ส่วนตัวผมเองมีทัศนคติว่า คนบวชเป็นพระไม่น่าจะเก็บเงินส่วนนี้เป็นของตัวเองหลังจากสึกแล้ว
เพราะคนทำบุญทำเพราะอยากช่วยทำนุบำรุงพุทธศาสนารึเปล่า? หรือคนทำบุญเพราะอยากให้นาย ก ข ค?
ผมขอมุ่งเป้าไปเรื่อง"ปัจจัย"ตัวเงินนะครับ เพราะคนไม่มีใครขนนมเปรี้ยวมาม่ากลับบ้านหลังสึกไปด้วย
ผมแค่สงสัยว่าเวลามีงาน มงคล งานบวช งานศพ เหตุใดทางวัดต้องมีการเก็บเงินมากหมายเป็นหลักหมื่น 2หมื่น ค่ากินค่าโต๊ะจีนพอเข้าใจ
แต่การมีค่าสวดของพระ มันคืออะไรผมงง พระเป็น ฟรีแลนซ์หรอครับ พระไม่น่ามีรายได้ทางตรงเข้าตัวคนใดคนหนึ่งจะใช้เพื่อซื้อ ยา อาหาร
ตามสมควรก็ควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายผู้จัดการในวัดรึเปล่า? สาเหตุที่เข้ามาบวชจริงๆแล้วเพื่อที่จะได้ศึกษาธรรมคำสอน
ไม่ใช่เพื่อประหยัดค่าข้าว แอบเก็บเล็กผสมน้อย แล้วเอามาเป็นทุนหลังสึกให้ตัวเอง อันนี้ผมว่ามันดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่
หรือถ้าจะให้ถูกต้องพระต้องเสียภาษีจริงจังผมมองว่าอย่างนั้น
ผิดพลาดประการใดกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
เงินที่ได้ระหว่างการบวชเป็นพระ คุณคิดว่าเป็นสิทธิอันชอบที่ผู้เป็นพระหลังสึกไปจะได้เป็นของตนหรือไม่ จงอภิปราย
เพราะคนทำบุญทำเพราะอยากช่วยทำนุบำรุงพุทธศาสนารึเปล่า? หรือคนทำบุญเพราะอยากให้นาย ก ข ค?
ผมขอมุ่งเป้าไปเรื่อง"ปัจจัย"ตัวเงินนะครับ เพราะคนไม่มีใครขนนมเปรี้ยวมาม่ากลับบ้านหลังสึกไปด้วย
ผมแค่สงสัยว่าเวลามีงาน มงคล งานบวช งานศพ เหตุใดทางวัดต้องมีการเก็บเงินมากหมายเป็นหลักหมื่น 2หมื่น ค่ากินค่าโต๊ะจีนพอเข้าใจ
แต่การมีค่าสวดของพระ มันคืออะไรผมงง พระเป็น ฟรีแลนซ์หรอครับ พระไม่น่ามีรายได้ทางตรงเข้าตัวคนใดคนหนึ่งจะใช้เพื่อซื้อ ยา อาหาร
ตามสมควรก็ควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายผู้จัดการในวัดรึเปล่า? สาเหตุที่เข้ามาบวชจริงๆแล้วเพื่อที่จะได้ศึกษาธรรมคำสอน
ไม่ใช่เพื่อประหยัดค่าข้าว แอบเก็บเล็กผสมน้อย แล้วเอามาเป็นทุนหลังสึกให้ตัวเอง อันนี้ผมว่ามันดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่
หรือถ้าจะให้ถูกต้องพระต้องเสียภาษีจริงจังผมมองว่าอย่างนั้น
ผิดพลาดประการใดกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ