ หรือ พาสต้าทรงหอย ประมาณนั้นอะ ,Polenta , Crespelle,หรือแม้แต่ lasagne ซึ่งอ่านๆดูมาแล้ว คือ จอดตั้งแต่ Pasta แล้ว
Secondo พอมาถึงขั้นตอนนี้คือหนักมากๆค่ะ คือเป็นเหมือน Main Course ของ Dinner เลย ไม่ว่าจะเป็นปลา ซึ่งถ้าแบบ อิ่มแล้วก็สั่งปลาเถอะ หรือบางคนทานได้ต่อก็มาเลยค่ะturkey, sausage, pork, steak, stew, beef, zampone, saltcod, stockfish,salmon,
lobster, lamb, chicken roast ซึ่งมันก็จะแล้วแต่พื้นที่นะคะ หรือแล้วแต่การเฉลิมฉลองด้วยอีกที.
Contorno จะเสิร์ฟควบคู่ไปกับ Secondo นั้นเองจะเป็นพวก ผัก สลัดอะไรประมาณนี้ ทั้งดิบ และก็ทั้งปรุงสุกเรียบร้อย มีทั้งร้อนและเย็น จะเสิร์ฟแยกจานกับมื้ออาหาร จริงๆแล้ว ทุกอย่างจะเสิร์ฟแยกหมดนะคะ คือถ้าทานหมดจานนึง คือเปลี่ยน จานชามใหม่หมด นี่คือความเริ่ด และ ความน่าสงสารของคนล้างจานที่จะต้องสะพรึงกับกองจาน (เปล่า ชีมีเครื่องล้าง )
พอยัง? จุกยัง ? แต่ยังไม่หมด ...!!!
Insalata เสิร์ฟ สลัดอีกที หรือบางทีก็จะไม่เสิร์ฟก็ได้ถ้าไม่เครียดอะไรมาก ส่วนมากก็จะเป็นผักสดนะคะ คือไม่กินก็ได้ หรือ อยากจะกินแบบครบเครื่องก็สั่งมาค่ะ เริ่ดพอกัน เราจะได้ลิ้มรสผักสด
(คือตอนนี้เตรียมอ้วกแล้วค่ะ ไม่ไหวจริงๆ)
Formaggi e frutta ตามมาด้วย ผลไม้ต่อจากผัก ค่ะ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ ฤดูกาล และพื้นที่
Dolce ของหวาน เค้ก หรือ พวก Tiramisu ค่ะ อร่อยมากๆ จริงๆมีอีกหลายอย่างเลยที่อร่อยต้องดูแล้วแต่ร้านด้วยนะคะ ถ้าเป็น Easter ก็จะยิ่งใหญ่มากค่ะ
Caffè อย่างที่บอกชาตินี้ขาดไม่ได้ แล้วต้องเป็น Espresso อย่างเดียวด้วยนะ ห้าม!!! Milky coffees เด็ดขาด และถ้ายังกินไม่เสร็จก็จะไม่เสิร์ฟกาแฟนะคะ
Digestivo สุดท้ายตามด้วย แอลกอฮอล์หนัก อย่าง grappa, amaro, limoncello ซึ่งชอบมากๆ คือช่วยย่อยนะ เค้าว่ากัน คือมันจะมีค่าดีกรีแรงมากเลย คือตบท้ายหลังจากทานอาหารมื้อหนัก และหลังจากกาแฟ ต้องค่อยๆจิบด้วยนะ ยกซดหมดทีเดียวโดนตี
"I love Italian food" มันจะเป็นเหมือนประโยคพังกำแพงที่ทำให้เค้าอยากคุยกับเรามากขึ้น
เหมือนๆกับเวลาที่มีคนมาชมอาหารบ้านเรานั้นแหละ
กระทู้นี้เอาไว้แค่นี้ก่อน เอาไว้จะมาต่ออีกเรื่อยๆนะคะ ยังไงถ้าผิดพลาดไปเรื่องไหนก็ขออภัยด้วยนะคะ เพราะที่เขียนมาทั้งหมดก็ตรงๆจากประสบการณ์และความรู้สึก เวลาใครมาที่มิลานจะได้ไม่ตกใจฮ่าๆ