ขอนำลงประสบการณ์ยื่นวีซ่าเช็งเก้นที่สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำเชียงใหม่
อันอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย
เพราะเท่าที่ศึกษาข้อมูลการยื่นขอวีซ่าเช็งเก้นของประเทศเยอรมันในเว็บทั้งหลาย
ส่วนใหญ่มีแต่การยื่นที่สถานทูตในกรุงเทพ ต่างจังหวัดมีน้อยมาก
(กงสุลเยอรมันในต่างจังหวัดนอกจากเชียงใหม่ก็มีภูเก็ตและพัทยา)
ผมและภรรยาพร้อมกับเพื่อนอีกรุ่นน้องหนึ่งคู่มีโปรแกรมทัวร์ เยอรมัน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์และเบลเยี่ยม
ระหว่างเดือน เมย.-พ.ค. 2559 ตามโปรแกรมผมบินเข้าออกเยอรมันและพักอยู่เยอรมันนานที่สุด
จึงเข้าเงื่อนไขต้องยื่นวีซ่าเช็งเก้นที่ประเทศเยอรมัน
จากที่หาข้อมูลมาจึงทราบว่าสามารถยื่นที่กงสุลเยอรมันประจำเชียงใหม่ได้
จึงเข้าล้อคทันทีเพราะผมมีบ้านอยู่เชียงใหม่ไม่ต้องถ่อสังขารไปยื่นถึงกรุงเทพ
ถึงแม้จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 บาท ก็ถือว่าคุ้ม
แต่มีปัญหาอยู่นิดหนึ่งคือเพื่อนร่วมก๊วนทัวร์ผมอีก 2 คน อยู่ราชบุรี จึงสงสัยว่าจะมายื่นที่เชียงใหม่พร้อมกันได้หรือไม่
แต่เมื่อโทรถามแล้วได้รับคำตอบว่าได้ไม่มีปัญหา เพื่อนคู่นี้จึงต้องเดินทางไกลหน่อยแต่ก็ตั้งใจมาเที่ยวเชียงใหม่อยู่แล้ว
ตามเงื่อนไขของสถานทูตสามารถยื่นวีซ่าล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน
ผมออกเดินทางประมาณต้นเดือนเมษา จึงวางแผนยื่นตั้งแต่ต้นเดือนมกรา จะได้หมดเรื่องที่ต้องจัดการเป็นเรื่อง ๆ ไป
รายการทัวร์ครั้งนี้ผมวางแผนมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วทำให้รายละเอียดของโปรแกรม ที่พักและอื่น ๆ ลงตัวเกือบหมดแล้ว
เมื่อวีซ่าผ่านก็จะได้ดำเนินการเรื่องตั๋วรถไฟ ต่อไป
การนัดหมายยื่นวีซ่าที่สถานกงสุลเยอรมันประจำเชียงใหม่ ไม่ยุ่งยากอะไร โทรนัดโดยตรงได้เลย (หรือไม่นัดก็ได้)
ผมโทรนัดเมื่ออาทิตย์แรกของเดือนมกราคมขอนัดยื่นช่วงอาทิตย์ที่ 2 ก็ได้คิววันที่ 14 มกรา เวลา 9 โมงเช้า
ตอนโทรนัดเจ้าหน้าที่ต้องการแค่ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์เท่านั้นเอง และถามนิดหน่อยว่าทราบเรื่องการกรอกข้อมูลแล้วใช่ไหม ?
(ก่อนนี้ผมเคยโทรปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้คลับล้ายคลับคลาว่า ถ้ายังไม่ได้กรอกมีบริการกรอกด้วย คนละ 300 บาท)
ก่อนจะถึงขั้นตอนของการยื่นเอกสารขอพูดถึงการเตรียมเอกสารก่อน
แต่ผมจะไม่ลงในรายละเอียดมากนักเพราะในพันทิปมีผู้ใจดีได้โพสท์ไว้พอสมควรแล้ว
ซึ่งผมก็ได้ข้อมูลจากที่นี่แหละครับ แต่จะพูดเฉพาะเอกสารของผมที่เตรียมไป ดังนี้ครับ
(เรียงตามข้อแนะนำของสถานทูตฯ)
1. หนังสือเดินทางตัวจริงและสำเนาหน้าที่มีวีซ่าแปะอยู่และหน้าที่มีประทับตราเข้าออกทุกหน้า
2. แบบฟอร์มคำร้องวีซ่า ปริ้นท์จากที่กรอกทางออนไลน์จาก VIDEX* (ผมจะพูดถึงส่วนนี้เพิ่มเติมภายหลัง)
3. แบบฟอร์มลงชื่อรับทราบข้อกำหนดตามกฎหมายการพำนักมาตรา 54 ข้อ 6 และมาตรา 55
(เอกสาร 2 และ 3 ยังไม่ต้องเซ็นชื่อ)
4. ใบจองโรงแรมทุกคืน (ผมจองจาก booking.com ทั้งหมด มีทั้งยกเลิกได้และตัดเงินแล้ว)
5. ใบจองเครื่องบิน (ออกตั๋วเรียบร้อยแล้ว ที่ผมชิงออกตั๋วก่อนเพราะต้องล้อคเวลาให้ตรงตามแผนการเดินทาง
ไม่งั้นถ้าเวลาไม่ได้ตามนี้อาจทำให้แผนรวนไปหมด รวมทั้งราคาก็รับได้)
6. สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านและทะเบียนสมรส (ไม่ต้องรับรองสำเนา)
7. หนังสือรับรองการทำงานตัวจริง (สำหรับผู้ว่างงานแบบผม คือผมเกษียณอายุราชการมานานแล้วก็ไปให้ที่ทำงานเก่า
ออกหนังสือรับรองเป็นภาษาอังกฤษว่าเคยทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญ รับเงินบำนาญเดือนละกี่บาท)
8. สเตทเม้นท์ธนาคารและสำเนาสมุดบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ที่จริง3 เดีอนก็พอ)
9. แผนการเดินทางครบทั้งทริปอย่างคร่าว ๆ ว่าวันไหนไปไหนพักที่ใหน ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับใบจองที่พัก
(ผมสังเกตว่าเจ้าหน้าที่จะเช็คส่วนนี้อย่างละเอียดโดยดูเทียบกับใบจองโรงแรมเป็นวัน ๆ เลย)
10. เอกสารประกันการเดินทาง
11. รูปถ่าย 2 ใบ* (ผมถ่ายเองไม่ง้อร้าน เดี๋ยวจะพูดถึงข้อนี้อีกนิดหนึ่ง)
*เพิ่มเติมเรื่องเอกสาร VIDEX
การยื่นที่เชียงใหม่อาจแตกต่างจากยื่นที่กรุงเทพบ้าง
คือเมื่อทำการกรอกข้อมูลเอกสาร VIDEX ครบถ้วน และเซฟตามคำแนะนำแล้ว (ถ้ากรอกไม่ครบถ้วนจะเซฟไม่ได้
โดยจะขึ้นกรอบแดงพร้อมคำอธิบายให้กลับไปกรอกให้เรียบร้อยก่อน ผมโดนเตือนตั้งหลายครั้งจึงจะเซฟได้)
(
https://service2.diplo.de/rktermin/extern/choose_realmList.do?locationCode=bangk&request_locale=en)
เมื่อเซฟและสั่งปริ้นท์ออกมาแล้ว ก็จะได้ไฟล์ 2 ไฟล์คือไฟล์ .XML และ .PDF
(ภาพประกอบจากเว็บสถานทูต)
กรุ๊ปทัวร์ผมมี 4 คน ก็จะได้ 8 ไฟล์ ส่งไฟล์เหล่านี้ไปยังเมล์สถานกงสุลล่วงหน้าที่ chiang-mai@hk-diplo.de
*เพิ่มเติมเรื่องรูปถ่าย
ด้วยความงกประกอบกับเคยทำเองมาแล้วในตอนยื่นวีซ่าอเมริกา จึงถ่ายเองชัวร์กว่า
ไม่ยากเพราะมีคำแนะนำและตัวอย่างรูปถ่ายที่ทางสถานทูตให้ไว้อย่างชัดเจนตามภาพข้างล่าง
ใช้โฟโต้ช็อปช่วยนิดหน่อย นำมาเรียงขนาด 5x7 นิ้ว ได้รูปถึง 9 ใบ
ส่งร้านอัดใบละ 15 บาท ตัดแบ่งกันตกค่ารูปคนละไม่ถึง 4 บาท
ขอลงภาพขำ ๆ ที่ผมขออนุญาตถ่ายมาจากโป้สเตอร์ในสถานกงสุล
เป็นตัวอย่างรูปถ่ายที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง (สังเกตให้ดีบางรูปมีอุ้มตุ๊กตาลูกเทพด้วย..555)
ผมแอบเห็นบนโต๊ะเจ้าหน้าที่มีนามบัตรร้านถ่ายรูปวางอยู่กล่องหนึ่ง
คิดว่าถ้ารูปถ่ายที่นำมายื่นไม่ถูกต้องคงถูกไล่ให้ไปถ่ายที่ร้านนี้แน่นอน
วันยื่นเอกสาร สัมภาษณ์
สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำเชียงใหม่ ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านในฝัน 2
ถนนคันคลองชลประทาน ตำบลแม่เหียะ ใกล้กับอุทยานราชพฤกษ์สถานที่เคยจัดงานพืชสวนโลก
ถ้าขับรถจากตัวเมืองเชียงใหม่ต้องมากลับรถตรงแยกทางเข้าอุทยาน ฯ
เวลานัดนัดเก้าโมงเช้า ผมและลูกทัวร์ไปถึงที่กลับรถตรงนั้นนั้นยังไม่แปดโมง
จึงถือโอกาสพาลูกทัวร์จากราชบุรีขึ้นไปไหว้พระชมวิวบนวัดดอยคำซึ่งอยู่หลังอุทยาน ฯ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย
และใหน ๆ ก็เป็นกระทู้ห้องบลูแพลเน็ทแล้ว ขอแว้บพาเที่ยวสักนิดจะเป็นไรไป
วัดพระธาตุดอยคำ ณ ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ใครมาเชียงใหม่จะต้องมาเยี่ยมชม
เพราะนอกจากขึ้นไปไหว้พระชมวิวแล้ว การมาบนบานกับพระเจ้าทันใจซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ก็เป็นอีกจุดประสงค์หนึ่ง
นี่ขนาดตอนเช้าวันธรรมดาคนยังคึกคักขนาดนี้ เห็นว่าถ้าเป็นวันหยุดหรือเทศกาลผู้คนล้นหลามจนแทบไม่มีที่จอดรถ
การบนขอพรกับพระเจ้าทันใจมีความเชื่อว่าต้องบนด้วยมาลัยดอกมะลิจะกี่พวงก็ว่ากันไป
ทำให้ตลอดทางตั้งแต่ทางแยกเข้าอุทยานราชพฤกษ์เรื่อยมามาจนถึงทางขึ้นวัด
มีร้านขายมาลัยดอกมะลิพร้อมกับคนขายยืนโบกมือเรียงลูกค้าตลอดทาง
นี่เป็นภาพถาดมาลัยดอกมะลิที่นำมาแก้บน
วันนั้นผมไปแต่เช้าจึงได้เห็นภาพเจ้าหน้าที่โกยมาลัยดอกมะลิที่ได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ใส่เข่งเข็นมาใส่รถบรรทุกเพื่อนำไปทิ้งหลายรอบ
กลับมาเข้าเรื่องวีซ่ากันต่อ...
ตอนแรกผมคิดว่าสถานกงสุล ฯ คงเป็นอาคารโอ่โถงสง่าน่าเกรงขาม
แต่เมื่อเข้าไปถึงปรากฎว่าแอบอยู่ใต้ถุนอาคารคลับเฮ้าส์ของหมู่บ้านนี่เอง
ถ้ายามหน้าหมู่บ้านไม่บอกว่าอยู่ข้างข้างสนามเทนนิสคงหาไม่เจอแน่
เห็นโลโก้อินทรีย์เหล็กนี้แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
ผมไปถึงแปดโมงครึ่งเพราะอ่านจากเว็บแนะนำว่าควรไปถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ปรากฏว่าสำนักงานยังไม่เปิด ขณะนั้นมีแค่กรุ๊ปทัวร์ของผมสี่คนแค่นั้นเอง เหงาเป็นอันมาก
เพราะเข้าใจว่าน่าจะคึกคักเหมือนที่สถานทูตในกรุงเทพตามที่ได้อ่านมา
เก้าโมงนิด ๆ เจ้าหน้าที่มาเรียกให้เข้าไปได้แล้ว โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองแต่อย่างใด
กระเป๋าก็ไม่ต้องเอ็กซเรย์ มือถือก็ไม่ต้องฝาก ข้างในมีเจ้าหน้าที่สาว 2 คน หนุ่มน้อยอีก 1 คน
โดยเจ้าหน้าที่สาวสองคนทำหน้าที่รับเอกสารและสัมภาษณ์คนละคู่ แต่ก็อยู่โต๊ะติดกันนั่นแหละ
เมื่อเข้าไปถึง เจ้าหน้าที่ขอรูปถ่ายก่อนเลยเพื่อเอาไปสแกนว่าผ่านหรือไม่
คำถามแรกหลังจากเปิดดูพาสปอร์ตคือถามว่าพาสปอร์ตเล่มนี้เป็นเล่มที่เท่าไหร่
ลืมบอกไปว่าผมยื่นพาสปอร์ตพร้อมสำเนาเล่มปัจจุบันไปเพียงเล่มเดียว
เพราะคิดว่าน่าจะพอเพียงเพราะในนั้นมีทั้งวีซ่าเชงเก้นอิตาลี วีซ่าอังกฤษ และอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุแปะอยู่
ฉะนั้นถ้าใครมีพาสปอร์ตเล่มเก่าก็ควรติดไปด้วย เพราะประวัติการเดินทางน่าจะมีผลในการพิจารณา
ผมขอเล่าบรรยากาศโดยรวมเลยว่าหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พลิกดูเอกสารทีละหน้า
พร้อมกับไฮไล้ท์และบันทึกเล็ก ๆ ลงไปในหน้าเอกสารตลอดเวลา
ไม่ได้ซักถามอะไรเป็นจริงเป็นจังมากนัก นอกจากถามอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ
เช่น มีลูกไหมคะ ใครเป็นคนทำเอกสาร ถามทีได้ยินกันทั้งสองโต๊ะ ก็ช่วยกันตอบ ๆ ไป
ดูแล้วเหมือนเป็นการพูดคุยกันมากกว่าการสัมภาษณ์ และเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นคนมีอัธยาศัยอันดียิ่ง
ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ซีเรียสดังคำร่ำลือว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตเยอรมันดุนักดุหนา
ระหว่างตรวจเอกสารจะมีโทรศัพท์เข้ามาเป็นระยะส่วนมากจะถามถึงสถานที่ตั้งของสถานกงสุล
หรือหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นวีซ่า ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบอย่างละเอียดชัดเจนทุกครั้งทั้ง ๆ ที่เป็นคำถามเดิม ๆ
สรุป รูปถ่ายผ่านเอกสารทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ (มีคำชมนิด ๆ ว่าเตรียมเอกสารมาดี)
อ้อ..มีปัญหานิดหนึ่ง ผมคงกรอกข้อมูลพาสปอร์ตของเพื่อนผิดไปตรงใหนซักแห่ง
เจ้าหน้าที่จึงไปเปิดดูไฟล์ที่ผมส่งมาแล้วทำการแก้ไข นอกนั้นก็ไม่มีอะไร แต่ก็ใช้เวลาช่วงนี้ร่วมชั่วโมง
เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจทุกแผ่นอย่างละเอียดยิบ รวมทั้งหยุดตอบคำถามทางโทรศัพท์เป็นครั้งคราว
เมื่อครบถ้วนก็ให้เซ็นชื่อท้ายเอกสาร 5 หรือ 6 แห่งไม่แน่ใจ
ต่อจากนั้นถึงขั้นตอนสแกนบาร์โค้ดท้ายเอกสารพร้อมกับสแกนลายนิ้วมือ
เสร็จแล้วก็ชำระเงินที่โต๊ะเดิมนั่นแหละ มีค่าใช่จ่ายต่อคน ดังนี้
1. ค่าธรรมเนียมวีซ่า 2,300 บาท
2. ค่าธรรมเนียมกงสุลและค่าจัดส่งเอกสารไปยังสถานทูตฯ 1,450 บาท
อีกประมาณสองอาทิตย์ให้โทรสอบถามเพื่อมารับพาสปอร์ตคืน
ผมถามว่าจะผ่านไหม เจ้าหน้าที่สาวน้อยพูดเปรย ๆ ทำนองว่าเอกสารครบไม่น่ามีปัญหา
ผมก็คิดว่างั้นเพราะที่ยื่นนี้เป็นกรุ๊ปทัวร์ สว.ของแท้ ประกอบด้วย
สว.อาวุโส 1 คน สว.ป้ายแดง 2 คน ว่าที่ สว.อีก 1 คน อายุรวมกัน 250 ปี
ปูนนี้แล้วคงไม่คิดโดดวีซ่าไปเป็นโรบินฮู้ดมั้ง ห่วงอย่าเดียวกลัวอายุเกิน
ยื่นวีซ่าเช็งเก้น ณ กงสุลเยอรมัน เชียงใหม่
อันอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย
เพราะเท่าที่ศึกษาข้อมูลการยื่นขอวีซ่าเช็งเก้นของประเทศเยอรมันในเว็บทั้งหลาย
ส่วนใหญ่มีแต่การยื่นที่สถานทูตในกรุงเทพ ต่างจังหวัดมีน้อยมาก
(กงสุลเยอรมันในต่างจังหวัดนอกจากเชียงใหม่ก็มีภูเก็ตและพัทยา)
ผมและภรรยาพร้อมกับเพื่อนอีกรุ่นน้องหนึ่งคู่มีโปรแกรมทัวร์ เยอรมัน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์และเบลเยี่ยม
ระหว่างเดือน เมย.-พ.ค. 2559 ตามโปรแกรมผมบินเข้าออกเยอรมันและพักอยู่เยอรมันนานที่สุด
จึงเข้าเงื่อนไขต้องยื่นวีซ่าเช็งเก้นที่ประเทศเยอรมัน
จากที่หาข้อมูลมาจึงทราบว่าสามารถยื่นที่กงสุลเยอรมันประจำเชียงใหม่ได้
จึงเข้าล้อคทันทีเพราะผมมีบ้านอยู่เชียงใหม่ไม่ต้องถ่อสังขารไปยื่นถึงกรุงเทพ
ถึงแม้จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 บาท ก็ถือว่าคุ้ม
แต่มีปัญหาอยู่นิดหนึ่งคือเพื่อนร่วมก๊วนทัวร์ผมอีก 2 คน อยู่ราชบุรี จึงสงสัยว่าจะมายื่นที่เชียงใหม่พร้อมกันได้หรือไม่
แต่เมื่อโทรถามแล้วได้รับคำตอบว่าได้ไม่มีปัญหา เพื่อนคู่นี้จึงต้องเดินทางไกลหน่อยแต่ก็ตั้งใจมาเที่ยวเชียงใหม่อยู่แล้ว
ตามเงื่อนไขของสถานทูตสามารถยื่นวีซ่าล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน
ผมออกเดินทางประมาณต้นเดือนเมษา จึงวางแผนยื่นตั้งแต่ต้นเดือนมกรา จะได้หมดเรื่องที่ต้องจัดการเป็นเรื่อง ๆ ไป
รายการทัวร์ครั้งนี้ผมวางแผนมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วทำให้รายละเอียดของโปรแกรม ที่พักและอื่น ๆ ลงตัวเกือบหมดแล้ว
เมื่อวีซ่าผ่านก็จะได้ดำเนินการเรื่องตั๋วรถไฟ ต่อไป
การนัดหมายยื่นวีซ่าที่สถานกงสุลเยอรมันประจำเชียงใหม่ ไม่ยุ่งยากอะไร โทรนัดโดยตรงได้เลย (หรือไม่นัดก็ได้)
ผมโทรนัดเมื่ออาทิตย์แรกของเดือนมกราคมขอนัดยื่นช่วงอาทิตย์ที่ 2 ก็ได้คิววันที่ 14 มกรา เวลา 9 โมงเช้า
ตอนโทรนัดเจ้าหน้าที่ต้องการแค่ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์เท่านั้นเอง และถามนิดหน่อยว่าทราบเรื่องการกรอกข้อมูลแล้วใช่ไหม ?
(ก่อนนี้ผมเคยโทรปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้คลับล้ายคลับคลาว่า ถ้ายังไม่ได้กรอกมีบริการกรอกด้วย คนละ 300 บาท)
ก่อนจะถึงขั้นตอนของการยื่นเอกสารขอพูดถึงการเตรียมเอกสารก่อน
แต่ผมจะไม่ลงในรายละเอียดมากนักเพราะในพันทิปมีผู้ใจดีได้โพสท์ไว้พอสมควรแล้ว
ซึ่งผมก็ได้ข้อมูลจากที่นี่แหละครับ แต่จะพูดเฉพาะเอกสารของผมที่เตรียมไป ดังนี้ครับ
(เรียงตามข้อแนะนำของสถานทูตฯ)
1. หนังสือเดินทางตัวจริงและสำเนาหน้าที่มีวีซ่าแปะอยู่และหน้าที่มีประทับตราเข้าออกทุกหน้า
2. แบบฟอร์มคำร้องวีซ่า ปริ้นท์จากที่กรอกทางออนไลน์จาก VIDEX* (ผมจะพูดถึงส่วนนี้เพิ่มเติมภายหลัง)
3. แบบฟอร์มลงชื่อรับทราบข้อกำหนดตามกฎหมายการพำนักมาตรา 54 ข้อ 6 และมาตรา 55
(เอกสาร 2 และ 3 ยังไม่ต้องเซ็นชื่อ)
4. ใบจองโรงแรมทุกคืน (ผมจองจาก booking.com ทั้งหมด มีทั้งยกเลิกได้และตัดเงินแล้ว)
5. ใบจองเครื่องบิน (ออกตั๋วเรียบร้อยแล้ว ที่ผมชิงออกตั๋วก่อนเพราะต้องล้อคเวลาให้ตรงตามแผนการเดินทาง
ไม่งั้นถ้าเวลาไม่ได้ตามนี้อาจทำให้แผนรวนไปหมด รวมทั้งราคาก็รับได้)
6. สำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านและทะเบียนสมรส (ไม่ต้องรับรองสำเนา)
7. หนังสือรับรองการทำงานตัวจริง (สำหรับผู้ว่างงานแบบผม คือผมเกษียณอายุราชการมานานแล้วก็ไปให้ที่ทำงานเก่า
ออกหนังสือรับรองเป็นภาษาอังกฤษว่าเคยทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญ รับเงินบำนาญเดือนละกี่บาท)
8. สเตทเม้นท์ธนาคารและสำเนาสมุดบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ที่จริง3 เดีอนก็พอ)
9. แผนการเดินทางครบทั้งทริปอย่างคร่าว ๆ ว่าวันไหนไปไหนพักที่ใหน ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับใบจองที่พัก
(ผมสังเกตว่าเจ้าหน้าที่จะเช็คส่วนนี้อย่างละเอียดโดยดูเทียบกับใบจองโรงแรมเป็นวัน ๆ เลย)
10. เอกสารประกันการเดินทาง
11. รูปถ่าย 2 ใบ* (ผมถ่ายเองไม่ง้อร้าน เดี๋ยวจะพูดถึงข้อนี้อีกนิดหนึ่ง)
*เพิ่มเติมเรื่องเอกสาร VIDEX
การยื่นที่เชียงใหม่อาจแตกต่างจากยื่นที่กรุงเทพบ้าง
คือเมื่อทำการกรอกข้อมูลเอกสาร VIDEX ครบถ้วน และเซฟตามคำแนะนำแล้ว (ถ้ากรอกไม่ครบถ้วนจะเซฟไม่ได้
โดยจะขึ้นกรอบแดงพร้อมคำอธิบายให้กลับไปกรอกให้เรียบร้อยก่อน ผมโดนเตือนตั้งหลายครั้งจึงจะเซฟได้)
(https://service2.diplo.de/rktermin/extern/choose_realmList.do?locationCode=bangk&request_locale=en)
เมื่อเซฟและสั่งปริ้นท์ออกมาแล้ว ก็จะได้ไฟล์ 2 ไฟล์คือไฟล์ .XML และ .PDF
(ภาพประกอบจากเว็บสถานทูต)
กรุ๊ปทัวร์ผมมี 4 คน ก็จะได้ 8 ไฟล์ ส่งไฟล์เหล่านี้ไปยังเมล์สถานกงสุลล่วงหน้าที่ chiang-mai@hk-diplo.de
*เพิ่มเติมเรื่องรูปถ่าย
ด้วยความงกประกอบกับเคยทำเองมาแล้วในตอนยื่นวีซ่าอเมริกา จึงถ่ายเองชัวร์กว่า
ไม่ยากเพราะมีคำแนะนำและตัวอย่างรูปถ่ายที่ทางสถานทูตให้ไว้อย่างชัดเจนตามภาพข้างล่าง
ใช้โฟโต้ช็อปช่วยนิดหน่อย นำมาเรียงขนาด 5x7 นิ้ว ได้รูปถึง 9 ใบ
ส่งร้านอัดใบละ 15 บาท ตัดแบ่งกันตกค่ารูปคนละไม่ถึง 4 บาท
ขอลงภาพขำ ๆ ที่ผมขออนุญาตถ่ายมาจากโป้สเตอร์ในสถานกงสุล
เป็นตัวอย่างรูปถ่ายที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง (สังเกตให้ดีบางรูปมีอุ้มตุ๊กตาลูกเทพด้วย..555)
ผมแอบเห็นบนโต๊ะเจ้าหน้าที่มีนามบัตรร้านถ่ายรูปวางอยู่กล่องหนึ่ง
คิดว่าถ้ารูปถ่ายที่นำมายื่นไม่ถูกต้องคงถูกไล่ให้ไปถ่ายที่ร้านนี้แน่นอน
วันยื่นเอกสาร สัมภาษณ์
สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำเชียงใหม่ ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านในฝัน 2
ถนนคันคลองชลประทาน ตำบลแม่เหียะ ใกล้กับอุทยานราชพฤกษ์สถานที่เคยจัดงานพืชสวนโลก
ถ้าขับรถจากตัวเมืองเชียงใหม่ต้องมากลับรถตรงแยกทางเข้าอุทยาน ฯ
เวลานัดนัดเก้าโมงเช้า ผมและลูกทัวร์ไปถึงที่กลับรถตรงนั้นนั้นยังไม่แปดโมง
จึงถือโอกาสพาลูกทัวร์จากราชบุรีขึ้นไปไหว้พระชมวิวบนวัดดอยคำซึ่งอยู่หลังอุทยาน ฯ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัย
และใหน ๆ ก็เป็นกระทู้ห้องบลูแพลเน็ทแล้ว ขอแว้บพาเที่ยวสักนิดจะเป็นไรไป
วัดพระธาตุดอยคำ ณ ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ใครมาเชียงใหม่จะต้องมาเยี่ยมชม
เพราะนอกจากขึ้นไปไหว้พระชมวิวแล้ว การมาบนบานกับพระเจ้าทันใจซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ก็เป็นอีกจุดประสงค์หนึ่ง
นี่ขนาดตอนเช้าวันธรรมดาคนยังคึกคักขนาดนี้ เห็นว่าถ้าเป็นวันหยุดหรือเทศกาลผู้คนล้นหลามจนแทบไม่มีที่จอดรถ
การบนขอพรกับพระเจ้าทันใจมีความเชื่อว่าต้องบนด้วยมาลัยดอกมะลิจะกี่พวงก็ว่ากันไป
ทำให้ตลอดทางตั้งแต่ทางแยกเข้าอุทยานราชพฤกษ์เรื่อยมามาจนถึงทางขึ้นวัด
มีร้านขายมาลัยดอกมะลิพร้อมกับคนขายยืนโบกมือเรียงลูกค้าตลอดทาง
นี่เป็นภาพถาดมาลัยดอกมะลิที่นำมาแก้บน
วันนั้นผมไปแต่เช้าจึงได้เห็นภาพเจ้าหน้าที่โกยมาลัยดอกมะลิที่ได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ใส่เข่งเข็นมาใส่รถบรรทุกเพื่อนำไปทิ้งหลายรอบ
กลับมาเข้าเรื่องวีซ่ากันต่อ...
ตอนแรกผมคิดว่าสถานกงสุล ฯ คงเป็นอาคารโอ่โถงสง่าน่าเกรงขาม
แต่เมื่อเข้าไปถึงปรากฎว่าแอบอยู่ใต้ถุนอาคารคลับเฮ้าส์ของหมู่บ้านนี่เอง
ถ้ายามหน้าหมู่บ้านไม่บอกว่าอยู่ข้างข้างสนามเทนนิสคงหาไม่เจอแน่
เห็นโลโก้อินทรีย์เหล็กนี้แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
ผมไปถึงแปดโมงครึ่งเพราะอ่านจากเว็บแนะนำว่าควรไปถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ปรากฏว่าสำนักงานยังไม่เปิด ขณะนั้นมีแค่กรุ๊ปทัวร์ของผมสี่คนแค่นั้นเอง เหงาเป็นอันมาก
เพราะเข้าใจว่าน่าจะคึกคักเหมือนที่สถานทูตในกรุงเทพตามที่ได้อ่านมา
เก้าโมงนิด ๆ เจ้าหน้าที่มาเรียกให้เข้าไปได้แล้ว โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองแต่อย่างใด
กระเป๋าก็ไม่ต้องเอ็กซเรย์ มือถือก็ไม่ต้องฝาก ข้างในมีเจ้าหน้าที่สาว 2 คน หนุ่มน้อยอีก 1 คน
โดยเจ้าหน้าที่สาวสองคนทำหน้าที่รับเอกสารและสัมภาษณ์คนละคู่ แต่ก็อยู่โต๊ะติดกันนั่นแหละ
เมื่อเข้าไปถึง เจ้าหน้าที่ขอรูปถ่ายก่อนเลยเพื่อเอาไปสแกนว่าผ่านหรือไม่
คำถามแรกหลังจากเปิดดูพาสปอร์ตคือถามว่าพาสปอร์ตเล่มนี้เป็นเล่มที่เท่าไหร่
ลืมบอกไปว่าผมยื่นพาสปอร์ตพร้อมสำเนาเล่มปัจจุบันไปเพียงเล่มเดียว
เพราะคิดว่าน่าจะพอเพียงเพราะในนั้นมีทั้งวีซ่าเชงเก้นอิตาลี วีซ่าอังกฤษ และอเมริกาที่ยังไม่หมดอายุแปะอยู่
ฉะนั้นถ้าใครมีพาสปอร์ตเล่มเก่าก็ควรติดไปด้วย เพราะประวัติการเดินทางน่าจะมีผลในการพิจารณา
ผมขอเล่าบรรยากาศโดยรวมเลยว่าหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พลิกดูเอกสารทีละหน้า
พร้อมกับไฮไล้ท์และบันทึกเล็ก ๆ ลงไปในหน้าเอกสารตลอดเวลา
ไม่ได้ซักถามอะไรเป็นจริงเป็นจังมากนัก นอกจากถามอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ
เช่น มีลูกไหมคะ ใครเป็นคนทำเอกสาร ถามทีได้ยินกันทั้งสองโต๊ะ ก็ช่วยกันตอบ ๆ ไป
ดูแล้วเหมือนเป็นการพูดคุยกันมากกว่าการสัมภาษณ์ และเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นคนมีอัธยาศัยอันดียิ่ง
ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ซีเรียสดังคำร่ำลือว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตเยอรมันดุนักดุหนา
ระหว่างตรวจเอกสารจะมีโทรศัพท์เข้ามาเป็นระยะส่วนมากจะถามถึงสถานที่ตั้งของสถานกงสุล
หรือหลักฐานเกี่ยวกับการยื่นวีซ่า ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบอย่างละเอียดชัดเจนทุกครั้งทั้ง ๆ ที่เป็นคำถามเดิม ๆ
สรุป รูปถ่ายผ่านเอกสารทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ (มีคำชมนิด ๆ ว่าเตรียมเอกสารมาดี)
อ้อ..มีปัญหานิดหนึ่ง ผมคงกรอกข้อมูลพาสปอร์ตของเพื่อนผิดไปตรงใหนซักแห่ง
เจ้าหน้าที่จึงไปเปิดดูไฟล์ที่ผมส่งมาแล้วทำการแก้ไข นอกนั้นก็ไม่มีอะไร แต่ก็ใช้เวลาช่วงนี้ร่วมชั่วโมง
เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจทุกแผ่นอย่างละเอียดยิบ รวมทั้งหยุดตอบคำถามทางโทรศัพท์เป็นครั้งคราว
เมื่อครบถ้วนก็ให้เซ็นชื่อท้ายเอกสาร 5 หรือ 6 แห่งไม่แน่ใจ
ต่อจากนั้นถึงขั้นตอนสแกนบาร์โค้ดท้ายเอกสารพร้อมกับสแกนลายนิ้วมือ
เสร็จแล้วก็ชำระเงินที่โต๊ะเดิมนั่นแหละ มีค่าใช่จ่ายต่อคน ดังนี้
1. ค่าธรรมเนียมวีซ่า 2,300 บาท
2. ค่าธรรมเนียมกงสุลและค่าจัดส่งเอกสารไปยังสถานทูตฯ 1,450 บาท
อีกประมาณสองอาทิตย์ให้โทรสอบถามเพื่อมารับพาสปอร์ตคืน
ผมถามว่าจะผ่านไหม เจ้าหน้าที่สาวน้อยพูดเปรย ๆ ทำนองว่าเอกสารครบไม่น่ามีปัญหา
ผมก็คิดว่างั้นเพราะที่ยื่นนี้เป็นกรุ๊ปทัวร์ สว.ของแท้ ประกอบด้วย
สว.อาวุโส 1 คน สว.ป้ายแดง 2 คน ว่าที่ สว.อีก 1 คน อายุรวมกัน 250 ปี
ปูนนี้แล้วคงไม่คิดโดดวีซ่าไปเป็นโรบินฮู้ดมั้ง ห่วงอย่าเดียวกลัวอายุเกิน