หลังจากแตกหักจากกัน ดูเหมือนจะดี แยกย้ายจากค่ายเดิม GTH ผู้บริหารส่วนหนึ่งหันไปเปิดค่ายหนังใหม่ในนาม GDH 559 และอีกหนึ่งผู้บริหารคนสำคัญ คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์ ก็ได้หันมาร่วมลงทุนกับค่ายโมโน เทคโนโลยี จำกัด Mono Technology เปิดบริษัทผลิตหนังใหม่ในนาม ที โมเมนต์ T Moment โดยวันนี้ คุณวิสูตรได้ออกมาเปิดใจในงานแถลง จัดขึ้นที่ ลานอินฟินิซิตี้ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน
ลงตัวที่ชื่อ ที โมเมนต์? "เป็นคำมีความหมายที่ดี ผมรู้สึกว่าเวลานี้เป็นเวลาสำคัญของตัว T เราต้องออกมาจากบริษัท (GTH) ที่ปิดตัวลง เราต้องมาเริ่มก้าวใหม่ ผมรู้สึกว่าโมเมนต์นี้ เป็นโมเมนต์ที่สำคัญมากสำหรับผม ในการเริ่มต้นครั้งที่สาม คือครั้งแรกผมทำบริษัท ไท เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ครั้งที่สองทำ GTH แล้วครั้งนี้ ดูจากอายุผม (ยิ้ม) ผลงานครั้งนี้ก็จะเป็นผลงานครั้งสุดท้ายของผมแล้วแหละ ที่จะทำให้กับวงการภาพยนตร์ไทย" ทำไมถึงเลือกที่โมโน? "ก็มีการพูดคุยกับบุคคลในวงการมากมาย สุดท้ายก็ได้มาพบกับทางโมโน พูดคุยแล้วถูกใจถูกคอ เลยอยากจะร่วมด้วย"
ร่วมลงทุนไปเท่าไหร่? "ลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท เป็นการร่วมมือกัน ร่วมลงทุนกันคนละ 50 50" ครั้งนี้แบ่งครึ่งต่อครึ่ง เพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหาในการแบ่งผลประโยชน์เหมือนกรณีที่เคยเกิดกับ GTH หรือไม่? "จริงๆ ก็ไม่เชิงนะ ผมไม่คิดว่าเคส (กรณี) ของ GTH จะมาเกิดขึ้นบ่อยกับผมนักหรอก ผมคิดว่าเป็นเจตนาและความตั้งใจมากกว่า เราทำในสิ่งที่คิดว่าดี และเรามีผู้ร่วมงานที่ดี ผมว่ามันน่าจะไปด้วยกันได้"
คาดว่าจะเป็นการแข่งขันกับกลุ่มเดิมจาก GTH ที่ออกมาเปิดค่ายหนังใหม่ในนาม GDH 559? "ผมคิดว่าตลาดหนังไทย ยังต้องการคนเข้ามาอีกมาก อะไรก็ตามที่ทำให้หนังไทยเติบโต เดินไปข้างหน้าได้ ผมก็คิดว่าควรทำทั้งนั้นแหละ เรื่องการแข่งขันไม่ควรเอามาคิดถึง จริงๆ แล้วคู่แข่งของเรา อย่างหนังต่างประเทศก็เป็น ผมคิดว่าเราทำงานของเราให้ดีที่สุดก่อน"
ค่ายนี้จะทำหนังแนวไหนบ้าง? "30 ปี ที่ผ่านมา ผมค่อนข้างทำหนังที่หลากหลายแนวทางมาก แทบจะมีทุกแนว ขึ้นอยู่กับจังหวะและบุคคลที่จะมาคุยกับเรามากกว่า ว่าผู้กำกับแต่ละท่านที่เข้ามาคุยกับเรา และเราไปคุยกับผู้กำกับนั้น เป็นหนังประเภทไหน เราพร้อมที่จะทำทุกแนว ที่ตรงกับรสนิยมคนดู และตรงกับใจคนดู"
ค่ายนี้ไม่มีนักแสดงเก่าๆ ที่มีชื่อเสียง? "มีทั้งข้อดีและข้อเสีย การมีนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว มันก็การันตีว่า ไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่หมด เพราะคนดูรู้จักดีอยู่แล้ว การเริ่มต้นใหม่ก็ดีเหมือนกันมันได้ความสด ใหม่ แปลก และผู้ชมจะเชื่อในบทบาทที่เขาได้รับ" หนักใจมั้ยกับการเปิดค่ายหนังใหม่ในครั้งนี้? "ไม่หนักใจเลยครับ ประสบการณ์ในรอบ 30 ปี ผมทำงานกับคนใหม่ๆ มาตลอด ตั้งแต่ปี 2528 จนถึงปัจจุบัน ผมแทบจะร่วมงานกับคนที่ไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน มีการพูดคุย ทำความศึกษากันใหม่มาตลอด แล้วค่อยทำงานร่วมกัน"
มองตลาดหนังต่างประเทศไว้อย่างไร? "ผมอยากจะทำแบรนด์ ที โมเมนต์ T Moment ให้อยู่ตัวก่อนในประเทศ อยากทำให้เข้าที่เข้าทางก่อน การจะไปคิดถึงตลาดประเทศเป็นอีกสเต็ปหนึ่งเหมือนกัน จริงๆ โมโนมีทั้งจีนและเกาหลี ที่จะไปได้เลย" หนังเรื่องใหม่ของค่ายเรา? "ตอนนี้ผมพูดคุยกับผู้กำกับและคนใหม่ๆ ไปประมาณ 5-6 โปรเจกต์แล้ว แต่ว่ายังไม่มีโปรเจกต์ไหนที่จะมาตอบตอนนี้ได้ว่า เสร็จสมบูรณ์แล้ว ภายในปีนี้น่าจะเป็นช่วงไตรมาสสุดท้าย น่าจะมีอย่างน้อย 1 เรื่อง แล้วปีหน้าคิดว่าเข้าที่เข้าทางแล้ว ปีหนึ่งน่าจะ 3-5 เรื่อง
จะเปิดรับผู้กำกับใหม่ๆ ? "แน่นอน การทำงานกับคนใหม่เป็นนโนบายของบริษัทเลย มีแน่นอน" เปิดเผยได้มั้ย? "โปรเจกต์ยังไม่เสร็จ 100% การจะไปเอ่ยถึงเขา เกิดในอนาคตไม่ได้ร่วมงานกัน อาจจะทำให้เขาเสียหาย เอาไว้พร้อมผมจะแถลงข่าวอีกทีหนึ่ง" มั่นใจมากน้อยแค่ไหนกับการร่วมงานกับโมโน? "มั่นใจ ครับ ผมถือว่าผลงานนี้เป็นผลงานทิ้งทวนของผม ฉะนั้นผมจะทุ่มเทเต็มที่กับการทำงานช่วงสุดท้ายของผม อยากจะทำให้ดีที่สุด อยากจะสร้างคนสร้างสิ่งดีๆ ให้กับวงการภาพยนตร์ไปข้างหน้าให้ได้"
ที โมเมนต์ จะทำหนังอย่างเดียวเลย หรือจะทำซีรีส์และละครด้วย? "แน่นอนครับ ในสเต็ปที่ 2 เราอยู่ตัว เราเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามแพลนที่ผมวางไว้ การทำละคร ซีรีส์ที่เป็นการแตกขยายต่อไป ต้องทำแน่นอน" หลังแยกจาก GTH หลายคนจับตาว่าน่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างสองกลุ่ม? "จริงๆ ผมไม่อยากจะเรียกว่าการแข่งขันนะ เป็นการสร้างความเติบโตให้กับวงการภาพยนตร์ไทยมากกว่า ถ้าเรามองในแง่เดียว เมื่อก่อนมีแค่ GTH ค่ายเดียวอาจจะทำหนังปีหนึ่งได้ 3 เรื่อง ตอนนี้มี GDH 559 และ T Moment อาจจะทำหนังบริษัทละ 3 เรื่อง รวมเป็น 6 เรื่อง ฉะนั้นในความรู้สึกผม หนังไทยมันจะดีขึ้น เติบโตขึ้น"
จะทำหนังแนว Feel Good อย่างเดียว? "ผมจะทำทุกแนวครับ จริงๆ แนว Feel Good ไม่ได้รังเกียจนะครับ หนังที่มีเรื่องราวดีๆ เรื่องราวบันเทิง สนุกสนาน เรื่องใกล้ตัว ผมทำหมดแหละครับ ผมคิดว่าเราอยากให้ผู้ชมได้รับความสนุกสนาน ได้รับความคุ้มค่ากับการชมภาพยนตร์มากกว่า" หลายคนมองว่าจบกับ GTH แบบไม่ดี หรือว่าต่อไปสามารถร่วมงานกันได้ในอนาคต? "จริงๆ ณ วันนี้ยังเป็นพันธมิตรกัน อย่างพี่เล็ก บุษบา ยังคุยกันได้ดี หรือคุณจีน่า (จินา โอสถศิลป์), คุณเก้ง (จิระ มะลิกุล), คุณสิน (ยงยุทธ ทองกองทุน) ทุกคนยังเป็นเพื่อน มันไม่ได้มีความรู้สึกแบบ Feel Bad (รู้สึกแย่) หรือรู้สึกอะไรแบบ เจ็บแค้น ไม่ใช่ๆ ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้น ในอนาคตยังสามารถเป็นเพื่อนคู่ค้ากันได้"
คาดหวังอย่างไรกับหนังไทย? "คาดหวังอยากให้หนังไทยโตกว่านี้ ปีที่แล้วมาร์เก็ตแชร์หนังไทยลงต่ำมาก จากที่เคยมี 30% มีตลอด ปีที่แล้วลดเหลือ 18% ซึ่งผมใจหาย โอ ทำไมหนังไทยคนดูน้อยขนาดนี้ เรากลับมีความรู้สึก อยากทำหนังไทยให้ดีขึ้น โตขึ้น และผู้ชมมีความนิยมมากขึ้น เหมือนญี่ปุ่น เกาหลี ที่เขานิยมดูหนังของชาติของบ้านตัวเอง" เรื่องเฟ้นหานักแสดงมาเข้าสังกัด? "ก็คิดว่าต้องมี และนักแสดงใหม่ๆ ก็จำเป็น การทำงานกับดาราที่มีค่ายหรือไม่มีค่าย หรือเฟ้นหาดาราใหม่ อันนี้ควรทำหมด เพื่อในอนาคตเราจะได้มีผลงานอย่างต่อเนื่อง...ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ติดตัวผมมาตลอดเกี่ยวกับหนังคือ จะทำที่มีคุณภาพและเน้นเรื่องความแตกต่าง จะบอกว่าเป็นสูตรก็ได้ หรือไม่เป็นสูตรก็ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ละเลย ต้องทำมาโดยตลอด" หนังไทยจะดีขึ้นได้อย่างไร? "อันนี้ขึ้นอยู่กับภาพรวมด้วยครับ ลำพังผมและบริษัทเดียวคงทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง".
ที่มา ไทยรัฐ
ร่วมทุน 200 ล้าน เปิดค่ายหนัง ที โมเมนต์ วิสูตร ลั่น! ไม่แค้น GTH
หลังจากแตกหักจากกัน ดูเหมือนจะดี แยกย้ายจากค่ายเดิม GTH ผู้บริหารส่วนหนึ่งหันไปเปิดค่ายหนังใหม่ในนาม GDH 559 และอีกหนึ่งผู้บริหารคนสำคัญ คุณวิสูตร พูลวรลักษณ์ ก็ได้หันมาร่วมลงทุนกับค่ายโมโน เทคโนโลยี จำกัด Mono Technology เปิดบริษัทผลิตหนังใหม่ในนาม ที โมเมนต์ T Moment โดยวันนี้ คุณวิสูตรได้ออกมาเปิดใจในงานแถลง จัดขึ้นที่ ลานอินฟินิซิตี้ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน
ลงตัวที่ชื่อ ที โมเมนต์? "เป็นคำมีความหมายที่ดี ผมรู้สึกว่าเวลานี้เป็นเวลาสำคัญของตัว T เราต้องออกมาจากบริษัท (GTH) ที่ปิดตัวลง เราต้องมาเริ่มก้าวใหม่ ผมรู้สึกว่าโมเมนต์นี้ เป็นโมเมนต์ที่สำคัญมากสำหรับผม ในการเริ่มต้นครั้งที่สาม คือครั้งแรกผมทำบริษัท ไท เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ครั้งที่สองทำ GTH แล้วครั้งนี้ ดูจากอายุผม (ยิ้ม) ผลงานครั้งนี้ก็จะเป็นผลงานครั้งสุดท้ายของผมแล้วแหละ ที่จะทำให้กับวงการภาพยนตร์ไทย" ทำไมถึงเลือกที่โมโน? "ก็มีการพูดคุยกับบุคคลในวงการมากมาย สุดท้ายก็ได้มาพบกับทางโมโน พูดคุยแล้วถูกใจถูกคอ เลยอยากจะร่วมด้วย"
ร่วมลงทุนไปเท่าไหร่? "ลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท เป็นการร่วมมือกัน ร่วมลงทุนกันคนละ 50 50" ครั้งนี้แบ่งครึ่งต่อครึ่ง เพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหาในการแบ่งผลประโยชน์เหมือนกรณีที่เคยเกิดกับ GTH หรือไม่? "จริงๆ ก็ไม่เชิงนะ ผมไม่คิดว่าเคส (กรณี) ของ GTH จะมาเกิดขึ้นบ่อยกับผมนักหรอก ผมคิดว่าเป็นเจตนาและความตั้งใจมากกว่า เราทำในสิ่งที่คิดว่าดี และเรามีผู้ร่วมงานที่ดี ผมว่ามันน่าจะไปด้วยกันได้"
คาดว่าจะเป็นการแข่งขันกับกลุ่มเดิมจาก GTH ที่ออกมาเปิดค่ายหนังใหม่ในนาม GDH 559? "ผมคิดว่าตลาดหนังไทย ยังต้องการคนเข้ามาอีกมาก อะไรก็ตามที่ทำให้หนังไทยเติบโต เดินไปข้างหน้าได้ ผมก็คิดว่าควรทำทั้งนั้นแหละ เรื่องการแข่งขันไม่ควรเอามาคิดถึง จริงๆ แล้วคู่แข่งของเรา อย่างหนังต่างประเทศก็เป็น ผมคิดว่าเราทำงานของเราให้ดีที่สุดก่อน"
ค่ายนี้จะทำหนังแนวไหนบ้าง? "30 ปี ที่ผ่านมา ผมค่อนข้างทำหนังที่หลากหลายแนวทางมาก แทบจะมีทุกแนว ขึ้นอยู่กับจังหวะและบุคคลที่จะมาคุยกับเรามากกว่า ว่าผู้กำกับแต่ละท่านที่เข้ามาคุยกับเรา และเราไปคุยกับผู้กำกับนั้น เป็นหนังประเภทไหน เราพร้อมที่จะทำทุกแนว ที่ตรงกับรสนิยมคนดู และตรงกับใจคนดู"
ค่ายนี้ไม่มีนักแสดงเก่าๆ ที่มีชื่อเสียง? "มีทั้งข้อดีและข้อเสีย การมีนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว มันก็การันตีว่า ไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่หมด เพราะคนดูรู้จักดีอยู่แล้ว การเริ่มต้นใหม่ก็ดีเหมือนกันมันได้ความสด ใหม่ แปลก และผู้ชมจะเชื่อในบทบาทที่เขาได้รับ" หนักใจมั้ยกับการเปิดค่ายหนังใหม่ในครั้งนี้? "ไม่หนักใจเลยครับ ประสบการณ์ในรอบ 30 ปี ผมทำงานกับคนใหม่ๆ มาตลอด ตั้งแต่ปี 2528 จนถึงปัจจุบัน ผมแทบจะร่วมงานกับคนที่ไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน มีการพูดคุย ทำความศึกษากันใหม่มาตลอด แล้วค่อยทำงานร่วมกัน"
มองตลาดหนังต่างประเทศไว้อย่างไร? "ผมอยากจะทำแบรนด์ ที โมเมนต์ T Moment ให้อยู่ตัวก่อนในประเทศ อยากทำให้เข้าที่เข้าทางก่อน การจะไปคิดถึงตลาดประเทศเป็นอีกสเต็ปหนึ่งเหมือนกัน จริงๆ โมโนมีทั้งจีนและเกาหลี ที่จะไปได้เลย" หนังเรื่องใหม่ของค่ายเรา? "ตอนนี้ผมพูดคุยกับผู้กำกับและคนใหม่ๆ ไปประมาณ 5-6 โปรเจกต์แล้ว แต่ว่ายังไม่มีโปรเจกต์ไหนที่จะมาตอบตอนนี้ได้ว่า เสร็จสมบูรณ์แล้ว ภายในปีนี้น่าจะเป็นช่วงไตรมาสสุดท้าย น่าจะมีอย่างน้อย 1 เรื่อง แล้วปีหน้าคิดว่าเข้าที่เข้าทางแล้ว ปีหนึ่งน่าจะ 3-5 เรื่อง
จะเปิดรับผู้กำกับใหม่ๆ ? "แน่นอน การทำงานกับคนใหม่เป็นนโนบายของบริษัทเลย มีแน่นอน" เปิดเผยได้มั้ย? "โปรเจกต์ยังไม่เสร็จ 100% การจะไปเอ่ยถึงเขา เกิดในอนาคตไม่ได้ร่วมงานกัน อาจจะทำให้เขาเสียหาย เอาไว้พร้อมผมจะแถลงข่าวอีกทีหนึ่ง" มั่นใจมากน้อยแค่ไหนกับการร่วมงานกับโมโน? "มั่นใจ ครับ ผมถือว่าผลงานนี้เป็นผลงานทิ้งทวนของผม ฉะนั้นผมจะทุ่มเทเต็มที่กับการทำงานช่วงสุดท้ายของผม อยากจะทำให้ดีที่สุด อยากจะสร้างคนสร้างสิ่งดีๆ ให้กับวงการภาพยนตร์ไปข้างหน้าให้ได้"
ที โมเมนต์ จะทำหนังอย่างเดียวเลย หรือจะทำซีรีส์และละครด้วย? "แน่นอนครับ ในสเต็ปที่ 2 เราอยู่ตัว เราเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามแพลนที่ผมวางไว้ การทำละคร ซีรีส์ที่เป็นการแตกขยายต่อไป ต้องทำแน่นอน" หลังแยกจาก GTH หลายคนจับตาว่าน่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างสองกลุ่ม? "จริงๆ ผมไม่อยากจะเรียกว่าการแข่งขันนะ เป็นการสร้างความเติบโตให้กับวงการภาพยนตร์ไทยมากกว่า ถ้าเรามองในแง่เดียว เมื่อก่อนมีแค่ GTH ค่ายเดียวอาจจะทำหนังปีหนึ่งได้ 3 เรื่อง ตอนนี้มี GDH 559 และ T Moment อาจจะทำหนังบริษัทละ 3 เรื่อง รวมเป็น 6 เรื่อง ฉะนั้นในความรู้สึกผม หนังไทยมันจะดีขึ้น เติบโตขึ้น"
จะทำหนังแนว Feel Good อย่างเดียว? "ผมจะทำทุกแนวครับ จริงๆ แนว Feel Good ไม่ได้รังเกียจนะครับ หนังที่มีเรื่องราวดีๆ เรื่องราวบันเทิง สนุกสนาน เรื่องใกล้ตัว ผมทำหมดแหละครับ ผมคิดว่าเราอยากให้ผู้ชมได้รับความสนุกสนาน ได้รับความคุ้มค่ากับการชมภาพยนตร์มากกว่า" หลายคนมองว่าจบกับ GTH แบบไม่ดี หรือว่าต่อไปสามารถร่วมงานกันได้ในอนาคต? "จริงๆ ณ วันนี้ยังเป็นพันธมิตรกัน อย่างพี่เล็ก บุษบา ยังคุยกันได้ดี หรือคุณจีน่า (จินา โอสถศิลป์), คุณเก้ง (จิระ มะลิกุล), คุณสิน (ยงยุทธ ทองกองทุน) ทุกคนยังเป็นเพื่อน มันไม่ได้มีความรู้สึกแบบ Feel Bad (รู้สึกแย่) หรือรู้สึกอะไรแบบ เจ็บแค้น ไม่ใช่ๆ ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้น ในอนาคตยังสามารถเป็นเพื่อนคู่ค้ากันได้"
คาดหวังอย่างไรกับหนังไทย? "คาดหวังอยากให้หนังไทยโตกว่านี้ ปีที่แล้วมาร์เก็ตแชร์หนังไทยลงต่ำมาก จากที่เคยมี 30% มีตลอด ปีที่แล้วลดเหลือ 18% ซึ่งผมใจหาย โอ ทำไมหนังไทยคนดูน้อยขนาดนี้ เรากลับมีความรู้สึก อยากทำหนังไทยให้ดีขึ้น โตขึ้น และผู้ชมมีความนิยมมากขึ้น เหมือนญี่ปุ่น เกาหลี ที่เขานิยมดูหนังของชาติของบ้านตัวเอง" เรื่องเฟ้นหานักแสดงมาเข้าสังกัด? "ก็คิดว่าต้องมี และนักแสดงใหม่ๆ ก็จำเป็น การทำงานกับดาราที่มีค่ายหรือไม่มีค่าย หรือเฟ้นหาดาราใหม่ อันนี้ควรทำหมด เพื่อในอนาคตเราจะได้มีผลงานอย่างต่อเนื่อง...ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ติดตัวผมมาตลอดเกี่ยวกับหนังคือ จะทำที่มีคุณภาพและเน้นเรื่องความแตกต่าง จะบอกว่าเป็นสูตรก็ได้ หรือไม่เป็นสูตรก็ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ละเลย ต้องทำมาโดยตลอด" หนังไทยจะดีขึ้นได้อย่างไร? "อันนี้ขึ้นอยู่กับภาพรวมด้วยครับ ลำพังผมและบริษัทเดียวคงทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง".
ที่มา ไทยรัฐ