พรีเวียดมอสโคว์!! ยินดีด้วยคับ คุณตามเรามาถึงมอสโคว์แล้วน่ะ!
และแล้วการเดินทางบนรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียก็สิ้นสุดลง เราสองคนสะพายเป้ขนาดมหึมาลงจากรถไฟอย่างทุลักทุเล คุณป้าพนักงานรถไฟ ยืนโบกมือไหวๆ ร่ำลาเราสองคนอยู่บนชานชลา
ก่อนหน้านี้ ก่อนที่รถไฟจะเข้าสู่สถานีมอสโคว์ คุณป้าได้เดินมาหาเราสองคนที่ห้อง พร้อมกับคืนตั๋วรถไฟคืนให้เรา อันเป็นสัญญาณว่าเราจะต้องลงในไม่ช้านี้ แล้วคุณป้าก็ยื่นสมุดเล่มโตมาเล่มนึงให้เราดู ไอเราสองคนก็งง ว่าป้าต้องการอะไร? แล้วแกก็ทำมือเป็นท่าจับปากกาเขียนๆอยู่บนสมุด แล้วพูดว่า "แต๊งกิ้วๆ" เราก็
อ๋อออ จะให้เขียนขอบคุณใช่มั๊ย อารมณ์ว่าแบบจะร่ำลากันแล้วงี้?
อ่าใช่ๆ เนี่ยะๆ แบบเนี่ยะๆ (แล้วป้าก็เปิดสมุด พลิกให้ดูทีละหน้า ว่ามีคนอื่นมาเขียนประมาณนี้ๆ น่ะ) (บรรยากาศเหมือนโดนพนักงานขายตรง พรีเซนต์สรรพคุณเครื่องกรองน้ำอยู่เลย)
โห นี่ก็มีคนเขียนปาไปเกินครึ่งเล่มแล้วน่ะ ฮ๊อตไม่เบาเลยน๊าา ตัวเธอ
บ้าาาาาา เธอก็พูดไป (เขินทำไมป้า? แซวเล่น!) ไม่ขนาดนั้นหรอก ที่เห็นนี่ใช้เวลาห้าปีเลยน่ะ (แบมือย้ำเลขห้า)
โห ห้าปีเลยหรอ? ป้าให้ทุกคนในนี้เขียนเลยหรอ?
อืมมม ก็ให้ทุกคนอ่ะน่ะ แต่บางคนก็เขียน บางคนก็ไม่เขียน
มาๆเดี๋ยวเราสองคนจะขียนให้น่ะ
ประโยคสนทนาเมื่อครู่ เป็นการสนทนาระหว่างภาษาอังกฤษ กับอังกฤษคำ ปนมองโกลห้าสิบคำ ตามสไตล์ป้า (แต่หลังๆป้าก็รัวมองโกลมาเพียวๆเลย) เลยใช้การแปลจากลักษะท่าทางเป็นหลัก โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม
กลับมา! เรามายืนอยู่ที่สถานีรถไฟ Moscow Yaroslavski Station แล้ว ได้ลงมาเหยียบพื้นปฏพีอีกครั้ง หลังจากที่นอนแน่นิ่งยังกับคนเป็นอัมพาตอยู่บนรถไฟมาหลายวัน แต่เดี๋ยวน่ะ ทำไมกูยังรู้สึกเหมือนยังอยู่บนรถไฟอยู่เลย มันวิงเวียง หมุนๆ เหมือนตัวเราโคลงเคลงตามจังหวะรถไฟอยู่ เชี่ย!! ทำไมไม่มีใครบอกเลยว่ะ ว่าจะมีไซด์เอ็ฟเฟ็กที่รุนแรงขนาดนี้
"เมิงเป็นเหมือนกูป่ะ?" ผมหันไปหาเพื่อน มันตอบกลับว่า "ก็ไม่น่ะ" อ่าวเวร!! นี่กูเป็นอยู่คนเดียวอ่อว่ะ? หรือว่า.......กูจะเมารถไฟ!
คนบ้าอะไรจะเมารถไฟว่ะ! ไม่มีหรอกม๊างงงง ไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะเมารถไฟ ไม่ๆๆๆๆ กูอาจจะคิดไปเอง ตั้งสติก่อน รีบหาทางไปโฮสเทลก่อน ได้นอนบนเตียงนุ่มๆ นิ่งๆ อาจจะดีขึ้น
หลังจากทะเลาะกับตัวเองเสร็จแล้ว ผมก็เดินนำลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนล้านแปดเบียดเสียดกันอยู่ที่หน้าช่องขายตั๋ว ยังไงดีว่ะ? ป้ายภาษาอังกฤษก็ไม่มีปรากฎให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี เอาวะ ต่อแถวตามๆเขาไปก่อน
พอถึงช่องขายตั๋ว ผมก็ชี้สถานีที่เราจะไปให้ป้าพนักงานขายตั๋วดู แล้วชูสองนิ้ว สื่อความหมายว่า สองคนน่ะจ๊ะ แล้วป้าก็จิ้มเครื่องคิดเลขแสดงราคาที่เราต้องจ่าย เราจ่ายเงินแล้วป้าก็ให้ตั๋วมา ใบเดียว!
"เดี๋ยวๆป้าๆ สองคนคับ" พยายามจะมุดช่องขายตั๋วไปไปเคลียร์กับป้า ป้าก็ตอบกลับมาว่า "ก็นั่นแหละ ใช้ได้สองคน เฮ้อ...ไอฟายยยเอ้ย" ประโยคหลังนี่เติมเอง อธิบายจากท่าทางการมองบนของป้า อ่าววว ก็กูไม่รู้นี่หน่า กูเป็นนักท่องเที่ยวน่ะ ไม่ได้เกิดที่นี่ พูดกับกูดีๆหน่อยก็ได้ แค่นี้ก็ต้องถึงกับมองบน
แหม่ คนรัสเซียนี่เค้ารักษาคอนเซปกันดีจริงๆเลยเนอะ
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ป้าบอกคับ ว่ามันใช้ได้สองคนจริงๆ คือรถไฟใต้ดินที่นี่เนี่ย เราตี๊ดบัตรแค่ตอนขาเข้า พอเราผ่านเครื่องกั้นได้แล้ว เราก็ยื่นบัตรต่อให้เพื่อนได้เลย ตอนขาออกก็เดินตัวปลิวไปได้เลย ไม่ต้องคืนบัตร เช้ดดดดด! ร็อคมาก! เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน รู้สึกเหมือนกำลังทำผิดอยู่ ลึกๆ คือบ้านเรานี่จะมาวนบัตรกันอย่างนี้มันไม่ได้ง่ะ แต่มันกลับเป็นเรื่องปกติของที่นี่ อืมมม แปลกดี
เแล้วเราก็มายืนอยู่บนบันไดเลื่อน ค่อยๆเลื่อนไป เลื่อนไป เลื่อนไป ยังคงเลื่อนอยู่ ยังเลื่อนได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย เลื่อนต่อไปอีก ลงไปอีก ลงไปอีก คือบันไดเลื่อนเมิงยาวมากกกกกกกกกกกก ยาวที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา คือร้องเพลงชาติจบไปหนึ่งจบก็ยังไม่ถึงอ่ะ นี่รถไฟเมิงวิ่งอยู่ที่แกนโลกหรือยังไง?!?!
จนในที่สุดเราก็ลงมาถึงชานชลา ภาพที่เห็นนี่คือ โอ้โหยยยยยเมิง! อลังการค่อดๆ คุ้มค่ากับการลงบันไดเลื่อนอันแสนยาวนาน ขอยืนตะลึงแปปนะ คือผนังนี่ตกแต่งด้วยกระเบื้องอย่างเป็นศิลปะ มองไปบนเพดาน เป็นทรงโค้งรับกับเสาค้ำยันขนาดใหญ่ มีภาพวาดจิตรกรรมอยู่นั้นด้วย ยังไม่พอ! แม่มยกโคมไฟระย้า แชนเดอร์เลีย มาด้วย นี่กูอยู่สถานีรถไฟใต้ดินหรืออาร์ตมิวเซี่ยมเนี่ยะ มันดีงามสมคำร่ำลือจริงๆ
ถึงกระนั้นเราก็ไม่ได้ถ่ายรูปสถานีรถไฟมาเลยคับ เพราะนี่เคยดูรายการหนังพาไป ตอนที่พิธีกรมาสถานีรถไฟใต้ดินที่มอสโคว์ แล้วถ่ายรูป แล้วโดนตำรวจเรียก! เราก็เลยกลัวโดนแบบนั้นด้วย เลยไม่ได้แชะภาพกันเลย ได้แต่เก็บเอาไว้อยู่ในความทรงจำ (ใครที่ไม่เคยเห็น ลองกูเกิ้ล พิมพ์ไปว่าสถานีรถไฟใต้ดิน มอสโคว์ดูก็ได้น่ะคับ มีเพียบ!)
แม้ว่าสถานีจะดูหรูหราไฮโซขนาดไหนก็ตาม แต่สภาพรถไฟนี่ไม่ได้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมเลยซักนิด เก่ามาเลย ผิดกับที่คิดไว้ตอนแรกเลย ไอเราก็คิดว่า เห็นสถานีดูดีขนาดนี้ รถไฟก็ไม่น่าจะน้อยหน้าไปกว่ากัน แต่เปล่าเลย สงสัยงบคงหมดไปกับการตกแต่งสถานี เลยยังไม่มีโอกาสจัดรถไฟใหม่ๆมาใช้
เรายืนรอรถไฟบนชานชลาที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานีของเรา ไม่นานรถไฟก็มาถึง คนเยอะทีเดียว แล้วก็มีคนลงสองคน แต่คนขึ้นประมาณสามสิบ! เชี่ย! แน่นมาก!! ไอนั่นก็เบียดมาอยู่นั่นแหละ กะให้ได้เสียกันเลยหรือไงเนี่ยะ? แต่สุดท้ายเราก็พยายามเบียดเสียดเอาตัวเองเข้าไปในขบวนรถไฟได้ทันเวลาก่อนประตูปิด ปึ๊ง!
รถไฟก็วิ่งไปได้ด้วยความรวดเร็วกว่าที่คิดไว้ ผิดกับสภาพภายนอกของมันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะดูเก่าแต่ก็ยังเก๋าอยู่น่ะ
ผมกำลังจะดูว่าอีกกี่สถานีจะถึงสถานีที่เราต้องลง แต่พอเงยหน้าดูแผนผังสายรถไฟ ที่มักจะมีบอกอยู่เหนือประตู ก็พบว่าชื่อสถานีทั้งหมดเป็นภาษารัสเซีย!! หาได้มีภาษาอังกฤษปรากฏอยู่เลยไม่ เชี่ย! เวรละง่ะ! แล้วกูต้องลงที่ไหนเนี่ยะ!!
เดชะบุญ พอเปิดดูข้อมูลโฮสเทลที่เซฟมา เขาก็ได้วงเล็บชื่อสถานี เป็นภาษารัสเซียเอาไว้ด้วย ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเราแล้วคับที่จะต้องเอาทักษะการเล่มเกมจับคู่สมัยเด็กๆ มานั่งเทียบตัวอักษรกัน แล้วเราก็เจอ!! นั่นไง อีกสามสถานี! เฮ้อ...ค่อยโล่งอกไปหน่อย ลองนึกภาพดู ถ้านั่งเทียบไปเทียบมา แล้วสถานีที่เราจะลงไม่ได้อยู่ในสายนี้นะ โห๊ งานช้างเลยน่ะเมิง หลงตายกันอยู่ในนี้แหละ ไม่เป็นอันต้องทำอะไรกันละ
ถึงสถานีที่ต้องลงแล้วคับ แต่ยังไม่ถึงที่พักน่ะ ต้องเปลี่ยนไปนั่งอีกสาย พอลงจากรถไฟมา ที่สถานีก็จะมีป้ายบอก แถมยังมีสัญลักษณ์ทาไว้ที่พื้นไว้ใหญ่โต ว่าต้องไปทางนี้น่ะ เราก็เดินตามป้ายไปเรื่อยเลยๆ ขึ้นๆลงๆบันไดไปซักพักก็มาโผล่อยู่อีกชานชลานึง รอรถไฟไม่นานรถไฟก็มาถึง แล้วเราก็ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เออ สายนี้ดีขึ้นมาหน่อย มีชื่อสถานีกำกับเป็นภาษาอังกฤษไว้ให้ด้วย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเทียบอักขระกันให้เมื่อยแล้ว
ไม่นานเราก็มาถึงจุดหมายปลางทางกันซักที รีบจ้ำกันไปยังทางออกตามข้อมูลที่โฮสเทลได้ให้ไว้ ตามข้อมูลบอกว่า ออกมาจากสถานีรถไฟขึ้นมาให้เดินตรงมาเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวขวา อ่ะ จำไว้ๆ ออกไปเดินตรง แยกแรกเลี้ยวขวา เราก็เดินออกมากำลังจะใกล้ถึงบันไดขึ้นไปทางออกด้านบนแล้ว เดี๋ยวก่อน!! ทางออกที่เมิงบอกเนี่ยะ ก่อนที่จะขึ้นไปด้านบน แม่มมันมีแยกซ้ายขวา แล้วกูต้องเลี้ยวทางไหนเมิงก็ไม่บอก เมิงข้ามช็อตไปบอกตอนกูอยู่บนดินแล้วง่ะ เอาไงดีว่ะ ขวาร้ายซ้ายดีละกัน! เลี้ยวซ้ายเดินขึ้นบันไดไปเลยจ้า ออกมาอยู่ริมถนน อ่ะเดินตรงไป เจอแยกเลี้ยวขวา เออเข้าท่าเว้ย อ่ะเดินตรงไปอีก ตรงไปอีก "ประมาณสองร้อยเมตรจะมีทางเข้าโฮสเทลอยู่ซ้ายมือ" ไม่เห็นจะมีวี่แวว สงสัยยังไม่ถึง ขาขากะขาเรามันยาวไม่เท่ากัน มาตรวัดเขาอาจจะคลาดเคลื่อน อ่ะเดินไปอีก เดินไปอีก นี่กูว่าจะถึงกิโลแล้วน่ะเว้ย!! เมิงอยู่ที่ไหนเนี่ยะ!!!!
ไม่มีวี่แววว่าจะมีลักษณะซอกซอยอย่างที่เขาบอกในแผนที่เลยว่ะ เอาไงดีว่ะ แฟลชแบคกลับไปตอน "ขวาร้ายซ้ายดี" กูว่าแม่มต้องทางขวาแน่เลยว่ะ กลับไปเริ่มต้นกันใหม่คับ คิดว่าเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้นละกันน่ะคับ
กลับมาอยู่ตรงทางแยกที่สถานีรถไฟใต้ดินอีกครั้ง เอาว่ะ อีกซักรอบ คราวนี้ต้องถูกชัวร์ อ่ะเดินตรงไป เจอแยกเลี้ยวขวา สองร้อยเมตร ซ้ายมือ อืมมม มีซอยน่ะ อยู่ไหนน๊าาาาา อ่าวเชี่ย ทะลุออกมาถนนใหญ่อีกแล้วเนี่ยะ อ่ะเดินกลับไปใหม่ ไหนลองตรงไปอีกหน่อยซิ เผื่อว่าเมื่อกี้ยังไม่ถึงสองร้อยเมตร อืมมม กูว่าไม่ใช่ละ มันต้องอยู่ในซอยเมื่อกี้แหละ
แล้วเราก็เดินไปวนมาอยู่ตรงนั้นแหละ จนน่าจะสร้างความข้องใจให้พี่ชายท่านนึง ที่กำลังยืนสูบบุหรี่ตรงหัวมุมที่เราเดินผ่านมาแล้วสามสี่รอบ เขาก็กวักมือเรียก เราเดินเข้าไปหา แล้วเขาก็พูกแค่ว่า"โฮสเทล?" เราสองคนก็รีบ "เยสๆๆๆๆ" แล้วภาพก็ตัดมาเป็นแบบสโลว์ชั่น พี่แกค่อยๆเอี้ยวตัวอย่างช้าๆ ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ที่ละสเต็ป ทีละสเต็ป ทันใดนั้น!! ป้ายโฮสเทลก็โผล่ออกมาจากหลังพี่เขา!!!
ไอสาสสสสสสสสสสสสสส!!! กูก็เดินวนไปดิ ก็ว่าทำไมกูถึงหาไม่เจอซักที ที่ตรงอื่นก็มีเยอะแยะมั้ยพี่ เมิงมายืนบังป้ายง่ายๆอย่างนี้เลยหรอ เมิงแกล้งกูใช่ม่ะ? อย่าให้เมิงไปเที่ยวบ้านกูบ้างน่ะ กูจะเอาคืนให้สาสม!
เรากดกริ่งที่หน้าประตูทางเข้าของอพาร์เมนต์ ตามข้อมูลที่บอก ก็จะได้ยินคนพูดผ่านอินเตอร์โฟน เราก็ตอบกลับไปว่า"มาเช็คอินจ้า กูเดินทางมาไกลมาก กูหลงทางด้วย กูเหนื่อย กูเมื่อยขา รีบๆให้กูเข้าไปเถอน่ะ" แล้วประตูก็เปิดในทันที เราเดินเข้าไปแล้วก็ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ แล้วระหว่างทาง ก็จะมีป้ายบอกทางของโฮสเทลในระยะทุกๆสิบเมตร คืออันนี้กูรู้แล้วว่าเมิงอยู่ชั้นสาม เมิงเขียนบอกไว้ในเน็ตแล้ว เมิงจะติดป้ายบอกทางอะไรเยอะแยะข้างในเนี่ยะ โหยยยย คือระหว่างทางจากสถานีรถไฟนี่แม่ม ไม่มีซักป้าย พอกูเดินเข้าประตูมาแล้ว เมิงดันมาบอกทางอยู่ข้างในนี้ เมิงกลัวว่ากูจะหลงอยู่ในนี้อ่ะหรอ? เมิงคิดว่าบ้านกูไม่รู้จักวิธีใช้บันใดรึงัย? เมิงควรเอาป้ายพวกนี้ไปติดข้างนอกบ้างน่ะกูว่า ถ้าไม่ว่างทำเองก็มาบอกกูก็ได้ เด๋วกูจะทำให้ฟรีๆเลยเอา
เฮ้อออออ เหนื่อยชะมัด ทั้งเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ มอสโคว์เล่นกูซ่ะแล้ว ตอนนี้เหมือนพลังชีวิตริบหรี่มาก อยากพัก อยากนอน อยากชาร์จพลังแล้ว เรารีบทำการเช็คอินให้เสร็จโดยเร็ว จ่ายเงินเรียบร้อย แล้วพนักงานรีเซฟชั่นก็พูดว่า “ห้องที่เธอจองไว้ ไม่ได้อยู่ที่นี่น่ะจ๊ะ อยู่อีกตึกนึง” ยัง ยัง ยังไม่จบ ไม่สิ้น ยากเย็นเหลือเกินน่ะแม่คุณ จ่ะๆ แล้วต้องไปทางไหนยังไง รีบๆว่ามาเลย เธอบอกว่า ห้องเราอยู่ในตึกข้างๆนี่แหละ เดินออกไปเลี้ยวขวา ประตูถัดไปนั่นแหละ แล้วเธอก็ให้รหัสที่ใช้เปิดประตูมาให้เรา แล้วก็อธิบายกฏเกณฑ์ ต่างๆเกี่ยวกับโฮสเทลให้ฟัง เราก็เออออกันไปแล้วก็บอกลากัน
เราก็เดินแบกเป้ออกมาอีกรอบ กดรหัสเปิดประตู เดินขึ้นบันได เปิดประตู เยส! ในที่สุดถึงซักที! ตรงนั้นมีพนักงานโฮสเทลอีกคน ยืนรอต้อนรับอยู่ แล้วพาเราแนะนำสถานที่ ซึ่งจริงๆไม่ต้องทำก็ได้นะ เพราะทั้งหมดทั้งมวลแล้วมีอยู่แค่สี่ห้องคือ ห้องนอน ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องครัว ถัดไปก็ห้องอาบน้ำ ถัดไปอีกก็เป็นห้องส้วม แค่นั้นเลย คือกูก็คงไม่นึกครึ้มเอาตัวเองไปนอนในห้องครัว หรือไปกินข้าวในห้องอาบน้ำหรอกน่ะ รู้จ่ะรู้ว่าต้องทำอะไรที่ไหน แต่เราก็ต้องขอบคุณในความพยายามทำหน้าที่ของเขาน่ะ
เราจองเป็นห้องนอนรวมชายหญิง แบบแปดเตียง คือมีเตียงสองชั้นสี่เตียงอยู่ในห้อง เราก็ไปจับจองเตียงว่างแล้วก็จัดการเก็บห้อง แล้วผมก็ทิ้งตัวลง ของชาร์จพลัง ปิดสวิตซ์ตัวเองก่อน เพราะกว่าจะเอาตัวเองมาถึงจุดนี้นี่มันไม่ง่ายเลย ไหนจะเพิ่งลงจากรถไฟที่เดินทางมาห้าวัน ไหนจะเดินหลงทิศ เพราะเลือกทางออกผิด ไหนจะเดินวกไปวนมา เพราะมีคนมายืนบังป้าย เฮ้อออ อารมณ์เหมือนโดนรับน้องจากมอสโคว์เลยว่ะ
[CR] กาลครั้งหนึ่ง...ฉันนั่งรถไฟจากหัวลำโพงไปดูแสงเหนือ!!! Ep.4 สวัสดียุโรป!!!
และแล้วการเดินทางบนรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียก็สิ้นสุดลง เราสองคนสะพายเป้ขนาดมหึมาลงจากรถไฟอย่างทุลักทุเล คุณป้าพนักงานรถไฟ ยืนโบกมือไหวๆ ร่ำลาเราสองคนอยู่บนชานชลา
ก่อนหน้านี้ ก่อนที่รถไฟจะเข้าสู่สถานีมอสโคว์ คุณป้าได้เดินมาหาเราสองคนที่ห้อง พร้อมกับคืนตั๋วรถไฟคืนให้เรา อันเป็นสัญญาณว่าเราจะต้องลงในไม่ช้านี้ แล้วคุณป้าก็ยื่นสมุดเล่มโตมาเล่มนึงให้เราดู ไอเราสองคนก็งง ว่าป้าต้องการอะไร? แล้วแกก็ทำมือเป็นท่าจับปากกาเขียนๆอยู่บนสมุด แล้วพูดว่า "แต๊งกิ้วๆ" เราก็
อ่าใช่ๆ เนี่ยะๆ แบบเนี่ยะๆ (แล้วป้าก็เปิดสมุด พลิกให้ดูทีละหน้า ว่ามีคนอื่นมาเขียนประมาณนี้ๆ น่ะ) (บรรยากาศเหมือนโดนพนักงานขายตรง พรีเซนต์สรรพคุณเครื่องกรองน้ำอยู่เลย)
โห นี่ก็มีคนเขียนปาไปเกินครึ่งเล่มแล้วน่ะ ฮ๊อตไม่เบาเลยน๊าา ตัวเธอ
บ้าาาาาา เธอก็พูดไป (เขินทำไมป้า? แซวเล่น!) ไม่ขนาดนั้นหรอก ที่เห็นนี่ใช้เวลาห้าปีเลยน่ะ (แบมือย้ำเลขห้า)
โห ห้าปีเลยหรอ? ป้าให้ทุกคนในนี้เขียนเลยหรอ?
อืมมม ก็ให้ทุกคนอ่ะน่ะ แต่บางคนก็เขียน บางคนก็ไม่เขียน
มาๆเดี๋ยวเราสองคนจะขียนให้น่ะ
ประโยคสนทนาเมื่อครู่ เป็นการสนทนาระหว่างภาษาอังกฤษ กับอังกฤษคำ ปนมองโกลห้าสิบคำ ตามสไตล์ป้า (แต่หลังๆป้าก็รัวมองโกลมาเพียวๆเลย) เลยใช้การแปลจากลักษะท่าทางเป็นหลัก โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม
กลับมา! เรามายืนอยู่ที่สถานีรถไฟ Moscow Yaroslavski Station แล้ว ได้ลงมาเหยียบพื้นปฏพีอีกครั้ง หลังจากที่นอนแน่นิ่งยังกับคนเป็นอัมพาตอยู่บนรถไฟมาหลายวัน แต่เดี๋ยวน่ะ ทำไมกูยังรู้สึกเหมือนยังอยู่บนรถไฟอยู่เลย มันวิงเวียง หมุนๆ เหมือนตัวเราโคลงเคลงตามจังหวะรถไฟอยู่ เชี่ย!! ทำไมไม่มีใครบอกเลยว่ะ ว่าจะมีไซด์เอ็ฟเฟ็กที่รุนแรงขนาดนี้
"เมิงเป็นเหมือนกูป่ะ?" ผมหันไปหาเพื่อน มันตอบกลับว่า "ก็ไม่น่ะ" อ่าวเวร!! นี่กูเป็นอยู่คนเดียวอ่อว่ะ? หรือว่า.......กูจะเมารถไฟ!
คนบ้าอะไรจะเมารถไฟว่ะ! ไม่มีหรอกม๊างงงง ไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะเมารถไฟ ไม่ๆๆๆๆ กูอาจจะคิดไปเอง ตั้งสติก่อน รีบหาทางไปโฮสเทลก่อน ได้นอนบนเตียงนุ่มๆ นิ่งๆ อาจจะดีขึ้น
หลังจากทะเลาะกับตัวเองเสร็จแล้ว ผมก็เดินนำลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนล้านแปดเบียดเสียดกันอยู่ที่หน้าช่องขายตั๋ว ยังไงดีว่ะ? ป้ายภาษาอังกฤษก็ไม่มีปรากฎให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี เอาวะ ต่อแถวตามๆเขาไปก่อน
พอถึงช่องขายตั๋ว ผมก็ชี้สถานีที่เราจะไปให้ป้าพนักงานขายตั๋วดู แล้วชูสองนิ้ว สื่อความหมายว่า สองคนน่ะจ๊ะ แล้วป้าก็จิ้มเครื่องคิดเลขแสดงราคาที่เราต้องจ่าย เราจ่ายเงินแล้วป้าก็ให้ตั๋วมา ใบเดียว!
"เดี๋ยวๆป้าๆ สองคนคับ" พยายามจะมุดช่องขายตั๋วไปไปเคลียร์กับป้า ป้าก็ตอบกลับมาว่า "ก็นั่นแหละ ใช้ได้สองคน เฮ้อ...ไอฟายยยเอ้ย" ประโยคหลังนี่เติมเอง อธิบายจากท่าทางการมองบนของป้า อ่าววว ก็กูไม่รู้นี่หน่า กูเป็นนักท่องเที่ยวน่ะ ไม่ได้เกิดที่นี่ พูดกับกูดีๆหน่อยก็ได้ แค่นี้ก็ต้องถึงกับมองบน
แหม่ คนรัสเซียนี่เค้ารักษาคอนเซปกันดีจริงๆเลยเนอะ
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ป้าบอกคับ ว่ามันใช้ได้สองคนจริงๆ คือรถไฟใต้ดินที่นี่เนี่ย เราตี๊ดบัตรแค่ตอนขาเข้า พอเราผ่านเครื่องกั้นได้แล้ว เราก็ยื่นบัตรต่อให้เพื่อนได้เลย ตอนขาออกก็เดินตัวปลิวไปได้เลย ไม่ต้องคืนบัตร เช้ดดดดด! ร็อคมาก! เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน รู้สึกเหมือนกำลังทำผิดอยู่ ลึกๆ คือบ้านเรานี่จะมาวนบัตรกันอย่างนี้มันไม่ได้ง่ะ แต่มันกลับเป็นเรื่องปกติของที่นี่ อืมมม แปลกดี
เแล้วเราก็มายืนอยู่บนบันไดเลื่อน ค่อยๆเลื่อนไป เลื่อนไป เลื่อนไป ยังคงเลื่อนอยู่ ยังเลื่อนได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย เลื่อนต่อไปอีก ลงไปอีก ลงไปอีก คือบันไดเลื่อนเมิงยาวมากกกกกกกกกกกก ยาวที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา คือร้องเพลงชาติจบไปหนึ่งจบก็ยังไม่ถึงอ่ะ นี่รถไฟเมิงวิ่งอยู่ที่แกนโลกหรือยังไง?!?!
จนในที่สุดเราก็ลงมาถึงชานชลา ภาพที่เห็นนี่คือ โอ้โหยยยยยเมิง! อลังการค่อดๆ คุ้มค่ากับการลงบันไดเลื่อนอันแสนยาวนาน ขอยืนตะลึงแปปนะ คือผนังนี่ตกแต่งด้วยกระเบื้องอย่างเป็นศิลปะ มองไปบนเพดาน เป็นทรงโค้งรับกับเสาค้ำยันขนาดใหญ่ มีภาพวาดจิตรกรรมอยู่นั้นด้วย ยังไม่พอ! แม่มยกโคมไฟระย้า แชนเดอร์เลีย มาด้วย นี่กูอยู่สถานีรถไฟใต้ดินหรืออาร์ตมิวเซี่ยมเนี่ยะ มันดีงามสมคำร่ำลือจริงๆ
ถึงกระนั้นเราก็ไม่ได้ถ่ายรูปสถานีรถไฟมาเลยคับ เพราะนี่เคยดูรายการหนังพาไป ตอนที่พิธีกรมาสถานีรถไฟใต้ดินที่มอสโคว์ แล้วถ่ายรูป แล้วโดนตำรวจเรียก! เราก็เลยกลัวโดนแบบนั้นด้วย เลยไม่ได้แชะภาพกันเลย ได้แต่เก็บเอาไว้อยู่ในความทรงจำ (ใครที่ไม่เคยเห็น ลองกูเกิ้ล พิมพ์ไปว่าสถานีรถไฟใต้ดิน มอสโคว์ดูก็ได้น่ะคับ มีเพียบ!)
แม้ว่าสถานีจะดูหรูหราไฮโซขนาดไหนก็ตาม แต่สภาพรถไฟนี่ไม่ได้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมเลยซักนิด เก่ามาเลย ผิดกับที่คิดไว้ตอนแรกเลย ไอเราก็คิดว่า เห็นสถานีดูดีขนาดนี้ รถไฟก็ไม่น่าจะน้อยหน้าไปกว่ากัน แต่เปล่าเลย สงสัยงบคงหมดไปกับการตกแต่งสถานี เลยยังไม่มีโอกาสจัดรถไฟใหม่ๆมาใช้
เรายืนรอรถไฟบนชานชลาที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานีของเรา ไม่นานรถไฟก็มาถึง คนเยอะทีเดียว แล้วก็มีคนลงสองคน แต่คนขึ้นประมาณสามสิบ! เชี่ย! แน่นมาก!! ไอนั่นก็เบียดมาอยู่นั่นแหละ กะให้ได้เสียกันเลยหรือไงเนี่ยะ? แต่สุดท้ายเราก็พยายามเบียดเสียดเอาตัวเองเข้าไปในขบวนรถไฟได้ทันเวลาก่อนประตูปิด ปึ๊ง!
รถไฟก็วิ่งไปได้ด้วยความรวดเร็วกว่าที่คิดไว้ ผิดกับสภาพภายนอกของมันอย่างสิ้นเชิง ถึงจะดูเก่าแต่ก็ยังเก๋าอยู่น่ะ
ผมกำลังจะดูว่าอีกกี่สถานีจะถึงสถานีที่เราต้องลง แต่พอเงยหน้าดูแผนผังสายรถไฟ ที่มักจะมีบอกอยู่เหนือประตู ก็พบว่าชื่อสถานีทั้งหมดเป็นภาษารัสเซีย!! หาได้มีภาษาอังกฤษปรากฏอยู่เลยไม่ เชี่ย! เวรละง่ะ! แล้วกูต้องลงที่ไหนเนี่ยะ!!
เดชะบุญ พอเปิดดูข้อมูลโฮสเทลที่เซฟมา เขาก็ได้วงเล็บชื่อสถานี เป็นภาษารัสเซียเอาไว้ด้วย ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเราแล้วคับที่จะต้องเอาทักษะการเล่มเกมจับคู่สมัยเด็กๆ มานั่งเทียบตัวอักษรกัน แล้วเราก็เจอ!! นั่นไง อีกสามสถานี! เฮ้อ...ค่อยโล่งอกไปหน่อย ลองนึกภาพดู ถ้านั่งเทียบไปเทียบมา แล้วสถานีที่เราจะลงไม่ได้อยู่ในสายนี้นะ โห๊ งานช้างเลยน่ะเมิง หลงตายกันอยู่ในนี้แหละ ไม่เป็นอันต้องทำอะไรกันละ
ถึงสถานีที่ต้องลงแล้วคับ แต่ยังไม่ถึงที่พักน่ะ ต้องเปลี่ยนไปนั่งอีกสาย พอลงจากรถไฟมา ที่สถานีก็จะมีป้ายบอก แถมยังมีสัญลักษณ์ทาไว้ที่พื้นไว้ใหญ่โต ว่าต้องไปทางนี้น่ะ เราก็เดินตามป้ายไปเรื่อยเลยๆ ขึ้นๆลงๆบันไดไปซักพักก็มาโผล่อยู่อีกชานชลานึง รอรถไฟไม่นานรถไฟก็มาถึง แล้วเราก็ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เออ สายนี้ดีขึ้นมาหน่อย มีชื่อสถานีกำกับเป็นภาษาอังกฤษไว้ให้ด้วย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเทียบอักขระกันให้เมื่อยแล้ว
ไม่นานเราก็มาถึงจุดหมายปลางทางกันซักที รีบจ้ำกันไปยังทางออกตามข้อมูลที่โฮสเทลได้ให้ไว้ ตามข้อมูลบอกว่า ออกมาจากสถานีรถไฟขึ้นมาให้เดินตรงมาเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวขวา อ่ะ จำไว้ๆ ออกไปเดินตรง แยกแรกเลี้ยวขวา เราก็เดินออกมากำลังจะใกล้ถึงบันไดขึ้นไปทางออกด้านบนแล้ว เดี๋ยวก่อน!! ทางออกที่เมิงบอกเนี่ยะ ก่อนที่จะขึ้นไปด้านบน แม่มมันมีแยกซ้ายขวา แล้วกูต้องเลี้ยวทางไหนเมิงก็ไม่บอก เมิงข้ามช็อตไปบอกตอนกูอยู่บนดินแล้วง่ะ เอาไงดีว่ะ ขวาร้ายซ้ายดีละกัน! เลี้ยวซ้ายเดินขึ้นบันไดไปเลยจ้า ออกมาอยู่ริมถนน อ่ะเดินตรงไป เจอแยกเลี้ยวขวา เออเข้าท่าเว้ย อ่ะเดินตรงไปอีก ตรงไปอีก "ประมาณสองร้อยเมตรจะมีทางเข้าโฮสเทลอยู่ซ้ายมือ" ไม่เห็นจะมีวี่แวว สงสัยยังไม่ถึง ขาขากะขาเรามันยาวไม่เท่ากัน มาตรวัดเขาอาจจะคลาดเคลื่อน อ่ะเดินไปอีก เดินไปอีก นี่กูว่าจะถึงกิโลแล้วน่ะเว้ย!! เมิงอยู่ที่ไหนเนี่ยะ!!!!
ไม่มีวี่แววว่าจะมีลักษณะซอกซอยอย่างที่เขาบอกในแผนที่เลยว่ะ เอาไงดีว่ะ แฟลชแบคกลับไปตอน "ขวาร้ายซ้ายดี" กูว่าแม่มต้องทางขวาแน่เลยว่ะ กลับไปเริ่มต้นกันใหม่คับ คิดว่าเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้นละกันน่ะคับ
กลับมาอยู่ตรงทางแยกที่สถานีรถไฟใต้ดินอีกครั้ง เอาว่ะ อีกซักรอบ คราวนี้ต้องถูกชัวร์ อ่ะเดินตรงไป เจอแยกเลี้ยวขวา สองร้อยเมตร ซ้ายมือ อืมมม มีซอยน่ะ อยู่ไหนน๊าาาาา อ่าวเชี่ย ทะลุออกมาถนนใหญ่อีกแล้วเนี่ยะ อ่ะเดินกลับไปใหม่ ไหนลองตรงไปอีกหน่อยซิ เผื่อว่าเมื่อกี้ยังไม่ถึงสองร้อยเมตร อืมมม กูว่าไม่ใช่ละ มันต้องอยู่ในซอยเมื่อกี้แหละ
แล้วเราก็เดินไปวนมาอยู่ตรงนั้นแหละ จนน่าจะสร้างความข้องใจให้พี่ชายท่านนึง ที่กำลังยืนสูบบุหรี่ตรงหัวมุมที่เราเดินผ่านมาแล้วสามสี่รอบ เขาก็กวักมือเรียก เราเดินเข้าไปหา แล้วเขาก็พูกแค่ว่า"โฮสเทล?" เราสองคนก็รีบ "เยสๆๆๆๆ" แล้วภาพก็ตัดมาเป็นแบบสโลว์ชั่น พี่แกค่อยๆเอี้ยวตัวอย่างช้าๆ ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ที่ละสเต็ป ทีละสเต็ป ทันใดนั้น!! ป้ายโฮสเทลก็โผล่ออกมาจากหลังพี่เขา!!!
ไอสาสสสสสสสสสสสสสส!!! กูก็เดินวนไปดิ ก็ว่าทำไมกูถึงหาไม่เจอซักที ที่ตรงอื่นก็มีเยอะแยะมั้ยพี่ เมิงมายืนบังป้ายง่ายๆอย่างนี้เลยหรอ เมิงแกล้งกูใช่ม่ะ? อย่าให้เมิงไปเที่ยวบ้านกูบ้างน่ะ กูจะเอาคืนให้สาสม!
เรากดกริ่งที่หน้าประตูทางเข้าของอพาร์เมนต์ ตามข้อมูลที่บอก ก็จะได้ยินคนพูดผ่านอินเตอร์โฟน เราก็ตอบกลับไปว่า"มาเช็คอินจ้า กูเดินทางมาไกลมาก กูหลงทางด้วย กูเหนื่อย กูเมื่อยขา รีบๆให้กูเข้าไปเถอน่ะ" แล้วประตูก็เปิดในทันที เราเดินเข้าไปแล้วก็ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ แล้วระหว่างทาง ก็จะมีป้ายบอกทางของโฮสเทลในระยะทุกๆสิบเมตร คืออันนี้กูรู้แล้วว่าเมิงอยู่ชั้นสาม เมิงเขียนบอกไว้ในเน็ตแล้ว เมิงจะติดป้ายบอกทางอะไรเยอะแยะข้างในเนี่ยะ โหยยยย คือระหว่างทางจากสถานีรถไฟนี่แม่ม ไม่มีซักป้าย พอกูเดินเข้าประตูมาแล้ว เมิงดันมาบอกทางอยู่ข้างในนี้ เมิงกลัวว่ากูจะหลงอยู่ในนี้อ่ะหรอ? เมิงคิดว่าบ้านกูไม่รู้จักวิธีใช้บันใดรึงัย? เมิงควรเอาป้ายพวกนี้ไปติดข้างนอกบ้างน่ะกูว่า ถ้าไม่ว่างทำเองก็มาบอกกูก็ได้ เด๋วกูจะทำให้ฟรีๆเลยเอา
เฮ้อออออ เหนื่อยชะมัด ทั้งเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ มอสโคว์เล่นกูซ่ะแล้ว ตอนนี้เหมือนพลังชีวิตริบหรี่มาก อยากพัก อยากนอน อยากชาร์จพลังแล้ว เรารีบทำการเช็คอินให้เสร็จโดยเร็ว จ่ายเงินเรียบร้อย แล้วพนักงานรีเซฟชั่นก็พูดว่า “ห้องที่เธอจองไว้ ไม่ได้อยู่ที่นี่น่ะจ๊ะ อยู่อีกตึกนึง” ยัง ยัง ยังไม่จบ ไม่สิ้น ยากเย็นเหลือเกินน่ะแม่คุณ จ่ะๆ แล้วต้องไปทางไหนยังไง รีบๆว่ามาเลย เธอบอกว่า ห้องเราอยู่ในตึกข้างๆนี่แหละ เดินออกไปเลี้ยวขวา ประตูถัดไปนั่นแหละ แล้วเธอก็ให้รหัสที่ใช้เปิดประตูมาให้เรา แล้วก็อธิบายกฏเกณฑ์ ต่างๆเกี่ยวกับโฮสเทลให้ฟัง เราก็เออออกันไปแล้วก็บอกลากัน
เราก็เดินแบกเป้ออกมาอีกรอบ กดรหัสเปิดประตู เดินขึ้นบันได เปิดประตู เยส! ในที่สุดถึงซักที! ตรงนั้นมีพนักงานโฮสเทลอีกคน ยืนรอต้อนรับอยู่ แล้วพาเราแนะนำสถานที่ ซึ่งจริงๆไม่ต้องทำก็ได้นะ เพราะทั้งหมดทั้งมวลแล้วมีอยู่แค่สี่ห้องคือ ห้องนอน ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องครัว ถัดไปก็ห้องอาบน้ำ ถัดไปอีกก็เป็นห้องส้วม แค่นั้นเลย คือกูก็คงไม่นึกครึ้มเอาตัวเองไปนอนในห้องครัว หรือไปกินข้าวในห้องอาบน้ำหรอกน่ะ รู้จ่ะรู้ว่าต้องทำอะไรที่ไหน แต่เราก็ต้องขอบคุณในความพยายามทำหน้าที่ของเขาน่ะ
เราจองเป็นห้องนอนรวมชายหญิง แบบแปดเตียง คือมีเตียงสองชั้นสี่เตียงอยู่ในห้อง เราก็ไปจับจองเตียงว่างแล้วก็จัดการเก็บห้อง แล้วผมก็ทิ้งตัวลง ของชาร์จพลัง ปิดสวิตซ์ตัวเองก่อน เพราะกว่าจะเอาตัวเองมาถึงจุดนี้นี่มันไม่ง่ายเลย ไหนจะเพิ่งลงจากรถไฟที่เดินทางมาห้าวัน ไหนจะเดินหลงทิศ เพราะเลือกทางออกผิด ไหนจะเดินวกไปวนมา เพราะมีคนมายืนบังป้าย เฮ้อออ อารมณ์เหมือนโดนรับน้องจากมอสโคว์เลยว่ะ