จริงๆ เพิ่งเคยโพสว่าโอเปอร์เตอร์ไม่ค่อยชั่งน้ำหนักในการให้ความสำคัญกับลูกค้าเก่า ที่มีความจงรักภักดีต่อสินค้า และพร้อมที่จะ generate ยอดขายมาให้บริษัททั้ง ais, true หรือ dtac ...ซึ่งพวกเราทราบกันดีว่ามีการอ้างอิงมาจากแนวคิดที่ว่า ลูกค้าเก่าที่มี brand loyalty จะจงรักภักดี ใช้นาน ใช้ดี และบอกต่อ พร้อมที่จะอยู่เคียงข้าง ไม่ไปไหน ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ หรือองค์การจะมีค่าใช้จ่ายต่อลูกค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างน้อยกว่า จึงต้องพยายามรักษาไว้ให้นาน
....แต่มานั่งๆ คิด นอนๆ คิดดู ตอนนี้กลุ่ม Generation Y เริ่มเข้ามาแทนที่ ซึ่งกลุ่มนี้มีความจงรักภักดีที่น้อยกว่า (ไม่ใช่ไม่มีนะครับ) พร้อมที่จะเปลี่ยนใจไปหาคนใหม่ (แค่เพียงคนใหม่ มีอะไรให้มากกว่า เหมาะสมกับกลุ่ม gen Y) และหากเมื่อใด คนใหม่ไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเพียงพอ กลุ่ม GEN Y นี้ก็จะเปลี่ยนไปให้คนใหม่อีกคนหนึ่งที่ดีกว่า โดยไม่เห็นค่าว่า คนเก่า หรือโอเปอร์เรเตอร์เก่าเคยดีต่อเขาอย่างไร ดังนั้นโอเปอร์เรเตอร์จึงต้องมีค่าใช้จ่าย เช่น ย้ายค่าย ซื้อเครื่องใหม่ ติดโปรนานหนึ่งปี และได้เครื่องราคาถูกกว่า หรือขอโปรฯ ลับ เป็นต้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง (ที่จำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในการแข่งขันในตลาด)
ในสภาวะการแข่งขันที่สูงมาก ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นมากเช่นกัน อันนี้อาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ในอนาคตอันใกล้ ที่บริษัทฯ หรือ โอเปอร์เรเตอร์ ไม่จำเป็นต้องรักษาลูกค้าเก่า (ประมาณว่าอยากย้าย ก็ย้าย ....ก็เพราะอยากย้ายอยู่แล้ว ห้ามก็ไม่ฟัง เพียงเพราะเขาคือ GEN Y) เพราะกลุ่มลูกค้าเก่า หรือ baby boomer หรือ GEN X นับวันจะตายจากไป หรือลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ ทางโอเปอร์เรเตอร์ ก็ตัด cost ตรงนี้ไปเลย ไม่ว่าจะเป็น serenade (emerald, gold, platinum), dtac blue member, หรือ true red/black เป็นต้น (ซึ่งปัจจุบันผมมองว่าเริ่มไม่มีอะไรใหม่แล้ว (เห็นแค่ ais เจ้าเดียวที่ยังใช้งบนี้อยู่) ซึ่งไม่ใช่ว่าจะต้องตัดออกไป แต่เท่าที่เห็นคือแต่ละเจ้าจะ พยายามบีบให้เหลือคนที่มี brand loyalty จริงๆ และเหลือให้น้อยที่สุดที่ จะเอาเม็ดเงินมาบำเรอคนกลุ่มนี้อย่างจริงๆจังๆ (เช่นเดิมคนที่เป็น serenade อาจมี 400,000 เลขหมาย แต่ในอนาคตอาจจะเหลือเพียง 100,000 เลขหมาย...ก้อเป็นด้าย)
ปล. แนวคิดอาจสวนทางกับการตลาดในปัจจุบันก็ได้ครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านก่อนดื่มทุกครั้ง
$$ ล้าสมัยไปแล้วครับสำหรับคำว่า "ลูกค้าเก่า" โดยเฉพาะ GEN Y ที่ไม่มี brand loyalty-อีกกลยุทธ์หนึ่งของค่ายมือถือ $$
....แต่มานั่งๆ คิด นอนๆ คิดดู ตอนนี้กลุ่ม Generation Y เริ่มเข้ามาแทนที่ ซึ่งกลุ่มนี้มีความจงรักภักดีที่น้อยกว่า (ไม่ใช่ไม่มีนะครับ) พร้อมที่จะเปลี่ยนใจไปหาคนใหม่ (แค่เพียงคนใหม่ มีอะไรให้มากกว่า เหมาะสมกับกลุ่ม gen Y) และหากเมื่อใด คนใหม่ไม่สามารถตอบสนองได้อย่างเพียงพอ กลุ่ม GEN Y นี้ก็จะเปลี่ยนไปให้คนใหม่อีกคนหนึ่งที่ดีกว่า โดยไม่เห็นค่าว่า คนเก่า หรือโอเปอร์เรเตอร์เก่าเคยดีต่อเขาอย่างไร ดังนั้นโอเปอร์เรเตอร์จึงต้องมีค่าใช้จ่าย เช่น ย้ายค่าย ซื้อเครื่องใหม่ ติดโปรนานหนึ่งปี และได้เครื่องราคาถูกกว่า หรือขอโปรฯ ลับ เป็นต้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง (ที่จำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในการแข่งขันในตลาด)
ในสภาวะการแข่งขันที่สูงมาก ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นมากเช่นกัน อันนี้อาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ในอนาคตอันใกล้ ที่บริษัทฯ หรือ โอเปอร์เรเตอร์ ไม่จำเป็นต้องรักษาลูกค้าเก่า (ประมาณว่าอยากย้าย ก็ย้าย ....ก็เพราะอยากย้ายอยู่แล้ว ห้ามก็ไม่ฟัง เพียงเพราะเขาคือ GEN Y) เพราะกลุ่มลูกค้าเก่า หรือ baby boomer หรือ GEN X นับวันจะตายจากไป หรือลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ ทางโอเปอร์เรเตอร์ ก็ตัด cost ตรงนี้ไปเลย ไม่ว่าจะเป็น serenade (emerald, gold, platinum), dtac blue member, หรือ true red/black เป็นต้น (ซึ่งปัจจุบันผมมองว่าเริ่มไม่มีอะไรใหม่แล้ว (เห็นแค่ ais เจ้าเดียวที่ยังใช้งบนี้อยู่) ซึ่งไม่ใช่ว่าจะต้องตัดออกไป แต่เท่าที่เห็นคือแต่ละเจ้าจะ พยายามบีบให้เหลือคนที่มี brand loyalty จริงๆ และเหลือให้น้อยที่สุดที่ จะเอาเม็ดเงินมาบำเรอคนกลุ่มนี้อย่างจริงๆจังๆ (เช่นเดิมคนที่เป็น serenade อาจมี 400,000 เลขหมาย แต่ในอนาคตอาจจะเหลือเพียง 100,000 เลขหมาย...ก้อเป็นด้าย)
ปล. แนวคิดอาจสวนทางกับการตลาดในปัจจุบันก็ได้ครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านก่อนดื่มทุกครั้ง