อีกหนึ่งหนังที่อยู่ในกลุ่มที่เข้าชิงรางวัลหลากหลายสถาบันในปีนี้ ซึ่งเรื่องย่อและตัวอย่างหนังเรื่องนี้ก็มีความน่าสนใจเอามากๆ
ผมยอมรับว่าไม่เคยรู้จักผู้กำกับชื่อ Lenny Abrahamson มาก่อน มันก็เลยดีตรงที่เราไม่สามารถเดาแนวทางหนังของเค้าได้ และเราก็ไม่ได้เกิดความคาดหวังอะไรจากชื่อผู้กำกับก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
เราค่อนข้างตื่นเต้นมากๆก่อนจะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อาจจะเพราะเราชอบหนังในสไตล์นี้ เราชอบเรื่องของความสัมพันธ์ของคน ซึ่งในตัวอย่างหนังก็มีให้เห็นอยู่พอสมควร และแน่นอนว่า เราก็อยากชมการแสดงของ Brie Larson ตัวเต็งรางวัล Best Actress ของเวที Oscar ในปีนี้ด้วย
หนังเปิดเรื่องมาได้น่าสนใจน่าติดตามเอามากๆ และสำหรับผมหนังเรื่องนี้สะกดผมได้อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ หนังดูสนุกมากๆ แต่ละช่วงของหนังมีเรื่องให้เราสนใจและสร้างความประหลาดใจให้เราอยู่ตลอดเวลา
ผมชอบเพลงที่แม่ร้องให้ลูกฟังก่อนนอนในช่วงที่อยู่ในห้อง เรารู้จักเพลงนี้มาก่อนจากหนังเรื่อง O Brother, Where Art Thou? ของ 2 พี่น้อง Coen ชื่อเพลงนี้ คือ Big Rock Candy Mountain ดูหนังเรื่องนี้จบ ผมฮัมเพลงนี้ไปอีก 2-3 วันเลย
Brie Larson เล่นได้สมศักดิ์ศรีผู้เข้าชิงรางวัล Best Actress มากๆ ผมคิดว่าบทของเธอในเรื่องนี้เล่นยากมากๆ มันมีรายละเอียดในการแสดงแต่ละซีนเยอะมาก ซึ่งผมดูไปรอบเดียว ก็ยังคิดว่าเก็บรายละเอียดการแสดงของเธอได้ยังไม่ครบถ้วน บทมีช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ความรู้สึกอยู่เยอะมากๆ ซึ่งผมชื่นชมเธอตรงที่ทำได้กลมกลืน ไม่เกิดการรู้สึกขัดในขณะที่ชม เธอมีสภาวะจิตใจไม่ปกติแทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเธอเก่งตรงที่ไม่ได้แสดงออกแบบโจ่งแจ้ง แต่เล่นผ่านรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะแววตาของเธอ ซึ่งผมคิดว่าเธอเก่งมากๆ
ช่วงแรกในฉากที่อยู่แต่ในห้อง เรามีความรู้สึกอึดอัดมากๆ เราอยากให้ตัวละครทั้ง 2 หลุดออกจากห้องที่คับแคบนี้ไปเสียที แต่เราไม่ได้เอะใจเลยว่า ในห้องแคบๆห้องนี้ มันคือโลกทั้งใบใหญ่ของ Jack เลยทีเดียว
ฉากตอนที่ Jack หนีออกมาจากห้องโดยแกล้งตายและถูกม้วนอยู่ในพรมบนหลังรถนั้น พอถึงวินาทีที่เค้าม้วนตัวหลุดจากพรมได้ สัมผัสแรกที่เค้าได้เห็นท้องฟ้า ต้นไม้ ผมขนลุกเลย มันเป็นวินาทีที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตมากๆ และฉากต่อมาที่ Jack โดดลงมาจากรถแล้ววิ่งหนีตาแก่ Nick ผมลุ้นตัวเกร็งเลย ผมไม่เคยรู้สึกลุ้นจนตัวเกร็งตัวสั่นจากการดูหนังมานานมากๆแล้ว จังหวะตาแก่ Nick มาจับตัว Jack และกำลังจะลากกลับไปที่รถ ผมใจหวิวเลย ผมอินมากๆในช่วงฉากนี้ ชื่มชมหนังที่ส่งมาได้ถึงขนาดนี้
และฉากต่อเนื่อง หนังก็มาเรียกน้ำตาผมได้อีก เป็นฉากที่ Jack อยู่บนรถตำรวจ ที่กำลังเข้าไปช่วยแม่ของเค้า กล้องจับภาพไปที่ทางออกจากบ้านที่มืด แล้วแม่ค่อยๆปรากฎร่างวิ่งออกมาจากในนั้น วิ่งเข้าหา Jack ที่อยู่ในรถ เราอินมากกับซีนนี้ เราดีใจกับ Jack มากๆในตอนนั้น เพราะทั้งชีวิต เค้ามีแค่แม่คนเดียวมาตลอด
ตอนดูในช่วงแรก เราไปโฟกัสที่ตัว Jack ว่าถ้าเค้าสามารถหนีออกมาจากห้องนั้นได้ เค้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริงที่กว้างใหญ่ได้ไหม เค้าจะปรับตัวยังไง ซึ่งยอมรับว่า เราลืมนึกถึงตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างแม่เลย
หลังจากที่แม่และ Jack หนีออกจากห้องที่พวกเค้าใช้ชีวิตอยู่ในนั้นมา 7 ปี (Jack อยู่มา 5 ปี เพราะคลอดหลังจากแม่เข้าไปอยู่ในห้องนั้น 2 ปี) โดยที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วพวกเค้าจะกลับมาใช้ชีวิตกับโลกภายนอกได้อย่างไร
เรามัวแต่เป็นห่วง Jack อาจจะเพราะเราเห็นเค้าเป็นเด็ก แต่เราหารู้ไม่ว่า เด็กยังคือผ้าขาวจริงๆ ดูเหมือนว่า Jack จะเจอปัญหาในช่วงวันแรกๆที่ออกมาใช้ชีวิตในโลกภายนอก เค้าต้องเจอ ต้องเห็นสิ่งใหม่ๆมากมายไปหมด รวมไปถึงการพบเจอคนใหม่ๆ การต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น นอกจากแม่ มันดูน่ากังวัลไปหมด แต่ด้วยความเป็นเด็ก เค้าใช้เวลาเพียงไม่นานมาก ก็สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ที่ต้องพบเจอได้ โดยเรารู้สึกว่าเค้าเข้ากันได้ดีกับยาย และ Leo (แฟนใหม่ของยาย) ซึ่งผมว่ามันน่ารักมากๆ
แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือ ประเด็นการปรับตัวของแม่ ที่ต้องทนใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆนานถึง 7 ปี จากชีวิตวัยรุ่นของเค้า อยู่ๆมันก็เหมือนหายไปเลย 7 ปี ฉากที่เค้าดูรูปกลุ่มเพื่อนที่วิ่งผลัดด้วยกัน แล้วเล่าให้ Jack ฟัง เรารู้สึกเศร้ามากๆ ผมคิดว่าผู้ใหญ่ต่างจากเด็กตรงที่ เรารับรู้อะไรมาเยอะแล้ว เรามีสังคมเรามีเพื่อน เรามีความฝันถึงอนาคต มีเป้าหมาย แต่ทุกอย่างมันถูกทำลายไปหมดเลย
มีซีนหนึ่งที่เค้าทะเลาะกับแม่ แล้วต่อว่าแม่ว่า ก็เพราะแม่คอยสอนให้เค้าเป็นคนดีนั่นแหละ จึงทำให้เค้าหลงเชื่อตาแก่ Nick จนโดนหลอกได้ง่ายๆ เป็นเหตุให้ถูกจับขังนานถึง 7 ปี มันเป็นซีนที่เป็นการตัดพ้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆหรอก แต่เธอไม่มีทางออก เธอต้องการระบาย เธอมีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติมากๆในช่วงนี้
ผมไม่แปลกใจเลยที่เห็นซีนพยายามฆ่าตัวตายของเธอ เธออยู่ไม่ได้หรอก ชีวิตที่หายไป 7 ปี มันพังมากๆ เหมือนว่าการออกมาจากในห้องนั้น จะทำให้ชีวิตเธอกลับมาเหมือนเดิม แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่เลย มันเป็นเหมือนการออกมาเพื่อพบเจอสิ่งที่เจ็บปวดมากกว่า แต่หนังยังเห็นใจพวกเรา ที่ยังให้โอกาสให้เธอมีโอกาสบำบัดและกลับมาใช้ชีวิตกับลูกอย่างปกติได้ ผมเห็นใจเธออย่างสุดซึ้งมากๆในช่วงที่เธอเจอปัญหา
ผมประทับใจมากตอนที่ Jack ตัดผมของเค้าเพราะอยากเอาไปให้แม่ เพียงเพราะเค้าอยากที่จะมอบความเข้มแข็งของเค้าไปให้แม่ นี่คือจินตนาการของเด็กที่ผมคิดว่ามันยิ่งใหญ่มากๆ มันสุดยอดมากจริงๆ เพราะ Jack ก็เคยได้ความเข้มแข็งจากฟันผุซี่นั้นของแม่เค้าเช่นกัน
ผมชอบที่คุณยาย Nancy บอกกับ Jack เรื่องที่เราทุกคนต่างต้องช่วยกันมอบความเข้มแข็งให้แก่กันทั้งนั้น มันจริงมากๆที่ในชีวิตของพวกเราคงจะไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาไปได้เองคนเดียวหรอก พลังเหล่านี้มันสำคัญมากที่จะช่วยให้พวกเราก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
ตอนดูจบ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกันว่า ถ้าเวลาในชีวิตช่วงหนึ่งของผมหายไป แล้วผมจะรับมือกับสิ่งที่เจออย่างไร เราจะทำใจรับกับเรื่องนี้ได้หรือไม่ เราจะใช้ชีวิตต่อไปได้ไหม แต่สุดท้ายผมเชื่ออย่างที่หนังบอกว่า หากเราได้รับความเข้มแข็งจากใครบางคน เราเชื่อว่ามันจะช่วยทำให้เราผ่านสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ไปได้อย่างแน่นอน
ป.ล. พิมพ์ชื่อกระทู้ผิดนะครับ ที่ถูกจะต้องเป็น "เข้มแข็ง" ไม่ใช่ "เข็มแข็ง"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Room - เราจะเข็มแข็งได้แค่ไหน หากเวลาในชีวิตช่วงหนึ่งของเราหายไป (Spoil)
ผมยอมรับว่าไม่เคยรู้จักผู้กำกับชื่อ Lenny Abrahamson มาก่อน มันก็เลยดีตรงที่เราไม่สามารถเดาแนวทางหนังของเค้าได้ และเราก็ไม่ได้เกิดความคาดหวังอะไรจากชื่อผู้กำกับก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
เราค่อนข้างตื่นเต้นมากๆก่อนจะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อาจจะเพราะเราชอบหนังในสไตล์นี้ เราชอบเรื่องของความสัมพันธ์ของคน ซึ่งในตัวอย่างหนังก็มีให้เห็นอยู่พอสมควร และแน่นอนว่า เราก็อยากชมการแสดงของ Brie Larson ตัวเต็งรางวัล Best Actress ของเวที Oscar ในปีนี้ด้วย
หนังเปิดเรื่องมาได้น่าสนใจน่าติดตามเอามากๆ และสำหรับผมหนังเรื่องนี้สะกดผมได้อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ หนังดูสนุกมากๆ แต่ละช่วงของหนังมีเรื่องให้เราสนใจและสร้างความประหลาดใจให้เราอยู่ตลอดเวลา
ผมชอบเพลงที่แม่ร้องให้ลูกฟังก่อนนอนในช่วงที่อยู่ในห้อง เรารู้จักเพลงนี้มาก่อนจากหนังเรื่อง O Brother, Where Art Thou? ของ 2 พี่น้อง Coen ชื่อเพลงนี้ คือ Big Rock Candy Mountain ดูหนังเรื่องนี้จบ ผมฮัมเพลงนี้ไปอีก 2-3 วันเลย
Brie Larson เล่นได้สมศักดิ์ศรีผู้เข้าชิงรางวัล Best Actress มากๆ ผมคิดว่าบทของเธอในเรื่องนี้เล่นยากมากๆ มันมีรายละเอียดในการแสดงแต่ละซีนเยอะมาก ซึ่งผมดูไปรอบเดียว ก็ยังคิดว่าเก็บรายละเอียดการแสดงของเธอได้ยังไม่ครบถ้วน บทมีช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ความรู้สึกอยู่เยอะมากๆ ซึ่งผมชื่นชมเธอตรงที่ทำได้กลมกลืน ไม่เกิดการรู้สึกขัดในขณะที่ชม เธอมีสภาวะจิตใจไม่ปกติแทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเธอเก่งตรงที่ไม่ได้แสดงออกแบบโจ่งแจ้ง แต่เล่นผ่านรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะแววตาของเธอ ซึ่งผมคิดว่าเธอเก่งมากๆ
ช่วงแรกในฉากที่อยู่แต่ในห้อง เรามีความรู้สึกอึดอัดมากๆ เราอยากให้ตัวละครทั้ง 2 หลุดออกจากห้องที่คับแคบนี้ไปเสียที แต่เราไม่ได้เอะใจเลยว่า ในห้องแคบๆห้องนี้ มันคือโลกทั้งใบใหญ่ของ Jack เลยทีเดียว
ฉากตอนที่ Jack หนีออกมาจากห้องโดยแกล้งตายและถูกม้วนอยู่ในพรมบนหลังรถนั้น พอถึงวินาทีที่เค้าม้วนตัวหลุดจากพรมได้ สัมผัสแรกที่เค้าได้เห็นท้องฟ้า ต้นไม้ ผมขนลุกเลย มันเป็นวินาทีที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตมากๆ และฉากต่อมาที่ Jack โดดลงมาจากรถแล้ววิ่งหนีตาแก่ Nick ผมลุ้นตัวเกร็งเลย ผมไม่เคยรู้สึกลุ้นจนตัวเกร็งตัวสั่นจากการดูหนังมานานมากๆแล้ว จังหวะตาแก่ Nick มาจับตัว Jack และกำลังจะลากกลับไปที่รถ ผมใจหวิวเลย ผมอินมากๆในช่วงฉากนี้ ชื่มชมหนังที่ส่งมาได้ถึงขนาดนี้
และฉากต่อเนื่อง หนังก็มาเรียกน้ำตาผมได้อีก เป็นฉากที่ Jack อยู่บนรถตำรวจ ที่กำลังเข้าไปช่วยแม่ของเค้า กล้องจับภาพไปที่ทางออกจากบ้านที่มืด แล้วแม่ค่อยๆปรากฎร่างวิ่งออกมาจากในนั้น วิ่งเข้าหา Jack ที่อยู่ในรถ เราอินมากกับซีนนี้ เราดีใจกับ Jack มากๆในตอนนั้น เพราะทั้งชีวิต เค้ามีแค่แม่คนเดียวมาตลอด
ตอนดูในช่วงแรก เราไปโฟกัสที่ตัว Jack ว่าถ้าเค้าสามารถหนีออกมาจากห้องนั้นได้ เค้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริงที่กว้างใหญ่ได้ไหม เค้าจะปรับตัวยังไง ซึ่งยอมรับว่า เราลืมนึกถึงตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างแม่เลย
หลังจากที่แม่และ Jack หนีออกจากห้องที่พวกเค้าใช้ชีวิตอยู่ในนั้นมา 7 ปี (Jack อยู่มา 5 ปี เพราะคลอดหลังจากแม่เข้าไปอยู่ในห้องนั้น 2 ปี) โดยที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วพวกเค้าจะกลับมาใช้ชีวิตกับโลกภายนอกได้อย่างไร
เรามัวแต่เป็นห่วง Jack อาจจะเพราะเราเห็นเค้าเป็นเด็ก แต่เราหารู้ไม่ว่า เด็กยังคือผ้าขาวจริงๆ ดูเหมือนว่า Jack จะเจอปัญหาในช่วงวันแรกๆที่ออกมาใช้ชีวิตในโลกภายนอก เค้าต้องเจอ ต้องเห็นสิ่งใหม่ๆมากมายไปหมด รวมไปถึงการพบเจอคนใหม่ๆ การต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น นอกจากแม่ มันดูน่ากังวัลไปหมด แต่ด้วยความเป็นเด็ก เค้าใช้เวลาเพียงไม่นานมาก ก็สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ที่ต้องพบเจอได้ โดยเรารู้สึกว่าเค้าเข้ากันได้ดีกับยาย และ Leo (แฟนใหม่ของยาย) ซึ่งผมว่ามันน่ารักมากๆ
แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ คือ ประเด็นการปรับตัวของแม่ ที่ต้องทนใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆนานถึง 7 ปี จากชีวิตวัยรุ่นของเค้า อยู่ๆมันก็เหมือนหายไปเลย 7 ปี ฉากที่เค้าดูรูปกลุ่มเพื่อนที่วิ่งผลัดด้วยกัน แล้วเล่าให้ Jack ฟัง เรารู้สึกเศร้ามากๆ ผมคิดว่าผู้ใหญ่ต่างจากเด็กตรงที่ เรารับรู้อะไรมาเยอะแล้ว เรามีสังคมเรามีเพื่อน เรามีความฝันถึงอนาคต มีเป้าหมาย แต่ทุกอย่างมันถูกทำลายไปหมดเลย
มีซีนหนึ่งที่เค้าทะเลาะกับแม่ แล้วต่อว่าแม่ว่า ก็เพราะแม่คอยสอนให้เค้าเป็นคนดีนั่นแหละ จึงทำให้เค้าหลงเชื่อตาแก่ Nick จนโดนหลอกได้ง่ายๆ เป็นเหตุให้ถูกจับขังนานถึง 7 ปี มันเป็นซีนที่เป็นการตัดพ้อกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆหรอก แต่เธอไม่มีทางออก เธอต้องการระบาย เธอมีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติมากๆในช่วงนี้
ผมไม่แปลกใจเลยที่เห็นซีนพยายามฆ่าตัวตายของเธอ เธออยู่ไม่ได้หรอก ชีวิตที่หายไป 7 ปี มันพังมากๆ เหมือนว่าการออกมาจากในห้องนั้น จะทำให้ชีวิตเธอกลับมาเหมือนเดิม แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่เลย มันเป็นเหมือนการออกมาเพื่อพบเจอสิ่งที่เจ็บปวดมากกว่า แต่หนังยังเห็นใจพวกเรา ที่ยังให้โอกาสให้เธอมีโอกาสบำบัดและกลับมาใช้ชีวิตกับลูกอย่างปกติได้ ผมเห็นใจเธออย่างสุดซึ้งมากๆในช่วงที่เธอเจอปัญหา
ผมประทับใจมากตอนที่ Jack ตัดผมของเค้าเพราะอยากเอาไปให้แม่ เพียงเพราะเค้าอยากที่จะมอบความเข้มแข็งของเค้าไปให้แม่ นี่คือจินตนาการของเด็กที่ผมคิดว่ามันยิ่งใหญ่มากๆ มันสุดยอดมากจริงๆ เพราะ Jack ก็เคยได้ความเข้มแข็งจากฟันผุซี่นั้นของแม่เค้าเช่นกัน
ผมชอบที่คุณยาย Nancy บอกกับ Jack เรื่องที่เราทุกคนต่างต้องช่วยกันมอบความเข้มแข็งให้แก่กันทั้งนั้น มันจริงมากๆที่ในชีวิตของพวกเราคงจะไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาไปได้เองคนเดียวหรอก พลังเหล่านี้มันสำคัญมากที่จะช่วยให้พวกเราก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้
ตอนดูจบ ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกันว่า ถ้าเวลาในชีวิตช่วงหนึ่งของผมหายไป แล้วผมจะรับมือกับสิ่งที่เจออย่างไร เราจะทำใจรับกับเรื่องนี้ได้หรือไม่ เราจะใช้ชีวิตต่อไปได้ไหม แต่สุดท้ายผมเชื่ออย่างที่หนังบอกว่า หากเราได้รับความเข้มแข็งจากใครบางคน เราเชื่อว่ามันจะช่วยทำให้เราผ่านสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ไปได้อย่างแน่นอน
ป.ล. พิมพ์ชื่อกระทู้ผิดนะครับ ที่ถูกจะต้องเป็น "เข้มแข็ง" ไม่ใช่ "เข็มแข็ง"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/