!!!!! SAMART ผันตัวเข้าสู่พลังงาน !!!!!
"วัฒน์ชัย" ประกาศอีก 3 ปี ธุรกิจไอทีไม่ใช่ธุรกิจหลัก หลังเบนเข็มเข็นSAMART เข้าสู่ธุรกิจพลังงานเต็มตัว ตั้งเป้าหมายภายใน 6-7 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงาน เพิ่มเป็น 60-70% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 20% ลุยสร้างโรงไฟฟ้าทุกรูปแบบ ทั้งโซลาร์ฯ-ขยะ-น้ำ ผ่าน SAMART U-trans เร่งดันกำลังการผลิตแตะ 100 MW เพื่อผลักดันเข้าตลาดหุ้น จากปัจจุบันมี 23 MW
***"วัฒน์ชัย" ลั่นอีก 3 ปีไอทีไม่ใช่ธุรกิจหลัก ดันสัดส่วนรายได้พลังงานเพิ่มเป็น 60-70% ใน 6-7 ปี
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSAMART เปิดเผยว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้าธุรกิจถือถือจะไม่ใช่ธุรกิจหลักของกลุ่ม SAMART เพราะการแข่งขันที่รุนแรง จึงต้องปรับตัวหารายได้ช่องทางใหม่ คือรายได้จากการให้บริการต่างๆ
นายธีระชัย พงศ์พนางาม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถ ยู ทรานส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า หากแผนลงทุนโครงการพลังงานต่าง ๆ เป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าในระยะ 6-7 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของบริษัท หรือจากธุรกิจพลังงาน จะเพิ่มขึ้นเป็น 60-70% ของรายได้ทั้งกลุ่ม
ทั้งนี้ ตามแผนของบริษัท ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า100 เมกะวัตต์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต อยู่ที่ 23 เมกะวัตต์ มีแผนจะลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ 4 แหล่ง แหล่งละ 8 เมกะวัตต์ รวม32 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างพิจารณาลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ที่ประเทศลาว ประมาณ 10 เมกะวัตต์ คาดมีความชัดเจนเร็วๆนี้ รวมถึงมีแผนที่จะลงทุนโซลาร์ฟาร์มในประเทศ ซึ่งขณะนี้รอความชัดเจนจากภาครัฐ โดยบริษัทหวังว่าในการลงทุนโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจะมีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR)ที่ระดับ 11-12%
ส่วนแผนการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ประเทศกัมพูชา ขนาดกำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเสนอขายไฟกับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยคาดว่าจะได้สัญญาขายไฟภายใน 2 ปี และจะใช้เวลาก่อสร้างอีก4 ปี
***"วัฒน์ชัย"ตั้งเป้าหมายปี 59 กลุ่มสามารถมีรายได้ 2.4 หมื่นลบ.
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSAMART เปิดเผยว่า ในปี 2559 นอกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมธุรกิจ SME และการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือน จะเป็นแรงหนุนที่สำคัญและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้แก่กลุ่ม “สามารถ”
บริษัทฯ จึงตั้งเป้ารายได้รวม 24,000 ล้านบาทแบ่งเป็น รายได้จากสายไอทีโซลูชั่น หรือ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL จำนวน 10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือมูลค่า 8,200 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 4,000ล้านบาท และปีนี้มีแผนเข้าประมูลงานมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท และจะรับรู้รายได้ปีนี้6,000 ล้านบาท โดยคาดสิ้นปีนี้จะมีมูลค่าในมืออยู่ที่ 13,000ล้านบาท
รายได้จากจากสายธุรกิจโมบาย-มัลติมีเดีย โดยบริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท สายธุรกิจ U-trans ซึ่งประกอบด้วย CATS,Kampot Power Plant และ Teda บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านระบบและเสาส่งไฟฟ้า ตั้งเป้าปีนี้มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้ประจำจาก CATS และ Kampot Power Plant ที่ประเทศกัมพูชาแล้ว กลุ่ม U-trans มีแผนลงทุนในธุรกิจพลังงานในปีนี้มูลค่า ซึ่งจะมีความชัดเจนได้ในปลายเดือนมี.ค.นี้ โดยบริษัทฯตั้งเป้ารายได้ใน 2 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท
ขณะที่ สายธุรกิจ Related Business ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ 2,100 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยของ Vision & Securelity ซึ่งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นมากจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีโครงการที่รอประมูลปีนี้ 2,000 ล้านบาท และด้านบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO เป็นบริษัทในเครือรายที่ 4 ของกลุ่มสามารถที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีโครงการที่จะเข้าประมูลปีนี้มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
***กลุ่มSAMARTตั้งงบลงทุนปีนี้ 2 หมื่นลบ. แหล่งทุนมีเพียงพอไม่จำเป็นเพิ่มทุน
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSAMART เปิดเผยว่า สำหรับงบลงทุนทั้งกลุ่มปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 20,000ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุน ธุรกิจสาย สายไอทีโซลูชั่น ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท สายธุรกิจโมบาย มัลติมีเดีย 500-1,000 ล้านบาท และที่เหลือลงทุนพลังงาน ภายใต้สายธุรกิจ U-trans ส่วนแหล่งเงินทุนนั้นบริษัทสามารถจัดหาได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน
***SIM ยอมรับขายมือถือแข่งดุ พยายามรักษายอดขายมือถือปีนี้ระดับ 3 ล้านเครื่อง
นายจักรกฤช จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด(มหาชน) หรือ SIM กล่าวว่าบริษัทคาดว่ายอดขายมือถือปีนี้จะพยายามจะให้ไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มียอดขาย 3 ล้านเครื่อง แม้ การแข่งขันในประเทศจะรุนแรง จากผู้ประกอบการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ต่างๆ มีการแจกมือถือ และลดราคามือถือจากที่จะให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้บริการ 4G ทำให้ยอดขายมือถือในประเทศลดลง แต่บริษัทมีโอกาสที่จะมีรายได้จากการขายในต่างประเทศ เช่น กัมพูชา จีน และ แอฟริกา
ทั้งนี้ บริษัทจะมีการปรับตัวโดยการหารายได้อื่นมาชดเชยรายได้จากการขายมือถือ เช่น รายได้การให้บริการคือ การชำระค่าบริการต่างๆ รายได้ อีคอมเมิร์ซ ร้านขายมือถือจะเปลี่ยนโฉม ไม่ใช่เฉพาะขายมือถือแต่จะมีการขายกาแฟ ด้วย
***บล.โกลเบล็ก หั่นเป้ากำไรปี 58 ลดลง 22% แต่ยังให้คำแนะนำซื้อ เหตุมองปี 59 ฟื้นตัว
บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการรายได้ปี 58 ของSAMART ลง 4% และปรับเพิ่มต้นทุนการขายและบริการเพิ่มขึ้น 2% ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 58 จากเดิม 1,339 ล้านบาทเป็น 1,039 ล้านบาทลดลง 22%
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยคาดว่าปี 59 ทางSAMART จะมีการเติบโตมากขึ้นหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและคาดว่าจะเห็นเด่นชัดตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 59 เป็นต้นไป จากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะผลักดันให้โครงการต่างๆเริ่มเปิดประมูลและดำเนินการ รวมถึงการเปิดใช้งานระบบ APPS ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมาจะช่วยผลักดันให้รายได้ของ SAMTEL เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนส่วนแบ่งรายได้มายัง SAMARTเต็มปีในปี 59
SAMART ยังคงมีความเสี่ยงจาก SIM ที่จะมีการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดการพึ่งพายอดขายโทรศัพท์มือถือรวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงจะกดดันต่อราคาขาย ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิปี 59 ราว 1,118 ล้านบาทเติบโตจากประมาณการปี 58 ราว 7.5%
โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 59 เท่ากับ 20.10 บาท แม้ว่าปี 59 บริษัทจะยังมีความเสี่ยงในเรื่องผลการดำเนินงานแต่การฟื้นตัวเศรษฐกิจรวมถึงราคาที่ปรับตัวลงมามากโดยลดลง 42% จากต้นปี ทำให้บริษัทมีความน่าสนใจ โดยมูลค่าเหมาะสมซึ่งประเมินจากวิธี Sum of the parts ได้เท่ากับ 20.10 บาท
Cr: efinancethai
** ภายใน 3 ปีข้างหน้าธุรกิจถือถือจะไม่ใช่ธุรกิจหลักของกลุ่ม SAMART อีกต่อไป **
"วัฒน์ชัย" ประกาศอีก 3 ปี ธุรกิจไอทีไม่ใช่ธุรกิจหลัก หลังเบนเข็มเข็นSAMART เข้าสู่ธุรกิจพลังงานเต็มตัว ตั้งเป้าหมายภายใน 6-7 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงาน เพิ่มเป็น 60-70% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 20% ลุยสร้างโรงไฟฟ้าทุกรูปแบบ ทั้งโซลาร์ฯ-ขยะ-น้ำ ผ่าน SAMART U-trans เร่งดันกำลังการผลิตแตะ 100 MW เพื่อผลักดันเข้าตลาดหุ้น จากปัจจุบันมี 23 MW
***"วัฒน์ชัย" ลั่นอีก 3 ปีไอทีไม่ใช่ธุรกิจหลัก ดันสัดส่วนรายได้พลังงานเพิ่มเป็น 60-70% ใน 6-7 ปี
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSAMART เปิดเผยว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้าธุรกิจถือถือจะไม่ใช่ธุรกิจหลักของกลุ่ม SAMART เพราะการแข่งขันที่รุนแรง จึงต้องปรับตัวหารายได้ช่องทางใหม่ คือรายได้จากการให้บริการต่างๆ
นายธีระชัย พงศ์พนางาม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถ ยู ทรานส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า หากแผนลงทุนโครงการพลังงานต่าง ๆ เป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าในระยะ 6-7 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของบริษัท หรือจากธุรกิจพลังงาน จะเพิ่มขึ้นเป็น 60-70% ของรายได้ทั้งกลุ่ม
ทั้งนี้ ตามแผนของบริษัท ตั้งเป้าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า100 เมกะวัตต์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต อยู่ที่ 23 เมกะวัตต์ มีแผนจะลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ 4 แหล่ง แหล่งละ 8 เมกะวัตต์ รวม32 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างพิจารณาลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ที่ประเทศลาว ประมาณ 10 เมกะวัตต์ คาดมีความชัดเจนเร็วๆนี้ รวมถึงมีแผนที่จะลงทุนโซลาร์ฟาร์มในประเทศ ซึ่งขณะนี้รอความชัดเจนจากภาครัฐ โดยบริษัทหวังว่าในการลงทุนโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจะมีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR)ที่ระดับ 11-12%
ส่วนแผนการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ประเทศกัมพูชา ขนาดกำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเสนอขายไฟกับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยคาดว่าจะได้สัญญาขายไฟภายใน 2 ปี และจะใช้เวลาก่อสร้างอีก4 ปี
***"วัฒน์ชัย"ตั้งเป้าหมายปี 59 กลุ่มสามารถมีรายได้ 2.4 หมื่นลบ.
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSAMART เปิดเผยว่า ในปี 2559 นอกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมธุรกิจ SME และการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือน จะเป็นแรงหนุนที่สำคัญและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้แก่กลุ่ม “สามารถ”
บริษัทฯ จึงตั้งเป้ารายได้รวม 24,000 ล้านบาทแบ่งเป็น รายได้จากสายไอทีโซลูชั่น หรือ บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL จำนวน 10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือมูลค่า 8,200 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 4,000ล้านบาท และปีนี้มีแผนเข้าประมูลงานมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท และจะรับรู้รายได้ปีนี้6,000 ล้านบาท โดยคาดสิ้นปีนี้จะมีมูลค่าในมืออยู่ที่ 13,000ล้านบาท
รายได้จากจากสายธุรกิจโมบาย-มัลติมีเดีย โดยบริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท สายธุรกิจ U-trans ซึ่งประกอบด้วย CATS,Kampot Power Plant และ Teda บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านระบบและเสาส่งไฟฟ้า ตั้งเป้าปีนี้มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้ประจำจาก CATS และ Kampot Power Plant ที่ประเทศกัมพูชาแล้ว กลุ่ม U-trans มีแผนลงทุนในธุรกิจพลังงานในปีนี้มูลค่า ซึ่งจะมีความชัดเจนได้ในปลายเดือนมี.ค.นี้ โดยบริษัทฯตั้งเป้ารายได้ใน 2 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท
ขณะที่ สายธุรกิจ Related Business ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ 2,100 ล้านบาท โดยเฉพาะธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยของ Vision & Securelity ซึ่งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นมากจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีโครงการที่รอประมูลปีนี้ 2,000 ล้านบาท และด้านบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO เป็นบริษัทในเครือรายที่ 4 ของกลุ่มสามารถที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีโครงการที่จะเข้าประมูลปีนี้มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
***กลุ่มSAMARTตั้งงบลงทุนปีนี้ 2 หมื่นลบ. แหล่งทุนมีเพียงพอไม่จำเป็นเพิ่มทุน
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSAMART เปิดเผยว่า สำหรับงบลงทุนทั้งกลุ่มปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 20,000ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุน ธุรกิจสาย สายไอทีโซลูชั่น ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท สายธุรกิจโมบาย มัลติมีเดีย 500-1,000 ล้านบาท และที่เหลือลงทุนพลังงาน ภายใต้สายธุรกิจ U-trans ส่วนแหล่งเงินทุนนั้นบริษัทสามารถจัดหาได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุนจดทะเบียน
***SIM ยอมรับขายมือถือแข่งดุ พยายามรักษายอดขายมือถือปีนี้ระดับ 3 ล้านเครื่อง
นายจักรกฤช จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด(มหาชน) หรือ SIM กล่าวว่าบริษัทคาดว่ายอดขายมือถือปีนี้จะพยายามจะให้ไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มียอดขาย 3 ล้านเครื่อง แม้ การแข่งขันในประเทศจะรุนแรง จากผู้ประกอบการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ต่างๆ มีการแจกมือถือ และลดราคามือถือจากที่จะให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้บริการ 4G ทำให้ยอดขายมือถือในประเทศลดลง แต่บริษัทมีโอกาสที่จะมีรายได้จากการขายในต่างประเทศ เช่น กัมพูชา จีน และ แอฟริกา
ทั้งนี้ บริษัทจะมีการปรับตัวโดยการหารายได้อื่นมาชดเชยรายได้จากการขายมือถือ เช่น รายได้การให้บริการคือ การชำระค่าบริการต่างๆ รายได้ อีคอมเมิร์ซ ร้านขายมือถือจะเปลี่ยนโฉม ไม่ใช่เฉพาะขายมือถือแต่จะมีการขายกาแฟ ด้วย
***บล.โกลเบล็ก หั่นเป้ากำไรปี 58 ลดลง 22% แต่ยังให้คำแนะนำซื้อ เหตุมองปี 59 ฟื้นตัว
บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการรายได้ปี 58 ของSAMART ลง 4% และปรับเพิ่มต้นทุนการขายและบริการเพิ่มขึ้น 2% ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 58 จากเดิม 1,339 ล้านบาทเป็น 1,039 ล้านบาทลดลง 22%
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยคาดว่าปี 59 ทางSAMART จะมีการเติบโตมากขึ้นหลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและคาดว่าจะเห็นเด่นชัดตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 59 เป็นต้นไป จากความเชื่อมั่นนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะผลักดันให้โครงการต่างๆเริ่มเปิดประมูลและดำเนินการ รวมถึงการเปิดใช้งานระบบ APPS ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมาจะช่วยผลักดันให้รายได้ของ SAMTEL เพิ่มขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนส่วนแบ่งรายได้มายัง SAMARTเต็มปีในปี 59
SAMART ยังคงมีความเสี่ยงจาก SIM ที่จะมีการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจเพื่อลดการพึ่งพายอดขายโทรศัพท์มือถือรวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงจะกดดันต่อราคาขาย ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิปี 59 ราว 1,118 ล้านบาทเติบโตจากประมาณการปี 58 ราว 7.5%
โดยให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 59 เท่ากับ 20.10 บาท แม้ว่าปี 59 บริษัทจะยังมีความเสี่ยงในเรื่องผลการดำเนินงานแต่การฟื้นตัวเศรษฐกิจรวมถึงราคาที่ปรับตัวลงมามากโดยลดลง 42% จากต้นปี ทำให้บริษัทมีความน่าสนใจ โดยมูลค่าเหมาะสมซึ่งประเมินจากวิธี Sum of the parts ได้เท่ากับ 20.10 บาท
Cr: efinancethai