ความเดิมตอนที่แล้ว หนูเล็กและพี่ใหญ่เดินทางบนเส้นทาง Great Ocean Road จนมาถึง Anglesea กันแล้ว แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่ที่นี่ ดังนั้น เราจะต้องไปกันต่อ
ถ้าใครเพิ่งเข้ามาอ่านตอนนี้ ย้อนไปอ่านบทเริ่มต้นของการเดินทางของหนูเล็กและพี่ใหญ่ได้ค่ะ
ตอนที่ 1 จัดกระเป๋า
http://ppantip.com/topic/34121625
ตอนที่ 2 ไปทะเลกันดีกว่า
http://ppantip.com/topic/34130710
ถ้าพร้อมกันแล้ว ไปกันต่อค่ะ
ความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่หลับไม่เต็มตื่นตั้งแต่คืนวาน ทำให้เราหลับกันรวดเดียวเช้าเลย หนูเล็กตื่นมาก็รีบไปทำหน้าที่แม่ครัวแต่เช้า ที่พักที่มีครัวช่วยให้เราสามารถจัดการกับแต่ละมื้อได้อย่างถูกปากและช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เมื่อจัดการอาหารเช้าและเก็บข้าวของกันเป็นที่เรียบร้อยก็ร่ำลามิสบาร์บาราแล้วออกเดินทางกันต่อ
เจ้าสวิฟท์ตัวน้อยตั้งต้นบนถนนสาย B100 อีกครั้ง ก่อนจะออกจาก Anglesea แวะ Coogarah Park ในตัวเมืองมีแม่น้ำที่ไหลลงทะเล น้ำใสกิ๊กมองเห็นถึงเบื้องล่าง มีส่วนที่เป็นสนามเด็กเล่น และพื้นที่สำหรับให้ครอบครัวมาปิคนิคด้วย
สำหรับเราทั้งคู่ เวลาที่ Anglesea หมดลงแล้ว หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ดังนั้น เมื่อชมวิถีชาวเมืองยามเช้ากันพอสังเขป ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อกันแล้ว คิดได้ดังนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ
เมื่อออกรถไปสักพัก หนูเล็กถึงได้นึกได้ว่าเราพลาดกิจกรรมสำคัญที่ Anglesea เสียแล้ว เพราะหากใครก็ตามที่มาที่นี่จะต้องไม่พลาดการไปเฝ้าดูเจ้าจิงโจ้ที่ Anglesea Goft Club ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างใกล้ชิด ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก นึกเจ็บใจว่าไม่น่าลืมได้เลย ใครผ่านมาเมืองนี้อย่าพลาดแบบหนูเล็กแล้วกันค่ะ
แต่หนูเล็ก ไม่มีเวลาจะหงุดหงิดได้นาน เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตระหนักต่อคำกล่าวที่ว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเส้นทางหนึ่งของโลก เพราะถนนเส้นที่เราใช้อยู่นี้จะเกาะชิดติดทะเลให้เราได้มองเห็นสีเขียวคราม ของทะเลที่ไปบรรจบกับท้องฟ้าสีสดใส เป็นเส้นทางที่ควรค่าแก่การมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ
การเดินทางของเราก็เริ่มต้นสู่ Great Ocean Road กันเต็มตัวแล้วเพราะเมื่อวิ่งไปตามถนนสาย B100
สักพักเราถึงซุ้มประตูสู่ Great Ocean Road
ตรงจุดที่เรียกว่า Memorial Arch ซึ่งเขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารจำนวน 3,000 นายที่รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นผู้สร้างถนนเส้นนี้ขึ้นมาในระหว่างปี ค.ศ.1918-1932 จุดประสงค์หลักในการสร้างถนนสายนี้ก็เพื่อเชื่อมต่อเมืองที่อยู่บริเวณชาย ฝั่งซึ่งแต่เดิมการคมนาคมเป็นไปด้วยความยากลำบาก ถ้าไม่ไปมาหาสู่กันทางเรือ ถนนหนทางก็ขรุขระ ทุรกันดาร ทหารที่กลับจากสงครามครั้งนั้นเองก็ได้มีงานทำด้วย ในมุมมองของชาวออสเตรเลียที่มีต่ออนุสรณ์สถานนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารที่ก่อสร้างถนน แต่ยังหมายรวมถึงเป็นที่ระลึกแก่ทหารหาญที่เสียชีวิตไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นด้วย
ถนนช่วงตั้งแต่ Eastern View ไปจนถึง Lorne แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1922 และตั้งแต่ Lorne จนถึง Apollo Bay นั้น สร้างเสร็จในอีก 10 ปีถัดมา ซุ้มประตูที่เห็นไม่ใช่ของเก่าตั้งแต่อดีต แต่เป็นการสร้างขึ้นทดแทนของเดิมที่โดนไฟไหม้และพังลงไปเมื่อปี ค.ศ.1983
ใกล้ๆ กันมีทางเดินเส้นเล็กๆ ให้ลงไปเลาะเลียบทะเลด้วย
ตลอดเส้นทางการขับขี่จะมีป้ายบอกความเร็วเป็นระยะๆ เดี๋ยว 80 เดี๋ยว 100 และพอเข้าโค้งก็จะเหลือ 60 ซึ่งหนูเล็กก็พยายามเคร่งครัดกับกฎข้อนี้อย่างเต็มที่ แต่ก็มีป้ายๆ หนึ่งที่เห็นแล้วอดจะขำไม่ได้ เป็นป้ายที่บอกให้ผู้ที่กำลังขับขี่ทราบว่า ออสเตรเลียขับรถชิดซ้าย คงมีไว้เพื่อเตือนชาวยุโรปที่เขาขับรถชิดขวากัน พอมาขับที่นี่อาจจะสับสนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุกันมาแล้ว ซึ่งป้ายจราจรนี้จะมีเตือนเป็นระยะๆ ให้ได้ขำกันไปตลอดทาง
ไม่นานนักก็ถึงเมือง Lorne
Lorne อยู่ห่างจากเมลเบิร์นราว 138 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่าง Loutit Bay และ Otway National Park มีแม่น้ำ Erskine ไหลผ่าน แต่เดิมไม่ได้ถูกบรรจุไว้ว่าเป็นเมืองในเส้นทาง Great Ocean Road เพิ่งจะมาขยายในภายหลัง ซึ่งเมื่อถูกบรรจุเข้ามา การท่องเที่ยวเมืองนี้จึงเริ่มคึกคักขึ้น ประกอบกับบรรยากาศที่แสนสดชื่นจึงทำให้นักท่องเที่ยวชอบที่จะมาพักตากอากาศ กัน ว่ากันว่าแค่เดินทางออกไปเพียง 10 กิโลเมตร ก็จะได้พบน้ำตกมากมายหลายแห่งที่น่าควรค่าแก่การไปเยือน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักมาเล่นวินด์เซิร์ฟ และตกปลา
ได้ใกล้ชิดธรรมชาติกันแบบนี้เลย
เจ้านก cockatoo พวกนี้มาคอยกินเศษอาหารตามร้านริมทาง
จัดได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆ อีกเมืองหนึ่งที่บรรยากาศดูสงบดี ดูจะเป็นธรรมชาติของพวกฝรั่งที่นิยมกิจกรรมกลางแจ้ง
ชายหาดด้านตะวันตกของ Louttit Bay
กิจกรรมของชาว Lorne
ยืนอยู่ได้ไม่นานก็มีอันต้องพากันวิ่งกลับมาขึ้นรถ แม้จะดีตรงที่ฟ้าค่อนข้างปิด ไม่มีแดดร้อนๆ แต่เมื่อลมทะเลพัดมาเล่นเอาหนาวยะเยือกเลยทีเดียว ปลายทางถัดไปของเราคือ Apollo Bay เมืองริมทะเลอีกเมืองหนึ่งที่ไม่แวะคงไม่ได้เช่นกัน
เมื่อออกจาก Lorne ถนนเส้นนี้ก็ยังเลาะเลียบริมทะเลตลอด หากวิวที่เห็นเป็นอาหาร ก็จัดได้ว่าเป็นอาหารมื้อที่อร่อยเหลือเกิน กินกันจนพุงกางก็ไม่หมดเสียที ไปๆ มาๆ จะจุกเอาเสียด้วย
ระหว่างการเดินทางสายตาไปปะทะกับป้ายบอกทางหนึ่งที่แนะนำให้เราเลี้ยวขวา เพื่อไปยัง Otway Forest Park หนูเล็กเลยชวนพี่ใหญ่ออกนอกเป้าหมายไปสักพัก หนูเล็กก็ไม่รู้หรอกว่าจุดหมายใหม่ที่จะไปเป็นอย่างไร แต่การออกนอกแผนการเดินทางบ้าง นับเป็นประสบการณ์หนึ่งที่หนูเล็กไม่อยากพลาดก็เลยจัดไปเสียหน่อย เพียงขับรถเข้าไปได้เพียงเล็กน้อย ถนนก็เริ่มให้เราไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มแคบและฉวัดเฉวียนลัดเลาะไปตามไหล่เขา หากมองออกไปที่หน้าต่าง ทิวทัศน์ที่เห็นไมใช่แต่เพียงลำต้นของต้นไม้ แต่เป็นยอดไม้ที่เสียดแทงขึ้นมาจากระดับดิน แสดงให้เห็นว่า เราได้ไต่ระดับความสูงขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พื้นที่ด้านบนที่เราลัดเลาะมาเรื่อยๆ มีส่วนที่เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ บ้านพักอาศัยของผู้คนบ้างเป็นระยะๆ
พบกับเจ้าแกะตัวกลมในระยะประชิด
อัลปากา
เจ้าอัลปากา (Alpaca) สัตว์ซึ่งมีถิ่นกำเนิดที่ทวีปอเมริกาใต้ แถวประเทศเปรู โบลิเวีย ดูไปก็คล้ายอูฐ แต่มีขนที่เขาว่านุ่มที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่า “เส้นใยจากพระเจ้า” ดังนั้น จึงเป็นสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงเพื่อการใช้งาน แต่เพื่อนำขนมาทำเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ มีหลากสี ขนมันราคากิโลกรัมหนึ่งหลายหมื่นบาท นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์ที่มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ สามารถอยู่ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลได้ถึง 16,000 ฟุตเลยทีเดียว เคยอ่านหนังสือเจอว่าดาราสาวชาวออสเตรเลีย นิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) เลี้ยงอัลปากาเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน เพราะมันเชื่องพอๆ กับการเลี้ยงสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ แถมยังรักสะอาด ขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ไม่มีกลิ่นแม้ไม่ได้อาบน้ำ ก็น่าแปลกดีเหมือนกัน
เราวิ่งวนอยู่ในนั้นโดยตอบไม่ได้ว่าเรากำลังอยู่จุดใดของแผนที่ แต่ก็ยังคงใจชื้นเป็นระยะๆ เมื่อมีรถวิ่งสวนทางไปบ้างแม้ว่านานๆ จะมาสักคันหนึ่ง หรือไปเจอนักท่องเที่ยวที่ปั่นจักรยานเสือภูเขาจอดพักอยู่ตามข้างทางหรือ กำลังปั่นชมธรรมชาติกัน และสิ่งที่ทำให้ความกังวลหายไปแบบปลิดทิ้งคือลืมไปเลยว่านี่เราหลงป่ากันอยู่หรือเปล่านั้น ก็คือได้เจอเจ้าโคอาลา (Coala) สัตว์พื้นเมืองของออสเตรเลียที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติของมัน หนูเล็กกับพี่ใหญ่ตื่นเต้นดีใจกันมาก พากันโบกมือเรียกมันให้มองกล้องเพื่อจะได้เก็บภาพประทับใจ กล้องคุณภาพธรรมดาๆ ฝีมือถ่ายรูปแบบพื้นๆ ซูมจนสุดแรงก็ยังรู้สึกว่ามันอยู่ไกลจัง
โคอาลา ขี้อายจริงๆ
นกอะไรไม่รู้ตัวเบ้อเร่อเลย
ไม่นานเราก็หาทางออกจากป่ามายังถนนเส้นเดิมที่มุ่งหน้าสู่ Apollo Bay ได้สมใจ
แต่จริงๆ ปลายทางวันนี้เราต้องไปให้ถึง Port Campbell ให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตก หรือถ้าจะพูดกันให้ชัดๆ ก็คือ เราต้องไปยังเป้าหมายสำคัญของทริปนี้กันให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน นั่นคือ Twelve Apostles
หนูเล็กจึงควบเจ้าสวิฟท์คันจ้อยเพื่อไปยังเป้าหมายหลักของการเดินทาง
ไม่นานนักเราก็เข้าสู่เขตที่เรียกว่า Port Campbell National Park
จุดแวะจุดแรกของที่นี่ก็คือ Gibson Steps เป็นบริเวณหน้าผาสูงชันที่ให้เราไต่ระดับลงไปเที่ยวยังด้านล่าง
มุมมองจากด้านบน
[CR] Driving in Down Under : Melbourne and Great Ocean Road ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่ Twelve Apostles
ถ้าใครเพิ่งเข้ามาอ่านตอนนี้ ย้อนไปอ่านบทเริ่มต้นของการเดินทางของหนูเล็กและพี่ใหญ่ได้ค่ะ
ตอนที่ 1 จัดกระเป๋า http://ppantip.com/topic/34121625
ตอนที่ 2 ไปทะเลกันดีกว่า http://ppantip.com/topic/34130710
ถ้าพร้อมกันแล้ว ไปกันต่อค่ะ
ความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่หลับไม่เต็มตื่นตั้งแต่คืนวาน ทำให้เราหลับกันรวดเดียวเช้าเลย หนูเล็กตื่นมาก็รีบไปทำหน้าที่แม่ครัวแต่เช้า ที่พักที่มีครัวช่วยให้เราสามารถจัดการกับแต่ละมื้อได้อย่างถูกปากและช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก เมื่อจัดการอาหารเช้าและเก็บข้าวของกันเป็นที่เรียบร้อยก็ร่ำลามิสบาร์บาราแล้วออกเดินทางกันต่อ
เจ้าสวิฟท์ตัวน้อยตั้งต้นบนถนนสาย B100 อีกครั้ง ก่อนจะออกจาก Anglesea แวะ Coogarah Park ในตัวเมืองมีแม่น้ำที่ไหลลงทะเล น้ำใสกิ๊กมองเห็นถึงเบื้องล่าง มีส่วนที่เป็นสนามเด็กเล่น และพื้นที่สำหรับให้ครอบครัวมาปิคนิคด้วย
สำหรับเราทั้งคู่ เวลาที่ Anglesea หมดลงแล้ว หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ดังนั้น เมื่อชมวิถีชาวเมืองยามเช้ากันพอสังเขป ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อกันแล้ว คิดได้ดังนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ
เมื่อออกรถไปสักพัก หนูเล็กถึงได้นึกได้ว่าเราพลาดกิจกรรมสำคัญที่ Anglesea เสียแล้ว เพราะหากใครก็ตามที่มาที่นี่จะต้องไม่พลาดการไปเฝ้าดูเจ้าจิงโจ้ที่ Anglesea Goft Club ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างใกล้ชิด ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก นึกเจ็บใจว่าไม่น่าลืมได้เลย ใครผ่านมาเมืองนี้อย่าพลาดแบบหนูเล็กแล้วกันค่ะ
แต่หนูเล็ก ไม่มีเวลาจะหงุดหงิดได้นาน เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตระหนักต่อคำกล่าวที่ว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเส้นทางหนึ่งของโลก เพราะถนนเส้นที่เราใช้อยู่นี้จะเกาะชิดติดทะเลให้เราได้มองเห็นสีเขียวคราม ของทะเลที่ไปบรรจบกับท้องฟ้าสีสดใส เป็นเส้นทางที่ควรค่าแก่การมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ
การเดินทางของเราก็เริ่มต้นสู่ Great Ocean Road กันเต็มตัวแล้วเพราะเมื่อวิ่งไปตามถนนสาย B100
สักพักเราถึงซุ้มประตูสู่ Great Ocean Road
ตรงจุดที่เรียกว่า Memorial Arch ซึ่งเขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารจำนวน 3,000 นายที่รอดชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นผู้สร้างถนนเส้นนี้ขึ้นมาในระหว่างปี ค.ศ.1918-1932 จุดประสงค์หลักในการสร้างถนนสายนี้ก็เพื่อเชื่อมต่อเมืองที่อยู่บริเวณชาย ฝั่งซึ่งแต่เดิมการคมนาคมเป็นไปด้วยความยากลำบาก ถ้าไม่ไปมาหาสู่กันทางเรือ ถนนหนทางก็ขรุขระ ทุรกันดาร ทหารที่กลับจากสงครามครั้งนั้นเองก็ได้มีงานทำด้วย ในมุมมองของชาวออสเตรเลียที่มีต่ออนุสรณ์สถานนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารที่ก่อสร้างถนน แต่ยังหมายรวมถึงเป็นที่ระลึกแก่ทหารหาญที่เสียชีวิตไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นด้วย
ถนนช่วงตั้งแต่ Eastern View ไปจนถึง Lorne แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1922 และตั้งแต่ Lorne จนถึง Apollo Bay นั้น สร้างเสร็จในอีก 10 ปีถัดมา ซุ้มประตูที่เห็นไม่ใช่ของเก่าตั้งแต่อดีต แต่เป็นการสร้างขึ้นทดแทนของเดิมที่โดนไฟไหม้และพังลงไปเมื่อปี ค.ศ.1983
ใกล้ๆ กันมีทางเดินเส้นเล็กๆ ให้ลงไปเลาะเลียบทะเลด้วย
ตลอดเส้นทางการขับขี่จะมีป้ายบอกความเร็วเป็นระยะๆ เดี๋ยว 80 เดี๋ยว 100 และพอเข้าโค้งก็จะเหลือ 60 ซึ่งหนูเล็กก็พยายามเคร่งครัดกับกฎข้อนี้อย่างเต็มที่ แต่ก็มีป้ายๆ หนึ่งที่เห็นแล้วอดจะขำไม่ได้ เป็นป้ายที่บอกให้ผู้ที่กำลังขับขี่ทราบว่า ออสเตรเลียขับรถชิดซ้าย คงมีไว้เพื่อเตือนชาวยุโรปที่เขาขับรถชิดขวากัน พอมาขับที่นี่อาจจะสับสนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุกันมาแล้ว ซึ่งป้ายจราจรนี้จะมีเตือนเป็นระยะๆ ให้ได้ขำกันไปตลอดทาง
ไม่นานนักก็ถึงเมือง Lorne
Lorne อยู่ห่างจากเมลเบิร์นราว 138 กิโลเมตร เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่าง Loutit Bay และ Otway National Park มีแม่น้ำ Erskine ไหลผ่าน แต่เดิมไม่ได้ถูกบรรจุไว้ว่าเป็นเมืองในเส้นทาง Great Ocean Road เพิ่งจะมาขยายในภายหลัง ซึ่งเมื่อถูกบรรจุเข้ามา การท่องเที่ยวเมืองนี้จึงเริ่มคึกคักขึ้น ประกอบกับบรรยากาศที่แสนสดชื่นจึงทำให้นักท่องเที่ยวชอบที่จะมาพักตากอากาศ กัน ว่ากันว่าแค่เดินทางออกไปเพียง 10 กิโลเมตร ก็จะได้พบน้ำตกมากมายหลายแห่งที่น่าควรค่าแก่การไปเยือน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักมาเล่นวินด์เซิร์ฟ และตกปลา
ได้ใกล้ชิดธรรมชาติกันแบบนี้เลย
เจ้านก cockatoo พวกนี้มาคอยกินเศษอาหารตามร้านริมทาง
จัดได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆ อีกเมืองหนึ่งที่บรรยากาศดูสงบดี ดูจะเป็นธรรมชาติของพวกฝรั่งที่นิยมกิจกรรมกลางแจ้ง
ชายหาดด้านตะวันตกของ Louttit Bay
กิจกรรมของชาว Lorne
ยืนอยู่ได้ไม่นานก็มีอันต้องพากันวิ่งกลับมาขึ้นรถ แม้จะดีตรงที่ฟ้าค่อนข้างปิด ไม่มีแดดร้อนๆ แต่เมื่อลมทะเลพัดมาเล่นเอาหนาวยะเยือกเลยทีเดียว ปลายทางถัดไปของเราคือ Apollo Bay เมืองริมทะเลอีกเมืองหนึ่งที่ไม่แวะคงไม่ได้เช่นกัน
เมื่อออกจาก Lorne ถนนเส้นนี้ก็ยังเลาะเลียบริมทะเลตลอด หากวิวที่เห็นเป็นอาหาร ก็จัดได้ว่าเป็นอาหารมื้อที่อร่อยเหลือเกิน กินกันจนพุงกางก็ไม่หมดเสียที ไปๆ มาๆ จะจุกเอาเสียด้วย
ระหว่างการเดินทางสายตาไปปะทะกับป้ายบอกทางหนึ่งที่แนะนำให้เราเลี้ยวขวา เพื่อไปยัง Otway Forest Park หนูเล็กเลยชวนพี่ใหญ่ออกนอกเป้าหมายไปสักพัก หนูเล็กก็ไม่รู้หรอกว่าจุดหมายใหม่ที่จะไปเป็นอย่างไร แต่การออกนอกแผนการเดินทางบ้าง นับเป็นประสบการณ์หนึ่งที่หนูเล็กไม่อยากพลาดก็เลยจัดไปเสียหน่อย เพียงขับรถเข้าไปได้เพียงเล็กน้อย ถนนก็เริ่มให้เราไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มแคบและฉวัดเฉวียนลัดเลาะไปตามไหล่เขา หากมองออกไปที่หน้าต่าง ทิวทัศน์ที่เห็นไมใช่แต่เพียงลำต้นของต้นไม้ แต่เป็นยอดไม้ที่เสียดแทงขึ้นมาจากระดับดิน แสดงให้เห็นว่า เราได้ไต่ระดับความสูงขึ้นมาจริงๆ แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม พื้นที่ด้านบนที่เราลัดเลาะมาเรื่อยๆ มีส่วนที่เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ บ้านพักอาศัยของผู้คนบ้างเป็นระยะๆ
พบกับเจ้าแกะตัวกลมในระยะประชิด
อัลปากา
เจ้าอัลปากา (Alpaca) สัตว์ซึ่งมีถิ่นกำเนิดที่ทวีปอเมริกาใต้ แถวประเทศเปรู โบลิเวีย ดูไปก็คล้ายอูฐ แต่มีขนที่เขาว่านุ่มที่สุดในโลก จนได้รับการขนานนามว่า “เส้นใยจากพระเจ้า” ดังนั้น จึงเป็นสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงเพื่อการใช้งาน แต่เพื่อนำขนมาทำเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ มีหลากสี ขนมันราคากิโลกรัมหนึ่งหลายหมื่นบาท นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์ที่มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ สามารถอยู่ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลได้ถึง 16,000 ฟุตเลยทีเดียว เคยอ่านหนังสือเจอว่าดาราสาวชาวออสเตรเลีย นิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) เลี้ยงอัลปากาเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน เพราะมันเชื่องพอๆ กับการเลี้ยงสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ แถมยังรักสะอาด ขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ไม่มีกลิ่นแม้ไม่ได้อาบน้ำ ก็น่าแปลกดีเหมือนกัน
เราวิ่งวนอยู่ในนั้นโดยตอบไม่ได้ว่าเรากำลังอยู่จุดใดของแผนที่ แต่ก็ยังคงใจชื้นเป็นระยะๆ เมื่อมีรถวิ่งสวนทางไปบ้างแม้ว่านานๆ จะมาสักคันหนึ่ง หรือไปเจอนักท่องเที่ยวที่ปั่นจักรยานเสือภูเขาจอดพักอยู่ตามข้างทางหรือ กำลังปั่นชมธรรมชาติกัน และสิ่งที่ทำให้ความกังวลหายไปแบบปลิดทิ้งคือลืมไปเลยว่านี่เราหลงป่ากันอยู่หรือเปล่านั้น ก็คือได้เจอเจ้าโคอาลา (Coala) สัตว์พื้นเมืองของออสเตรเลียที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติของมัน หนูเล็กกับพี่ใหญ่ตื่นเต้นดีใจกันมาก พากันโบกมือเรียกมันให้มองกล้องเพื่อจะได้เก็บภาพประทับใจ กล้องคุณภาพธรรมดาๆ ฝีมือถ่ายรูปแบบพื้นๆ ซูมจนสุดแรงก็ยังรู้สึกว่ามันอยู่ไกลจัง
โคอาลา ขี้อายจริงๆ
นกอะไรไม่รู้ตัวเบ้อเร่อเลย
ไม่นานเราก็หาทางออกจากป่ามายังถนนเส้นเดิมที่มุ่งหน้าสู่ Apollo Bay ได้สมใจ
แต่จริงๆ ปลายทางวันนี้เราต้องไปให้ถึง Port Campbell ให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตก หรือถ้าจะพูดกันให้ชัดๆ ก็คือ เราต้องไปยังเป้าหมายสำคัญของทริปนี้กันให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน นั่นคือ Twelve Apostles
หนูเล็กจึงควบเจ้าสวิฟท์คันจ้อยเพื่อไปยังเป้าหมายหลักของการเดินทาง
ไม่นานนักเราก็เข้าสู่เขตที่เรียกว่า Port Campbell National Park
จุดแวะจุดแรกของที่นี่ก็คือ Gibson Steps เป็นบริเวณหน้าผาสูงชันที่ให้เราไต่ระดับลงไปเที่ยวยังด้านล่าง
มุมมองจากด้านบน