[CR] ทริปออสเตรเลีย วันที่สอง นั่งรถเที่ยวชมเส้นทางทางโรแมนติคแห่งซีกโลกใต้ Great Ocean Road

ต่อเนื่องจากกระทู้แรก แบกเป้เที่ยวแดนจิงโจ้ 6 วัน 2 เมือง Melbourne & Sydney ที่ http://ppantip.com/topic/34703077
และ ทริปวันแรก เที่ยว Melbourne ชมนกเพนกวิน ที่ http://ppantip.com/topic/34706647

วันนี้เราตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมตัวนั่งรถออกไปเที่ยวชมเส้นทางสายโรแมนติคกัน รถตู้ของบริษัททัวร์มารับที่หน้าโรงแรมประมาณ 7 โมงเช้า รถวนรับลูกค้าจากหลายๆโรงแรมแล้วมาเปลี่ยนถ่ายที่ใกล้ๆสถานี Southern Cross ที่จุดนี้มีรถตู้จากหลายบริษัท local มาคอยรับลูกค้า เท่าที่เห็นระหว่างการเดินทาง แต่ละบริษัทมีมาตรฐานการให้บริการใกล้เคียงกัน ดังนั้นหากจะใช้บริการของบริษัทอื่นก็ไม่น่าจะมีปัญหา

คนขับซึ่งเป็นไกด์ในตัวพาเรานั่งรถออกมาประมาณ 8 โมงเช้า โดยออกมาทางตะวันตกเฉียงใต้ นั่งรถชมวิวมาได้สักชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาหยุดพักยืดเส้นยืดสายกันที่เมือง Geelong ซึ่งเป็นเมืองติดทะเลเล็กๆ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ อากาศดีมาก เย็นสบาย บ้านเรือนสวยงาม

ที่นี่ไกด์ได้นำชาร้อน กาแฟร้อน พร้อมบิสกิตออกมาให้บริการเป็นอาหารเช้าแบบเบาๆ อยากให้สังเกตขนาดของต้นไม้เทียบกับรถทัวร์

ต้นไม้ที่นี่ต้นใหญ่ ร่มรื่นมากๆ นั่งจิบไปชมวิวไป หนำใจแล้วก็ขึ้นรถเดินทางกันต่อ

เรานั่งรถต่อมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็เริ่มเข้าสู่ถนน Great Ocean Road ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักถนนสายนี้แบบสั้นๆกัน (ขอบคุณแผนที่จาก Internet)


Great Ocean Road เป็นถนนสายมรดกแห่งชาติของประเทศออสเตรเลีย (Australian National Heritage) ยาว 243 กม. โดยเริ่มต้นจากเมือง Torquay ทอดตัวเลียบมหาสมุทร ไปจนถึงเมือง Allansford ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนถนนสายนี้

GOR ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี คศ.1919 - 1932 รวมกว่า 13 ปี สร้างโดยทหารที่รอดกลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้นึกถึงทหารหาญที่เสียชีวิตไประหว่างสงคราม ถนนสายนี้ถูกจัดให้เป็นอนุสรณ์แห่งสงครามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ถนนสายนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคนี้ ด้วยความที่สวยและโรแมนติคของถนนที่ทอดตัวขนานไปกับชายฝั่งติดมหาสมุทรแปซิฟิก คดเคี้ยวผ่านภูมิประเทศที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นป่าชื้น ชายหาด และผาหินสูงชัน

จุดท่องเที่ยวสำคัญคือบริเวณ Port Cambell ซึ่งมีชื่อเสียงมาจากสภาพภูมิประเทศที่สวยแปลกตาอันเกิดจากการก่อตัวและพังหลายของแท่งหินปูนและหินทรายที่เรียงรายให้เห็นตามชายฝั่งตลอดถนนสายนี้ แท่งหินสำคัญๆ ได้แก่ The Twelve Apostles, Loch Ard Gorge, The Grotto, The Arch และ London Arch ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า London Bridge รู้ประวัติคร่าวๆกันแล้วก็กลับไปเที่ยวกันต่อเลย


เวลา 10 โมงเช้า เรามาถึงจุดชมวิวสำคัญแห่งแรก นั่นคือ The Twelve Apostels ถ้าแปลเป็นไทยก็คงเรียกว่า “แท่นหินแห่ง 12 นักบุญ” สังเกตขนาดของคนที่เดินอยู่ริมทะเลดูนะ

สัมผัสแรกคือสายลมและแสงแดดริมมหาสมุทรแปซิฟิก ร้อนแต่ได้ลมเย็นช่วยทำให้สดชื่นและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก คลื่นแรงซัดเข้าหาฝั่งไม่ขาดสาย

มีทางเดินไม้พาเราไปยังจุดที่จะเห็นท่านนักบุญอย่างชัดเจน ฟ้าใส ทัศนวิสัยเคลียร์มากๆ

นับยังไงก็จะไม่ครบ 12 เนื่องจากปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 8 แท่งเท่านั้น แท่งที่ 9 เพิ่งถล่มลงไปเมื่อเดือน กรกฏาคม ปี 2005 นี้เอง

ที่นี่มีต้นไม้ลักษณะแปลกๆให้ได้ชมกันด้วย มีลักษณะของต้นไม้ในเขตร้อนคล้ายทะเลทราย คือมีใบเล็กและแหลมคม บางต้นมีใบเป็นกลุ่มๆคล้ายดอกกระหล่ำขนาดเล็กๆ แปลกดี

ใช้เป็น Foreground ก็สวยดีนะ


ดื่มด่ำอยู่สัก 1 ชั่วโมง ก็ไปยังจุดต่อไป นั่นคือ Loch Ard Gorge

ที่นี้ตั้งชื่อตามเหตุการณ์เมื่อ 1 มิถุนายน 1878 เมื่อเรือ Loch Ard ซึ่งเดินทางมาจากประเทศอังกฤษได้อัปปางค์ลงที่เกาะ Muttonbird ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ผู้โดยสารรวม 54 คน เหลือรอดมาได้เพียง 2 คน คือ Tom Pearce ลูกเรืออายุ 15 ปี และ Eva Carmichael เด็กสาววัย 17 ปี Tom ถูกพัดเข้าฝั่งที่บริเวณอ่าวแห่งนี้ และได้ช่วยชีวิต Eva ขึ้นจากน้ำ ก่อนที่ชาวบ้านจะมาช่วย หลังจากนั้น Eva เดินทางกลับประเทศอังกฤษ ส่วน Tom ใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลีย

จุดชมวิวของ Loch Ard Gorge ใครมาที่นี่ ต้องไม่พลาดที่จะถ่ายรูปที่จุดนี้

ณ.จุดชมวิว จะมองเห็นอ่าวที่ Tom ถูกพัดเข้ามา ชายหาดดูสะอาดตา และกระแสคลื่นแรง

ลงเดินเข้าไปใกล้ๆน้ำเพื่อเก็บรูป

ขึ้นมาจากหาด เราเดินไปทางซ้ายเพื่อไปยังปลายแหลม เมื่อมองออกไปทางด้านทะเล จะเห็นกระบวนการกัดเซาะของน้ำทะเล ที่ทำให้เกิดโพรงถ้ำทางด้านล่าง ทำให้ปลายแหลมขาดออกจากแผ่นทวีป

เดินไปดูจุดสำคัญอีกหนึ่งแห่ง มองออกไปเห็นเป็นภาพนี้ ตอนแรกคิดว่าไม่ได้มีเรื่องราวใดๆ นอกจากแท่นหินกลางทะเลอีกแห่งหนึ่ง พอมาค้นข้อมูลภายหลังพบว่า ชาวออสซี่ตั้งชื่อแท่นหิน 2 แท่นนี้ว่าเป็นแท่นหิน Tom & Eva เป็นอนุสรณ์ของผู้รอดชีวิตทั้ง 2 ดูมีความสำคัญขึ้นมาทันที ฝรั่งนี่จินตนาการเก่งจริงๆ


กลับมาที่รถ ถามไกด์ว่าจะได้ไปเห็น London Arch มั้ย ไกด์บอกว่าไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นจะกลับเข้าเมืองไม่ทัน เสียดายมากๆ เลยขอพูดถึงหน่อยละกัน

London Arch ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า London Bridge ถือเป็น High Light อีกแห่งหนึ่งบนถนนสายนี้ จุดเด่นที่เป็นที่มาของชื่อ London Bridge คือมีลักษณะเหมือนสะพานโค้ง 2 ช่วงที่ทอดตัวออกจากแผ่นทวีป ในปี 1990 โค้งช่วงแรกที่ติดกับแผ่นทวีปได้พังหลายลง จนเหลือโค้งที่ 2 อยู่กลางทะเลและถูกเปลี่ยนชื่อกลายมาเป็น London Arch ในปัจจุบัน ภาพจาก www. jejakvicky.com


เรามาพักทานข้าวที่แหลม Cape Otway ซึ่งเป็นแหลมที่อยู่ใต้ที่สุดของชายฝั่งด้านตะวันตกของรัฐวิคตอเรีย เป็นส่วนหนึ่งของ Great Otway National Park ที่นี่มี Cape Otway Lightstation ซึ่งสร้างขึ้นเป็นแห่งแรกตั้งแต่ปี 1846 และใช้งานมายาวนานที่สุดของออสเตรเลียกว่า 148 ปี จนปิดในปี 1994


ได้เวลาเดินทางต่อ ไกด์พาเราขับรถออกมา สองข้างทางเห็นแต่ต้นไม้กิ่งก้านรูปทรงหงิกงอแปลกๆ แทบไม่มีใบเลย ไกด์พยายามชี้โบ้ยบ้ายให้มองขึ้นไปข้างบนสูง ไม่เห็นมีอะไรเลย มองเห็นอะไรกันบ้างมั้ยครับ

เฉลยเลยละกัน เจ้าโคอาล่านี่เอง แหมนอนหลับมีความสุขจริงนะ

ระหว่างทางจะมีให้เห็นอยู่ประปราย แต่จะอยู่บนกิ่งที่ค่อนข้างสูงมากๆ มองเห็นยาก อาศัยดูตามนักท่องเที่ยวที่จอดรถดูอยู่ตลอดเส้นทางจะหาได้ง่ายกว่า

ขับรถต่อไปอีก 1 ชม. พาเราเข้าสู่เมือง Lorne ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศอีกเมืองหนึ่ง โดยพาเราไปแวะที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ได้เห็นโคอาล่าอยู่บนต้นไม้ที่ใกล้มากๆ และได้ให้อาหารนก King Parrot สีสันสดใสที่เชื่องมากๆ



เรานั่งรถออกจากเมือง Lorne ขับย้อนขึ้นไปตามถนน Great Ocean Road ไปจนถึงอนุสรณ์สถานของถนนสายนี้ ชื่อเต็มๆคือ “Great Ocean Road Memorial Arch – Eastern View”

รูปร่างเหมือนซุ้มทางเข้าสู่ถนนสาย Great Ocean Road เรียบง่ายแต่มีคุณค่าเป็นอย่างมาก ซุ้มที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นเป็นรอบที่ 4 หลังจากที่ 3 ครั้งแรกโดนพังทลายลงไปเนื่องจาก ไฟไหม้ พายุ และการขยายถนนสายนี้เอง

ข้างๆ Memorial Arch มีป้ายแสดงแผนที่และประวัติการก่อสร้าง ส่วนหนึ่งเขียนถึงผู้เสียสละไว้ว่า
“Three thousand Australian returned soldiers and sailors of the First World War (1914-1918) built the Great Ocean Road.”

ถนนสายนี้สร้างขึ้น ระหว่างปี 1918 ถึง 1930 ใช้เวลา 12 ปี เพื่อรำลึกถึงความเสียสละและการอุทิศตนของทหารหาญที่อาสาไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 จำนวนกว่า 330,000 คน ในจำนวนนั้น 60,000 คนเสียชีวิต อีกกว่า 160,000 ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวออสเตรเลีย อนุสรณ์สถานแห่งนี้มีความหมายกับคนออสเตรเลียเป็นอย่างมากจนมีคำกล่าวที่ว่า

“The Great Ocean Road”, a living memorial to our forefathers

เคียงข้างกับ Memorial Arch เป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นเป็นเกียรติเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ลงแรงก่อสร้างถนนสายนี้ (Service Men)


เวลา 5 โมงเย็น ไกด์พาเรานั่งรถผ่านเมืองตากอากาศหลายเมือง และผ่านทิวทัศน์ที่สวยงามและโรแมนติคของถนนสาย GOR สมแล้วกับที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกยกย่องให้เป็น “One of the most Romantic Road in the World”


เรามาถึง Melbourne เวลา 2 ทุ่ม เนื่องจากยังไม่มืดและพรุ่งนี้จะไปจากเมืองนี้แล้ว เราจึงออกเดินชมความงามของเมืองอีกสักรอบ เราเดินจากโรงแรมตรงไปทางแม่น้ำ Yarra ระหว่างทางเห็นถนนที่อยู่ระหว่างห้าง Myer และ David Jones ประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีสันสดใส 2 ข้างทางเชิญชวนให้เข้าชม


เดินเข้าไปชมที่ช่องหน้าต่างข้างห้าง Myer ปีนี้เค้าฉลองครบรอบ 59 ปี จะเห็นพี่หมีคอยเล่านิทานและมีตุ๊กตาที่เคลื่อนไหวได้แสดงเรื่องราวต่างๆซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับวันคริสต์มาส


ออกจาก 2 ห้างใหญ่ เดินตามถนน Swanston อีกครั้ง ที่ฝั่งตรงข้ามถนนมีสวนเล็กๆ ด้านหลังโบสถ์ St.Paul จัดตกแต่งต้น X-mas ประดับไฟสวยงาม


ฝั่งทแยงมุมพบเห็นสถานี Flinder Street Station ประดับไฟขับอาคารสีเหลืองโดดเด่นสวยงาม

เราข้ามถนนเดินผ่าน Flinder Street Station และ Federation Square เพื่อไปชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำ Yarra ยามค่ำคืน

อาคาร Art Center และ National Gallery of Victoria International

ขอร่ำลาคืนนี้ไปด้วยภาพนี้ละกันครับ

Merry Christmas พรุ่งนี้เราจะบินไปซิดนีย์กันแล้ว Ho Ho Ho ........
ชื่อสินค้า:   Australia: Melbourne: Sydney: Countdown 2015
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่