ทนายสมาคมฟุตบอลพร้อมตัวแทน 2 สโมสรที่ฟ้องร้องเรื่องสิทธิ์ 30 เสียงเดิมร่วมกันแถลงข่าวมั่นใจว่าฟีฟ่าจะไม่แบนประเทศไทยเพราะคดีนี้
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฏหมายสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ,วิมล กาญจนะ ประธานลีกภูมิภาค พร้อมด้วย อนงค์ ล่อใจ ประธานสโมสรสุราษฎร์ เอฟซี และ พลเอก จิระศักดิ์ บุตรเนียร ประธานสโมสรมุกดาหาร ลำโขง ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีการฟ้องร้องสิทธิ์ 30 เสียงเดิม ก่อนการเลือกตั้งใหม่เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา
นรินท์พงศ์ ชี้ว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมามีการฝืนข้อบังคับทั้งใช้วิธีเข้าคูหา เสียงที่ออกมาก็อยู่กันข้างเดียว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า มีเพียง 2 สโมสรจาก 30 เสียงเดิมที่เข้ามาร่วม ส่วนอีก 28 ทีมไม่ได้ให้ความร่วมมือ
"สิ่งที่แสดงให้ถึงความชัดเจนถึงความไม่โปร่งใสคือดันมีสโมสรสมาชิกที่ที่ถูกสวมสิทธิ์คือ คุณอนงค์ ล่อใจ และ พลเอก จิระศักดิ์ บุตรเนียร นอกจากนี้ กรรมการกลางยังไม่ได้เชิญคุณ วิมล กาญจนะ ประธานลีกภูมิภาค หรือ ประธานภูมิภาค ไปร่วมจัดการเลือกตั้ง"
ประธานฝ่ายกฏหมายสมาคมฟุตบอลกล่าวต่อว่า “เมื่อผลการถูกตัดสิทธิ์ หรือ สวมสิทธิ์ ของผู้แทนสุราษฎร์และมุกดาหาร แน่นอนเขาต้องไปฟ้องศาล เพื่อขอคุ้มครอง 30 เสียงว่าเป็น 30 เสียงที่ถูกต้อง แต่ต้องยอมรับว่าเวลากระชั้นชิดมาก เพราะคุณอนงค์ไปฟ้องวันที่ 21 มกราคม กว่าจะไต่สวนเสร็จก็ 6 โมง ศาลจึงไม่คุ้มครองชั่วคราว แต่ กระบวนการที่ยืนยันว่า 30 เสียงเดิมมีความถูกต้องยังต้องต่อสู้กันต่อไป"
“ส่วนทางมุกดาหารลำโขง ศาลได้เรียกพยานเข้าไต่สวนคำร้องเมื่อวานนี้ กกท.และ กรรมการกลาง ที่เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ไม่มีตัวแทนไป ส่วน สมาคมฟุตบอล ผู้ถูกฟ้องที่ 3 มีผมในฐานะฝ่ายกฏหมายไป แต่ท่านจิระศักดิ์ ก็เพิ่มเติมคำฟ้องไปว่าในการเลือกตั้งวันที่ 22 มกราคม ถูกตัดสิทธิ์ออกไปโดยไม่มีเหตุอันควร"
นรินท์พงศ์ กล่าวถึงกรณีการฟ้องร้องของทั้งสองทีมที่อาจจะทำให้ฟีฟ่าสั่งแบนประเทศไทยจากการแข่งขันในระดับนานาชาติว่า “เจตนารมณ์ของฟีฟ่า ถ้ามีการขัดมติแบบนี้ฟ้องไม่ได้ถูกแบนแน่นอน ทุกคนตั้งถามผมว่า สมัยปี พ.ศ. 2556 พัทยา ฟ้อง คุณวรวีร์ กรณีนั้น พัทยา รวมทั้ง บุรีรัมย์ ที่โต้แย้งไม่เห็นด้วยกติกาเปลี่ยนจำนวนเสียงเลือกตั้งเป็น 72 เสียง ซึ่งเป็นการฝืนมติฟีฟ่า แต่คราวนี้สโมสรเขาบอกว่าถูกขโมยสิทธิ์ไปเขาไม่มีสิทธิ์ไปทวงสิทธิ์เขาคืนหรือ มันคนละเรื่องกับข้อกำหนดที่ฟีฟ่าบอกมา อย่าอ้างฟีฟ่าทุกวัน"
“ท่าน (FAT NC) อย่าอ้างช้างศึกจะถูกแบน ถ้าจะถูกแบนก็เพราะท่านนี่แหละครับ ท่านฝ่าฝืนมติฟีฟ่าจนถึงปัจจุบันนี้เลย วันนี้ผู้หญิงคนนึงที่รักฟุตบอล ท่านนายพลที่ให้โอกาสเด็ก ถูกขโมยสิทธิ์ไป โจรปล้นบ้านท่าน ท่านจะไม่แจ้งความหรอครับ และผมได้ข่าวมาว่า 30 เสียงเดิมที่เหลืออยู่ 28 เสียง น่าจะรวมตัวกันฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณสุรวุฒิ 100 ล้านด้วยซ้ำไป "
ส่วน อนงค์ ล่อใจ กล่าวว่า ดิฉันไม่ได้เป็นลูกน้องของใครเพียงแค่เรียกร้องสิทธิ์ที่ทำทีมมาตลอด ก่อนวันเลือกตั้งดิฉันทราบแล้วว่าสิทธิ์ไปอยู่สมาคมฯ แต่สิทธิ์มันแยกออกจากกันอย่างชัดเจนแล้ว แต่ดิฉันถูกตัดสิทธิ์ เป็นสิ่งที่ดิฉันเฟลมาก แล้วฟีฟ่าจะแบนบอลเมืองไทย แบนตรงไหน ดิฉันกลับเข้ามาถามทนายสมาคมว่า จะแบนตรงไหน ในเมื่อ ฟีฟ่า บทบาทอยู่ตรงไหน ต่อไปฟีฟ่าจะไปดูแลกำกับบอลอบจ.ด้วยหรือไม่?
ด้าน พลเอก จิระศักดิ์ บุตรเนียร กล่าวว่า ผมไปฟ้องศาลปกครองด้วยความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดการเลือกตั้งใหม่เนื่องจากมี 30 เสียงที่ถูกต้องอยู่แล้ว ทำภายใต้ข้อบังคับ แล้วการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมายังไม่มีอะไรรับรอง ซึ่งผมยืนยันว่าไม่ถูกต้อง
ข้อบังคับฟีฟ่า(FIFA Statutes)ที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 68 ข้อ 2
การร้องเรียนผ่านศาลยุติธรรมทั่วไป(ordinary courts of law)นั้น โดยปกติถือว่าห้าม นอกจากจะมีระบุเฉพาะไว้ในข้อบังคับฟีฟ่า การร้องเรียนกรณีมาตรการเบื้องต้นต่อศาลยุติธรรมทั่วไปถือว่าห้ามเช่นกัน
บทที่ 68 ข้อ 3
สมาคมมีหน้าที่ต้องระบุในธรรมนูญหรือข้อบังคับของตนเองว่า ห้ามนำข้อพิพาทในสมาคมหรือข้อพิพาทในลีกที่เกี่ยวข้อง, สโมสรสมาชิกลีก, สมาชิกสโมสร, ผู้เล่น, เจ้าหน้าที่, และองค์กรอื่น ๆ ไปสู่ศาลยุติธรรมทั้วไป นอกจากจะมีข้อกำหนดจากฟีฟ่าหรือมีบทบัญญัติผูกพันที่เอื้อให้เป็นพิเศษ หรือกำหนดให้ร้องต่อศาลยุติธรรมปกติ นอกจากนี้ มีกำหนดชัดเจนว่า ข้อพิพาทต่าง ๆ ควรนำมายังอนุญาโตตุลาการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยชอบ ภายใต้กติกาของสมาคมหรือสหพันธ์ หรือศาลกีฬาโลก (Court of Arbitration for Sports - CAS) สมาคมต้องทำให้มั่นใจได้ว่าข้อบังคับนี้ถูกนำมาใช้จริงในสมาคม สุดท้าย บทบัญญัตินี้ยังกำหนดให้สมาชิกลงโทษผู้ใดที่ไม่เคารพกฎดังกล่าว และให้แน่ใจว่า การอุทธณ์โทษนั้นต้องทำผ่านอนุญาโตตุลาการ มิใช่ศาลยุติธรรมทั่วไป
ที่มา :
http://www.fourfourtwo.com/th/news/aimaebnngaay-thnaayob-cchabmuuenngkh-cchiirasakdiaethlngmanaicchfiifaaaimlngothsaithykrniifng#bAptUN02wFZMA
ไม่แบนง่ายๆ! ทนายโบ้ จับมืออนงค์-จีระศักดิ์แถลงมั่นใจฟีฟ่าไม่ลงโทษไทยกรณีฟ้อง 30 เสียง
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฏหมายสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ,วิมล กาญจนะ ประธานลีกภูมิภาค พร้อมด้วย อนงค์ ล่อใจ ประธานสโมสรสุราษฎร์ เอฟซี และ พลเอก จิระศักดิ์ บุตรเนียร ประธานสโมสรมุกดาหาร ลำโขง ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีการฟ้องร้องสิทธิ์ 30 เสียงเดิม ก่อนการเลือกตั้งใหม่เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา
นรินท์พงศ์ ชี้ว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมามีการฝืนข้อบังคับทั้งใช้วิธีเข้าคูหา เสียงที่ออกมาก็อยู่กันข้างเดียว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า มีเพียง 2 สโมสรจาก 30 เสียงเดิมที่เข้ามาร่วม ส่วนอีก 28 ทีมไม่ได้ให้ความร่วมมือ
"สิ่งที่แสดงให้ถึงความชัดเจนถึงความไม่โปร่งใสคือดันมีสโมสรสมาชิกที่ที่ถูกสวมสิทธิ์คือ คุณอนงค์ ล่อใจ และ พลเอก จิระศักดิ์ บุตรเนียร นอกจากนี้ กรรมการกลางยังไม่ได้เชิญคุณ วิมล กาญจนะ ประธานลีกภูมิภาค หรือ ประธานภูมิภาค ไปร่วมจัดการเลือกตั้ง"
ประธานฝ่ายกฏหมายสมาคมฟุตบอลกล่าวต่อว่า “เมื่อผลการถูกตัดสิทธิ์ หรือ สวมสิทธิ์ ของผู้แทนสุราษฎร์และมุกดาหาร แน่นอนเขาต้องไปฟ้องศาล เพื่อขอคุ้มครอง 30 เสียงว่าเป็น 30 เสียงที่ถูกต้อง แต่ต้องยอมรับว่าเวลากระชั้นชิดมาก เพราะคุณอนงค์ไปฟ้องวันที่ 21 มกราคม กว่าจะไต่สวนเสร็จก็ 6 โมง ศาลจึงไม่คุ้มครองชั่วคราว แต่ กระบวนการที่ยืนยันว่า 30 เสียงเดิมมีความถูกต้องยังต้องต่อสู้กันต่อไป"
“ส่วนทางมุกดาหารลำโขง ศาลได้เรียกพยานเข้าไต่สวนคำร้องเมื่อวานนี้ กกท.และ กรรมการกลาง ที่เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ไม่มีตัวแทนไป ส่วน สมาคมฟุตบอล ผู้ถูกฟ้องที่ 3 มีผมในฐานะฝ่ายกฏหมายไป แต่ท่านจิระศักดิ์ ก็เพิ่มเติมคำฟ้องไปว่าในการเลือกตั้งวันที่ 22 มกราคม ถูกตัดสิทธิ์ออกไปโดยไม่มีเหตุอันควร"
นรินท์พงศ์ กล่าวถึงกรณีการฟ้องร้องของทั้งสองทีมที่อาจจะทำให้ฟีฟ่าสั่งแบนประเทศไทยจากการแข่งขันในระดับนานาชาติว่า “เจตนารมณ์ของฟีฟ่า ถ้ามีการขัดมติแบบนี้ฟ้องไม่ได้ถูกแบนแน่นอน ทุกคนตั้งถามผมว่า สมัยปี พ.ศ. 2556 พัทยา ฟ้อง คุณวรวีร์ กรณีนั้น พัทยา รวมทั้ง บุรีรัมย์ ที่โต้แย้งไม่เห็นด้วยกติกาเปลี่ยนจำนวนเสียงเลือกตั้งเป็น 72 เสียง ซึ่งเป็นการฝืนมติฟีฟ่า แต่คราวนี้สโมสรเขาบอกว่าถูกขโมยสิทธิ์ไปเขาไม่มีสิทธิ์ไปทวงสิทธิ์เขาคืนหรือ มันคนละเรื่องกับข้อกำหนดที่ฟีฟ่าบอกมา อย่าอ้างฟีฟ่าทุกวัน"
“ท่าน (FAT NC) อย่าอ้างช้างศึกจะถูกแบน ถ้าจะถูกแบนก็เพราะท่านนี่แหละครับ ท่านฝ่าฝืนมติฟีฟ่าจนถึงปัจจุบันนี้เลย วันนี้ผู้หญิงคนนึงที่รักฟุตบอล ท่านนายพลที่ให้โอกาสเด็ก ถูกขโมยสิทธิ์ไป โจรปล้นบ้านท่าน ท่านจะไม่แจ้งความหรอครับ และผมได้ข่าวมาว่า 30 เสียงเดิมที่เหลืออยู่ 28 เสียง น่าจะรวมตัวกันฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณสุรวุฒิ 100 ล้านด้วยซ้ำไป "
ส่วน อนงค์ ล่อใจ กล่าวว่า ดิฉันไม่ได้เป็นลูกน้องของใครเพียงแค่เรียกร้องสิทธิ์ที่ทำทีมมาตลอด ก่อนวันเลือกตั้งดิฉันทราบแล้วว่าสิทธิ์ไปอยู่สมาคมฯ แต่สิทธิ์มันแยกออกจากกันอย่างชัดเจนแล้ว แต่ดิฉันถูกตัดสิทธิ์ เป็นสิ่งที่ดิฉันเฟลมาก แล้วฟีฟ่าจะแบนบอลเมืองไทย แบนตรงไหน ดิฉันกลับเข้ามาถามทนายสมาคมว่า จะแบนตรงไหน ในเมื่อ ฟีฟ่า บทบาทอยู่ตรงไหน ต่อไปฟีฟ่าจะไปดูแลกำกับบอลอบจ.ด้วยหรือไม่?
ด้าน พลเอก จิระศักดิ์ บุตรเนียร กล่าวว่า ผมไปฟ้องศาลปกครองด้วยความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดการเลือกตั้งใหม่เนื่องจากมี 30 เสียงที่ถูกต้องอยู่แล้ว ทำภายใต้ข้อบังคับ แล้วการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมายังไม่มีอะไรรับรอง ซึ่งผมยืนยันว่าไม่ถูกต้อง
ข้อบังคับฟีฟ่า(FIFA Statutes)ที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 68 ข้อ 2
การร้องเรียนผ่านศาลยุติธรรมทั่วไป(ordinary courts of law)นั้น โดยปกติถือว่าห้าม นอกจากจะมีระบุเฉพาะไว้ในข้อบังคับฟีฟ่า การร้องเรียนกรณีมาตรการเบื้องต้นต่อศาลยุติธรรมทั่วไปถือว่าห้ามเช่นกัน
บทที่ 68 ข้อ 3
สมาคมมีหน้าที่ต้องระบุในธรรมนูญหรือข้อบังคับของตนเองว่า ห้ามนำข้อพิพาทในสมาคมหรือข้อพิพาทในลีกที่เกี่ยวข้อง, สโมสรสมาชิกลีก, สมาชิกสโมสร, ผู้เล่น, เจ้าหน้าที่, และองค์กรอื่น ๆ ไปสู่ศาลยุติธรรมทั้วไป นอกจากจะมีข้อกำหนดจากฟีฟ่าหรือมีบทบัญญัติผูกพันที่เอื้อให้เป็นพิเศษ หรือกำหนดให้ร้องต่อศาลยุติธรรมปกติ นอกจากนี้ มีกำหนดชัดเจนว่า ข้อพิพาทต่าง ๆ ควรนำมายังอนุญาโตตุลาการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยชอบ ภายใต้กติกาของสมาคมหรือสหพันธ์ หรือศาลกีฬาโลก (Court of Arbitration for Sports - CAS) สมาคมต้องทำให้มั่นใจได้ว่าข้อบังคับนี้ถูกนำมาใช้จริงในสมาคม สุดท้าย บทบัญญัตินี้ยังกำหนดให้สมาชิกลงโทษผู้ใดที่ไม่เคารพกฎดังกล่าว และให้แน่ใจว่า การอุทธณ์โทษนั้นต้องทำผ่านอนุญาโตตุลาการ มิใช่ศาลยุติธรรมทั่วไป
ที่มา : http://www.fourfourtwo.com/th/news/aimaebnngaay-thnaayob-cchabmuuenngkh-cchiirasakdiaethlngmanaicchfiifaaaimlngothsaithykrniifng#bAptUN02wFZMA