[CR] เที่ยวแบบ Street Style ปลายฤดูร้อน กับยุโรปตอนใต้ Rome - Naples - Marseilles (เพราะโรมไม่ได้มีแค่ความสวย แต่...

สวัสดีทุกคนครับ วันนี้จะมาแบ่งปันประสบการณ์การไปเที่ยวยุโรปตอนใต้ของผมเมื่อปลายๆหน้าร้อนที่แล้ว ช่วง Summer 2015 ทริปนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงกันยายน ปีที่แล้วครับ แต่อยู่ดีๆก็มีความคิดว่าอยากจะ share tips ในการเดินทาง เพราะในการไป Backpack คนเดียวนั้นก็มีเรื่องหลายๆเรื่อง tricks ต่างๆนาๆที่ไม่ได้เขียนไว้ใน guidebook หลายๆเล่ม อย่างที่เกริ่นไว้ในหัวข้อ เพราะโรมก็ไม่ได้มีแค่ความสวยงาม แต่ก็มีหลายๆเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่มักจะไม่ได้เขียนไว้ในหนังสือนำเที่ยว ประกอบกับการที่เป็นคนรัก Fashion การถ่ายภาพ และ Street Style จึงได้รวมตัวกับ traveler spirit ของการเป็นนักเดินทาง ซึ่งก็อาจจะไม่ได้ดูเป็น Backpackers แบกเป้หนักๆ แต่มันเป็น style การเที่ยวของผมที่อยากออกมาแบ่งปันอีกมุมมองหนึ่งของการเดินทางเพื่อหาแรงบันดาลใจ ที่มี fashion และ ศิลปะเป็นแรงจูงใจให้ออกไปท่องโลกกว้าง แต่ผมจะไม่ได้เน้นหนักไปทางสถานที่สำคัญๆมากนักนะครับ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในเมืองเล็กๆ ท้องถิ่น หรือพื้นที่เฉพาะ ที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวจะไปกัน แต่ในขณะเดียวกันการออกไปเที่ยวก็เป็นประสบการณ์ที่ มีทั้ง ดี ทั้งไม่ดี เกิดขึ้น มากมาย การเดินทางทริปนี้ส่วนใหญ่ไปคนเดียวครับ

ทริปนี้ผมเริ่มต้นที่ Rome ครับ ล่องไปเรื่อยๆ ถึง Napoli หรือ Naple แล้วก็เมืองเล็กๆริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตอนใต้ของอิตาลี ไปจบลงที่ Marseilles ฝรั่งเศสครับ ทริปนี้ใช้เงินไม่มาก คือใช้น้อยมากจริงๆ คร่าวๆไม่เกิน 500ยูโรครับ* ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินจากไทยครับ และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆจะใส่ไว้ในเรื่องนะครับ

เรามาเริ่มต้นกันที่โรม เมืองหลวงของอิตาลี

แต่จริงๆแล้วนี่ก็คือ Vatican City ซึ่งอยู่ในโรม แต่ก็ไม่ใช่โรม

คือวันแรกที่มาถึงโรมนี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว โรมแรมก็ไม่ได้จองไว้ตาม style การเที่ยวของเราที่ไม่ชอบวางแผนอะไรล่วงหน้า พอมาถึงสนามบินก็นั่งรถต่อเข้าเมือง รถบัส Single Ticket 5ยูโร มาลงที่หน้า Roma Termini Station เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟหลังของโรมครับ ก็ว่าจะหา wifi ต่อเพื่อหาโรงแรมที่พักแต่ว่าก็หายากมาก เลยตัดสินใจไปซื้อซิมของ Wind ราคา20ยูโรครับ หลังจากนั้นก็ได้ที่พัก Hostel ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก Impression หรือความประทับใจแรกของโรมนี่ค่อนข้างแปลกนิดนึงคือมีผู้ชายเดินตามเรามาแบบสังเกตได้ตั้งแต่คืนแรก พยายามเข้ามาชวนคุย แต่ความรู้สึกจากการที่เราเองก็เป็นคนเดินทางบ่อยมันก็บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ๆ เราเลยพยายามรีบเดินให้ไวกลับเข้าที่พักไปจะดีกว่า

เช้าวันต่อมาที่ตัดสินใจไป Vatican นั้น ในขณะที่เดินไปยัง Roma Termini Station เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปวาติกันนั้น ก็ได้เดินสวนกับกลุ่มเด็กผู้ชายอิตาลี สามคน เดินสวนมากระแทกไหล่แรงมาก แล้วก็หยุดตะโกนกลับมา พร้อมทำท่าเหมือนว่าจะหาเรื่อง แต่เราก็ไม่ได้สนใจและพยายามเดินหลีกหนีออกห่างๆ ส่วนระยะทางที่ต้องเดินกว่าจะไปถึงชานชลารถไฟใต้นนี่ก็ไกลและไม่ค่อยมีคน เพราะตอนนั้นเป็นเวลาเช้ามาก ราว 8โมง หลังจากที่เดินหนีเด็กกลุ่มนั้นมา ก็รู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยมากๆ เพราะเราก็มาคนเดียว สักพักเหมือนได้ยินเสียงคนเดินตามหลังมาอีก เพราะมันเป็นอุโมงเสียงสะท้อน เราก็ได้ยิน จึงตัดสินใจวิ่งไปถึงชานชลาให้เร็วที่สุดครับ อย่างน้อยก็หวังว่าจะมีคนพลุกพล่าน หรือมีตำรวจ แต่ว่าในที่สุดก็มาถึงวาติกันได้อย่างปลอดภัย



และในส่วนของการมาวาติกันนั้น... เราก็ไม่ได้มาเล่นๆ
ความสวยของ Vatican City นั้นก็ได้ทำให้เราเพลิดเพลิน จนเกือบลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมือเช้าวันนั้น คือผมก็ได้ยินมาเยอะเรื่องของ การขโมยของ และเหตุการณ์ทำนองนี้แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะมาเจอกับตัวเองที่โรม

หรือวันต่อมาก็ยังคงมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอยู่ แต่สำหรับในวันนี้แทบจะไม่เอะใจเลยทีเดียว อย่างที่รู้กันว่าในโรมก็จะมีจุดที่สามารถเอาขวดน้ำไปรองน้ำกินได้ฟรี เพราะการดื่มน้ำจาก Tap Water เป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ จุดเกิดเหตุก็อยู่ไม่ไกลจากบริเวณ Roma Termini อีกแล้ว สังเกตุได้ว่าในพื้นที่นี้นั้นมีนักท่องเที่ยวเยอะเพราะเป็นจุดหลักในการเดินทางไปที่ต่างๆ ในขณะที่รอคิวเติมน้ำใส่ขวดอยู่นั้น คิวก็ยาวเหลือเกินเพราะเป็นช่วงหน้าร้อน ผมยืนรออยยู่ราวๆห้านาทีเพราะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวอาวุโสหลายคนมากตรงนั้น ก็เลยยืนรออย่างเงียบๆ จนกระทั่งชายคนหนึ่ง เข้ามาพูดทักทาย ว่ามาจากไหน ชวนเราคุย พร้อมกับมารยาทที่ดี บอกให้เราเข้าไปเติมก่อนได้เลยพอถึงคิวเรา ด้วยความที่เห็นว่าเป็นคนมีมารยาทดีก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนเราเดินออกจากตรงนั้น ก็สังเกตได้ว่าเขาเดินตามเรามา แต่ก็ยังมีเพื่อนอีกสองคนตามมาด้วยทีนี้ เอาละเหตุการณ์ประจวบเหมาะ... ถึงตรงนี้ก็ วิ่งสิครับ แต่แหม ต้องวิ่งฝ่าลานจอดรถที่ดันไปเจอกับรั้วเตี้ยๆ ตอนแรกก็ไม่มีทางไปแล้วกะจะกระโดดข้าม แต่ก็ไม่ทันชายสามคนที่วิ่งตามมาดักเราก่อนจะถึงรั้ว ชายสามคนนี้ใช้ Trick ในการเข้ามาโอบไหล่ ทำให้ทุกอย่างดูเป็นเรื่องปกติแล้วมีวิธีที่จะเบี่ยงเบนความสนใจเราโดยการสะกัดขาทำให้เราไม่ได้โฟกัส เพราะว่าจะล้ม ในขณะนั้นพวกเขาก็จะล้วงโทรศัพท์มือถือออกไปจากกระเป๋ากางเกงครับ คือเข้าใจว่าล้วงกระเป๋าตังผมออกไปไม่ได้เพราะมันหนามาก(ไม่ได้มีเงินเยอะนะ แต่มีเหรียญเยอะมากจากการทอน) เลยล้วงเอาโทรศัพท์ไปแทน แต่เราดึงสติกลับมาทันจึงตะโกนกลับไป ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ยอมบอกว่าไม่ได้ขโมย จนเราต้องใช้ไหวพริบในการเจรจาหลอกว่าจะให้เงินแทนถ้าเอามือถือคืนมา Scammer ทั้งสามคนนั้นจึงยอมคืนมาให้ และก็เข้ามาจะเอากระเป๋าตังให้จนได้ จนได้ไป 20ยูโร แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนั้นจึงเข้าใจได้ว่าการทำงานของ Scams หรือกลารล่อลวง ฉกของนักท่องเที่ยวนั้นทำกันเป็นระบบ มีการสังเกตุว่านักท่องเที่ยวคนไหนใส่ของอะไรไว้ตรงไหนบ้าง มีคนทำหน้าทีหลอกล่อ เบี่ยงเบนความสนใจ และมีคนดูลู่ทาง สามวันแรกในโรมไม่ได้สวยงามดั่งเมืองในประวัติศาสตร์ของโรมเอง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าในการเดินทางนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้และไม่คาดคิดด้วยซ้าไป แต่อย่างไรก็ตาม วิวของโรมนั้นก็สวยไม่ใช่เล่นๆ จนแทบจะลืมเรื่องราวของวันนี้ไปอีกครั้ง

หรือจะเป็นอีกมุมหนึ่งของเมือง Coliseum ที่ก็มักจะมีชายแต่งตัวคล้ายนักรบโรมันมาให้ถ่ายรูป แต่ค่าถ่ายรูปนั้นเองก็ต้องตกลงกันให้ดีๆ บางคนถึงกับหัวเสียกันไปเลยก็มี และนั่นอาจจะทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆคนหงุดหงิดไปตลอดทั้งวันกับ Scams จากนักรบโบราณที่ยืนรอตามหน้า Coliseum


ถึงแม้จะไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่เราก็ควบคุบมันไม่ได้ เพราะจากอัตราการเกิดเหตุของเมืองนี้ถือว่าสูงมากเพราะฉะนั้นความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุแบบนี้ต่อตัวเราเองก็สูงตามเช่นกัน แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหยุดแต่งตัวและนั่งหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะการเดินทางก็เหมือนกับเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไงโรมก็สวยอยู่ดี


อีกอย่างนึงที่ไม่ได้เป็น trick แต่ผมถือว่าเป็นมารยาทมากกว่าก็คือ Street Show แบบนี้ ซึ่งผมเดินผ่านไปทาง Spanish Steps แล้วเห็นว่าตลกดีเลยขอ Snap สักรูปนึง เค้าเห็นเราถ่ายรูปจึงเดินเข้ามาลากไปนั่งพร้อมกับการที่ต้องจ่าย 5ยูโรเพื่อรูปๆนี้ ก็ทำให้รู้ว่า ถ้าอยากได้รูปก็ต้องเสียเงิน แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินก็ต้องไม่ถ่ายตั้งแต่แรก


What happens in Rome stays in Rome... อะไรที่เกิดขึ้นจดจำมันไว้แล้วเดินต่อไป เพราะเรายังมีเป้าหมายที่จะต้องไปต่อนั่นก็คือเมือง Naples เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองแห่งมาเฟีย และเป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดเหตุร้ายสูงกว่าโรมมาก ผมเองก็ระหว่างนั่งรถก็เกิดสงสัยว่า เอ๊ะเดียวนะ นี่เรามาเที่ยวจริงๆใช่ไหม ทำไมมันดูขัดกับ look ที่หลายๆคนเห็นโดยสิ้นเชิง แต่อย่างที่บอกไว้ตอนแรกว่าเราจะไม่เน้นไปสถานที่ดังๆ เพราะมันได้เห็นเพียงด้านสวยงามของเมือง แต่การที่ wandering ออกนอกเส้นทางนั้นมันก็ทำให้เห็นถึงความจริงที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเมือง แถมได้บรรยากาศความ fear วิตกกังวลอย่างที่คนเมืองนี้รู้สึกอีกด้วย โดยส่วนตัวนั้นผมมีเพื่อนชาวอิตาลีเกิดและโตที่เมือง Naples นี้ เพื่อนบอกผมหลายทีแล้วว่าเป็นเมืองที่ปกครองโดย Mafia มีย่านที่โด่งดังมากไม่ปลอดภัยมาก ไม่มีแม้แต่สถานีตำรวจในเมืองนี้ Scampia District 22 เพื่อนเคยเล่าให้ฟังหลายทีแล้ว แต่เราก็ไม่เคยสัมผัสว่าความรู้สึก Insecure ไม่ปลอดภัยนี้เป็นอย่างไร เพราะอยู่กรุงเทพก็ใช้ชีวิตตามปกติ


ณ มุมหนึ่งในเมือง Naples (Napoli) ฝั่งตอนใต้ของเมืองซึ่งเป็นย่านของคนมีฐานะต่างกันโดยสิ้นเชิง


และวิวของเมือง Naples ข้างหลังนั้นก็คือภูเขาไฟ Vesuvius อันเลื่องชื่อนั่นเอง
ในส่วนของ Night Life ในเมืองนี้นั้น วัยรุ่นราวคราวเดียวกันถือว่าเป็นประชากรหลักๆของที่นี่ กลางคืนก็จะมารวมตัวกันใน Square กลางเมือง ซึ่งก็กระจัดกระจายกันไป ตอนแรกผมตกใจมากนึกว่ามีการประท้วงอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะการ Hang out ที่นี่นั้นออกมารวมตัวกันเป็นพันๆคนได้ แต่ยามค่ำคืนในเมือง Naple นี้เองก็ให้ความรู้สึกของความดิบ สมกับเป็นเมืองมาเฟีย

หากเป็นการเดินทางโดยสารรถบัสในเมืองนั้น เป็นไปแทบไม่ได้เลยกับการที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาใช้ ต้องระวังตัวกันอย่างเต็มที่จริงๆ
ส่วนตัวผมชอบถ่ายรูปก็เลยจะหยิบออกมาถ่ายรูปถนนในเมือง ซึ่งเพื่อนก็ดุว่าให้เก็บไปเลย เดียวจะพาไปถ่ายที่สวยๆมีอีกเยอะ แต่ในบางถนนนั้นเพื่อนบอกแค่ว่า "you don't livยิ้ม, trust me"

ส่วนในการเดินทางไปทีสำคัญใกล้เคียงนั้นคงหนีไม่พ้น ปอมเปอี เมืองที่ถูกกลบโดยเถ้าถ่านจากภูเขาไฟ Vesuvio / Vesuvius แต่โดยรอบๆนั้นยังมีหมู่บ้านโบราณหลายแห่ง ที่ไม่ใช่แค่เพียง ปอมเอี อย่างเช่น Ercolano Scavi ซึ่งอยู่ใกล้กว่าปอมเปอีมาก สามารถไปแบบ day trip จาก Naple ได้เช่นกัน โดยนั่งรถไฟไปลง ที่สถานี Ercolano Scavi เลย แล้วเดินไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร วันที่ผมไปนั้นเป็นวันจันทร์ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมได้ฟรี หากต้องการจ้างไกด์ทัวร์ก็เพียง 15ยูโร แต่ถ้าเป็นวันอื่นๆก็ต้องเสียค่าเข้าชมตามปกติ

Scavi di Ercolano ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง โดยรถไฟจากในเมือง Naple


สภาพของเมืองนั้นยังคงมีร่องรอยอยู่แต่ก็รวมกับการบูรณะขึ้นมาด้วย แต่ที่นี่จะไม่มีการรวบรวมร่างของผู้คน ผมเข้าใจว่านั้นจะอยู่ที่ Pompeii

ผมใช้เวลาอยู่ที่ Naples ห้าวัน เพื่อที่จะได้ปล่อยให้ตัวเองซึมซับ lifestyle ของคนที่นี่ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมือง
Marina Di Camerota เป็นเมืองเล็กๆริมฝั่งทะเล ใช้เวลาเดินทางอีก 3 ชั่วโมง จาก Naples การที่ไปอยู่เมืองนี้ก็ได้ทำให้ผมเห็นความเป็นอิตาลีตอนใต้เยอะอยู่เหมือนกัน นับว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งของปีที่มีความสุขมากๆ ได้ปลดปล่อยตัวเองไปในกรอบแบบชาวอิตาลีที่ไม่เคยจินตนาการถึงมันมาก่อน ได้แต่งตัวใน look summer เบาๆ และอินอยู่กับมันจริงๆ

ชื่อสินค้า:   ท่องเที่ยว อิตาลี
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่