พ่อแม่ฝ่ายหญิงสมัยก่อน เรียกสินสอดฝ่ายชายก็เพื่อเป็นการประเมินว่าฝ่ายชายนั้นจะเลี้ยงดูลูกสาวของตัวเองได้หรือไม่
และพ่อแม่ฝ่ายหญิงเขาก็ไม่ได้เรียกกันไปเฉยๆนะ ไม่เหมือนพ่อแม่ฝ่ายหญิงสมัยนี้บางครอบครัวที่เรียกสินสอดเอาไปเก็บกันเอง
สมมุติว่า ฝ่ายหญิงเรียกไป 10,000 บาท เรือนหอฝากระดาน 5 ห้อง (ทองเท่าไรก็ว่ากันไป)
พอถึงวันแต่ง ทางพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะต้องเตรียมเงิน 10,000 บาท เท่าๆกับฝ่าบชายเลย เพื่อให้เป็นเงินให้บ่าวสาวเก็บไว้เป็นเงินตั้งตัว
ส่วนก็ฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นคนเตรียมสำรับอาหาร และการจัดงานทั้งหมด เพราะงานแต่งจัดที่บ้านฝ่ายหญิง แล้วก็เตรียมหม้อ ไห กะทะ ที่หลับที่นอนชุดใหม่ เพื่อนำไปใช้ที่เรือนหอหลังใหม่ (กรณีคนมีเงิน ถ้าไม่มีเงินก็แต่งเข้าบ้านฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแล้วแต่จะตกลง แต่ที่นอน ฟูกใหม่นี่ต้องมีติดตัวไปด้วย)
เขาก็เรียกกันตามเหมาะสม ให้พอไปตั้งตัวได้ ไม่ใช่เรียกเอาหน้าเอาตาแบบสมัยนี้ เพราะคนโบราณเขาถือว่า "แค่มีพร้าเหน็บหลังมาด้ามเดียว ถ้าขยันทำมาหากิน ประเดี๋ยวก็สุขสบาย"
ฝากไว้ให้คิด "คุณจะเรียกสินสอดเท่าไรก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า ต้องไม่เป็นหนี้ ต้องไม่ทุกข์ใจ และต้องรักกันจริง มันถึงจะอยู่กันยืด"
แต่สำหรับคนรวยเขาจะเรียกเท่าไรถ้าฝ่ายชายมีปัญญาจ่ายก็ไม่ใช่ปัญหา
ส่วนตัวเจ้าของกระทู้เป็นครอบครัวหนึ่งที่ไม่เรียกสินสอดฝ่ายชายเลย เพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ พิธีการก็ไม่ได้จัด เพราะมองว่าสิ้นเปลือง ทุกวันนี้ก็อยู่กันดี ให้เกียรติกันดี ไม่ต้องมีหนี้สินให้ต้องมานั่งตามใช้
พี่ที่รู้จักแต่งกับคนรวยมาก (ฝ่ายชายมีบริษัท มีโรงงาน) วันสู่ขอแม่ฝ่ายหญิงไม่เรียกสินสอดเลย พอถึงวันงานฝ่ายชายจัดสินสอดใส่พานมาเป็นเงิน 80,000 บาท ทอง 20 บาท ฝ่ายเจ้าบ่าวเขาให้เหตุผลว่าธรรมเนียมคนจีน ลูกชายคนรองและคนเล็กจะจัดสินสอดมากกว่าพี่ชายคนโตไม่ได้ แม่ฝ่ายหญิงก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาบอกว่าเขาไม่คิดขายลูกกิน แต่พอถึงช่วงยกน้ำชาทางแม่สามีเขาก็รับขวัญลูกสะใภ้ด้วยกำไรทองอีก 10 บาท สรุปคือครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายมีความสุขดี
การแต่งงานมันแค่การเริ่มต้น ถ้าคุณมาคิดเล็กคิดน้อยเสียตั้งแต่ตอนนี้ อยู่กันไปก็คงลำบาก เพราะเรื่องแต่งงานมันจะคาใจคุณไปตลอดชีวิต
ขนาดคนมีงานแต่งงาน เมื่อถึงเวลางานแต่งออกมาไม่ดียังเสียใจ นึกเสียดายไปตลอด
***แก้ไขคำผิดนะคะ***
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องสินสอด
และพ่อแม่ฝ่ายหญิงเขาก็ไม่ได้เรียกกันไปเฉยๆนะ ไม่เหมือนพ่อแม่ฝ่ายหญิงสมัยนี้บางครอบครัวที่เรียกสินสอดเอาไปเก็บกันเอง
สมมุติว่า ฝ่ายหญิงเรียกไป 10,000 บาท เรือนหอฝากระดาน 5 ห้อง (ทองเท่าไรก็ว่ากันไป)
พอถึงวันแต่ง ทางพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะต้องเตรียมเงิน 10,000 บาท เท่าๆกับฝ่าบชายเลย เพื่อให้เป็นเงินให้บ่าวสาวเก็บไว้เป็นเงินตั้งตัว
ส่วนก็ฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นคนเตรียมสำรับอาหาร และการจัดงานทั้งหมด เพราะงานแต่งจัดที่บ้านฝ่ายหญิง แล้วก็เตรียมหม้อ ไห กะทะ ที่หลับที่นอนชุดใหม่ เพื่อนำไปใช้ที่เรือนหอหลังใหม่ (กรณีคนมีเงิน ถ้าไม่มีเงินก็แต่งเข้าบ้านฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแล้วแต่จะตกลง แต่ที่นอน ฟูกใหม่นี่ต้องมีติดตัวไปด้วย)
เขาก็เรียกกันตามเหมาะสม ให้พอไปตั้งตัวได้ ไม่ใช่เรียกเอาหน้าเอาตาแบบสมัยนี้ เพราะคนโบราณเขาถือว่า "แค่มีพร้าเหน็บหลังมาด้ามเดียว ถ้าขยันทำมาหากิน ประเดี๋ยวก็สุขสบาย"
ฝากไว้ให้คิด "คุณจะเรียกสินสอดเท่าไรก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า ต้องไม่เป็นหนี้ ต้องไม่ทุกข์ใจ และต้องรักกันจริง มันถึงจะอยู่กันยืด"
แต่สำหรับคนรวยเขาจะเรียกเท่าไรถ้าฝ่ายชายมีปัญญาจ่ายก็ไม่ใช่ปัญหา
ส่วนตัวเจ้าของกระทู้เป็นครอบครัวหนึ่งที่ไม่เรียกสินสอดฝ่ายชายเลย เพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ พิธีการก็ไม่ได้จัด เพราะมองว่าสิ้นเปลือง ทุกวันนี้ก็อยู่กันดี ให้เกียรติกันดี ไม่ต้องมีหนี้สินให้ต้องมานั่งตามใช้
พี่ที่รู้จักแต่งกับคนรวยมาก (ฝ่ายชายมีบริษัท มีโรงงาน) วันสู่ขอแม่ฝ่ายหญิงไม่เรียกสินสอดเลย พอถึงวันงานฝ่ายชายจัดสินสอดใส่พานมาเป็นเงิน 80,000 บาท ทอง 20 บาท ฝ่ายเจ้าบ่าวเขาให้เหตุผลว่าธรรมเนียมคนจีน ลูกชายคนรองและคนเล็กจะจัดสินสอดมากกว่าพี่ชายคนโตไม่ได้ แม่ฝ่ายหญิงก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาบอกว่าเขาไม่คิดขายลูกกิน แต่พอถึงช่วงยกน้ำชาทางแม่สามีเขาก็รับขวัญลูกสะใภ้ด้วยกำไรทองอีก 10 บาท สรุปคือครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายมีความสุขดี
การแต่งงานมันแค่การเริ่มต้น ถ้าคุณมาคิดเล็กคิดน้อยเสียตั้งแต่ตอนนี้ อยู่กันไปก็คงลำบาก เพราะเรื่องแต่งงานมันจะคาใจคุณไปตลอดชีวิต
ขนาดคนมีงานแต่งงาน เมื่อถึงเวลางานแต่งออกมาไม่ดียังเสียใจ นึกเสียดายไปตลอด
***แก้ไขคำผิดนะคะ***