คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ครอบครัวดิฉันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันค่ะ
ขอเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองแบบคร่าวๆนะคะ เพราะว่าภูมิใจในตัวคุณแม่มาก
คุณพ่อดิฉันเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม อายุแค่ 35ปี
คุณแม่เองอายุ 32 ปี เป็นแม่หม้าย ที่ต้องเลี้ยงลูก 5คน ซึ่งน้องสาวคนเล็กสุดของบ้าน มีอายุในขณะนั้นแค่ 11 เดือน
(จากที่คุยกับท่าน) คุณแม่ดิฉันไม่ด้แต่งงานใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า รักคุณพ่อของดิฉันมากและกลัวคนใหม่จะไม่รักพวกเรา
ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยเห็นท่านอยู่เฉยๆเลยค่ะ
เสร็จจากทำนา ก็ปลูกข้าวโพด ปลูกแตงกวา ทำกับข้าวใส่รถเข็น เข็นไปขายตามหมู่บ้านใกล้เคียง
แล้วก็อีกมากมายหลายอย่างที่ท่านทำ
ครอบครัวดิฉันยากจน(เงิน) แต่คุณเชื่อไหม พวกเราไม่เคยต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆเลย อาหารการกินมีพร้อมตลอด
ที่สำคัญ ถึงจะไม่มีพ่อ แต่พวกเราก็ได้รับความรักจากแม่อย่างล้นเหลือ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าขาดอะไรในชีวิตเลย
ด้วยพวกเราเห็นแม่ลำบากเพื่อพวกเรามาเยอะ มันก็เลยทำให้พวกเราพี่น้องรักกัน ทำตัวไม่เป็นปัญหาสำหรับท่าน
ซึ่งมันก็ส่งผลดีกับพวกเราเองมาจนบัดนี้
ครอบครัวดิฉันได้เรียนจบปริญญาแค่สองคน แต่ถ้าวัดความสำเร็จด้วยเงินทองและความสุข
ดิฉันคิดว่า พวกเราพี่น้องทุกคน ประสบความสำเร็จในชีวิตค่ะ
แต่น่าเสียดาย พอพวกเราเติบโต ทำงานเพื่อตอบแทนพระคุณท่านได้ ท่านก็จากพวกเราไป ด้วยอายุแค่ 55 ปี
ในตอนนั้น มันไม่มีคำพูดไหนที่จะมาบรรยายความรู้สึกพวกเราได้หรอกค่ะ
การสูญเสียแม่ที่เป็นที่รักของเรามันช่างเจ็บปวด มันไม่มีอะไรมาเปรียบได้
ตอนนี้พวกเราพี่น้อง เจอกันพร้อมหน้าทีไร ก็จะพูดคุยถึงเรื่องราวสมัยที่แม่ยังมีชึวิตเสมอ
ทุกคนตัดพ้อสวรรค์เบื้องบนเหมือนกัน ว่าไม่ยุติธรรมสำหรับแม่ของพวกเราเลย
ส่งให้ท่าน มาทำงานหนักเพื่อพวกเราเท่านั้น แต่พอส่งลูกๆทุกคนถึงฝั่ง ถึงเวลาที่ท่านควรจะได้อยู่อย่างสบาย
กลับมาพรากท่านไป มันเป็นอะไรที่พวกเรายอมรับได้ยากเต็มที
สิ่งที่ดิฉันต้องร้องไห้เสียใจและเสียดายทุกครั้งเวลาที่พูดถึงแม่
ก็คือตอนที่เล่าเรื่องชีวิตตัวเองสมัยยังเด็ก ให้ลูกสาวฟัง
แล้ว ลูกสาวเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้รู้จักกับยาย
เล่าเยอะหน่อยนะคะ พอดีหัวข้อกระทู้ตั้งได้โดนใจมากน่ะค่ะ
ขอเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองแบบคร่าวๆนะคะ เพราะว่าภูมิใจในตัวคุณแม่มาก
คุณพ่อดิฉันเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม อายุแค่ 35ปี
คุณแม่เองอายุ 32 ปี เป็นแม่หม้าย ที่ต้องเลี้ยงลูก 5คน ซึ่งน้องสาวคนเล็กสุดของบ้าน มีอายุในขณะนั้นแค่ 11 เดือน
(จากที่คุยกับท่าน) คุณแม่ดิฉันไม่ด้แต่งงานใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า รักคุณพ่อของดิฉันมากและกลัวคนใหม่จะไม่รักพวกเรา
ตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยเห็นท่านอยู่เฉยๆเลยค่ะ
เสร็จจากทำนา ก็ปลูกข้าวโพด ปลูกแตงกวา ทำกับข้าวใส่รถเข็น เข็นไปขายตามหมู่บ้านใกล้เคียง
แล้วก็อีกมากมายหลายอย่างที่ท่านทำ
ครอบครัวดิฉันยากจน(เงิน) แต่คุณเชื่อไหม พวกเราไม่เคยต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆเลย อาหารการกินมีพร้อมตลอด
ที่สำคัญ ถึงจะไม่มีพ่อ แต่พวกเราก็ได้รับความรักจากแม่อย่างล้นเหลือ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าขาดอะไรในชีวิตเลย
ด้วยพวกเราเห็นแม่ลำบากเพื่อพวกเรามาเยอะ มันก็เลยทำให้พวกเราพี่น้องรักกัน ทำตัวไม่เป็นปัญหาสำหรับท่าน
ซึ่งมันก็ส่งผลดีกับพวกเราเองมาจนบัดนี้
ครอบครัวดิฉันได้เรียนจบปริญญาแค่สองคน แต่ถ้าวัดความสำเร็จด้วยเงินทองและความสุข
ดิฉันคิดว่า พวกเราพี่น้องทุกคน ประสบความสำเร็จในชีวิตค่ะ
แต่น่าเสียดาย พอพวกเราเติบโต ทำงานเพื่อตอบแทนพระคุณท่านได้ ท่านก็จากพวกเราไป ด้วยอายุแค่ 55 ปี
ในตอนนั้น มันไม่มีคำพูดไหนที่จะมาบรรยายความรู้สึกพวกเราได้หรอกค่ะ
การสูญเสียแม่ที่เป็นที่รักของเรามันช่างเจ็บปวด มันไม่มีอะไรมาเปรียบได้
ตอนนี้พวกเราพี่น้อง เจอกันพร้อมหน้าทีไร ก็จะพูดคุยถึงเรื่องราวสมัยที่แม่ยังมีชึวิตเสมอ
ทุกคนตัดพ้อสวรรค์เบื้องบนเหมือนกัน ว่าไม่ยุติธรรมสำหรับแม่ของพวกเราเลย
ส่งให้ท่าน มาทำงานหนักเพื่อพวกเราเท่านั้น แต่พอส่งลูกๆทุกคนถึงฝั่ง ถึงเวลาที่ท่านควรจะได้อยู่อย่างสบาย
กลับมาพรากท่านไป มันเป็นอะไรที่พวกเรายอมรับได้ยากเต็มที
สิ่งที่ดิฉันต้องร้องไห้เสียใจและเสียดายทุกครั้งเวลาที่พูดถึงแม่
ก็คือตอนที่เล่าเรื่องชีวิตตัวเองสมัยยังเด็ก ให้ลูกสาวฟัง
แล้ว ลูกสาวเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้รู้จักกับยาย
เล่าเยอะหน่อยนะคะ พอดีหัวข้อกระทู้ตั้งได้โดนใจมากน่ะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ใครประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วพ่อแม่ไม่ได้อยู่ภูมิใจกับเราบ้างครับ ตอนนั้นรู้สึกยังไง