สวัสดีค่ะ วันนี้ จขกท จะมารีวิวประเทศที่ไม่ค่อยมีคนไทยไปกัน นั้นคือ วาอูนาตู ชื่อแปลกอย่างนี้หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กับฟิจิแล้ว ทุกคนคงเข้าใจมากขึ้นว่าอยู่แถวไหน ซึ่ง จขกท ได้มีโอกาสไปเที่ยวมา 10 วัน ประเทศนี้คนไทยสามารถเข้าได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่าและสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน โดยที่ต้องมีตั๋วเครื่องบินมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองดูตอนที่เข้าประเทศค่ะ จขกท บินจากซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งใช้เวลาบินประมาณ 3 ชม.ครึ่งค่ะ
ประเทศวานูอาตูเป็นประเทศเล็กๆในหมู่เกาะแปซิฟิก มีภาษาราชการ 3 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ , ภาษาฝรั่งเศส และภาษา Bislama ซึ่งออกเสียงคล้ายๆภาษาอังกฤษเป็นบางคำค่ะ ผู้คนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้หมด แต่ก็มีบางส่วนที่พูดฝรั่งเศสคล่องค่ะ ตอนไป one day tour ไกด์เล่าว่า แต่ละครอบครัวจะเลือกว่าจะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักหรือฝรั่งเศสเป็นหลัก แต่ในแต่ละโรงเรียนจะมีภาษาที่สองเป็นภาษาเสริมด้วยค่ะ ดังนั้นเด็กๆจะมีพื้นฐานทั้งสองภาษาเลย
สำหรับสกุลเงินที่ใช้หลักๆคือ vatu ค่ะ ซึ่ง 1 Australian Dollar จะเท่ากับ 80 วาตู ในช่วงที่ จขกท ไป ค่าครองชีพที่นั่นแพงพอๆกับที่ออสเตรเลียเลยค่ะ ส่วนเรื่องปลั๊กไฟนั้นประเทศนี้ใช้หัวเดียวกับประเทศออสเตรเลียค่ะ
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวนั้น มี 3 เกาะหลักๆ คือ 1. Efate ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงคือ Port Vila 2.Tanna ซึ่งมีภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงคือ Mount Yasur 3. Espirit Santo ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำที่สวยมากๆ แต่ทริปนี้จขกท.มีโอกาสได้ไปแค่ 2 เกาะ คือ Efate และ Tanna เท่านั้น ด้วยเหตุผลเรื่องเวลาที่จำกัด อุณหภูมิที่ประเทศนี้เป็นแบบร้อนชื้นบ้านเรา และก็มีฝนเล็กน้อยตามสไตล์หมู่เกาะ แต่แค่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆค่ะ แต่เวลาไปควรระวังเรื่องพายุไซโคลนให้ดี เพราะเป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดที่ประเทศนี้ค่ะ ชาวบ้านเล่าว่าประเทศของเค้าไม่มีสัตว์มีพิษในป่าเลย แต่สิ่งที่เค้ากลัวที่สุดคือพายุไซโคลนค่ะ
สนามบินที่พอร์ตวิลล่านั้นจะเล็กมากๆเหมือนสนามบินต่างจังหวัดเล็กๆบ้านเรา และไม่มีแอร์ค่ะ พอถึงสนามบินแล้วก็จะมีชาวพื้นเมืองมาขับร้องให้การต้อนรับพวกเราตามสไตล์ชาว Melanesian ค่ะ
จขกท พักในเมืองเลย ซึ่งครั้งแรกที่ถึงสนามบินก็ได้ใช้บริการแชร์แท๊กซี่ค่ะ ซึ่งเค้าคิดค่าบริการ 2 คน 1,500 วาตูสำหรับไปส่งที่พักในเมืองค่ะ แต่พอครั้งหลังได้ทราบจากสาวอเมริกันที่มาเป็นอาสาสมัครที่นี่ว่า จขกท สามารถนั่งบัสได้ในราคาคนละ 150 วาตูค่ะ แต่ จขกท ก็ได้ค้นพบว่า ห้ามถามราคาก่อนขึ้นนะคะ ไม่งั้นจะโดนโก่งราคาเป็น 500 ได้ รถบัสที่นี่จะมีบรรยากาศคล้ายกับรถแดงที่เชียงใหม่ค่ะ คือบอกชื่อสถานที่ แล้วคนขับจะไปส่งเราที่นั่นเอง ราคาค่าบริการภายในเมืองคนละ 150 วาตู ส่วนนอกเมืองนิดๆจะ 300 วาตูค่ะ รถบัสที่นี่ลักษณะจะเป็นรถตู้ค่ะ วิธีสังเกตุคือแผ่นป้ายทะเบียนจะขึ้นต้นด้วยตัว B เป็นหลัก และจะมีเยอะมากๆ สามารถเรียกได้ง่ายและสะดวกมากๆเลยค่ะ
ในเกาะ Efate เป็นเกาะแรกที่บินไปถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆคือ น้ำตก Mele Cascades สามารถไปเองได้โดยนั่งบัสไปในราคาคนละ 300 วาตู แต่ต้องเสียค่าเข้าด้วย ซึ่งสามารถจ่ายเป็นวาตูหรือดอลล่าห์ออสเตรเลียก็ได้ค่ะ แต่แนะนำให้จ่ายเป็นวาตูจะได้เรทที่ดีกว่าค่ะ
ระยะทางระหว่างที่ไปน้ำตกจะผ่าน hideaway island ค่ะ ซึ่งสามารถไปได้ในวันเดียวกับตอนไปน้ำตกค่ะ เกาะนี้จะเป็นเกาะส่วนตัวที่มีรีสอร์ทตั้งอยู่ แต่คนทั่วไปก็สามารถเข้าไปได้ โดยนั่งเรือฟรี แต่เมื่อเหยียบเกาะแล้วก็จะมีค่าเข้าเกาะค่ะ
รูปนี้เป็นท่าเรือที่รอข้ามเกาะค่ะ จะเห็นว่าห่างกันนิดเดียวเอง
ถึงแล้วค่ะ อันนี้ จขกท ไม่ได้ถ่ายรูปป้ายเฉยๆมา เพราะตอนแรกไม่ได้คิดจะทำรีวิว
เกาะนี้เราสามารถอยู่ได้ทั้งวันจนเบื่อเลย ที่เกาะจะมีอุปกรณ์ดำน้ำ และสน๊อกเกิ้ลให้เช่า หรือจะนำไปเองก็ได้นะคะ ซึ่งจขกท. แนะนำว่า ควรจะนำไปเองดีกว่า เพราะจะได้เหมาะกับเราที่สุดค่ะ ส่วนถ้าหิวหรืออยากดื่มอะไร ที่เกาะก็มีขายให้พร้อมเลยค่ะ
จะเห็นได้ว่าหาดบางส่วนเต็มไปด้วยซากปะการัง
แต่ใต้ทะเลก็มีอะไรสวยๆให้ดูอยู่นะคะ
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการไปเที่ยวประเทศนี้คือ reef shoe ค่ะ เพราะปะการังริมหาดเยอะมากๆ เวลาเดินจะเจ็บเท้าได้ค่ะ
ความพิเศษของเกาะนี้คือมีไปรษณีย์ใต้น้ำแห่งเดียวของโลก(Underwater Post Office) ให้นักท่องเที่ยวได้ดำน้ำลงไปส่งโปสการ์ดแบบกันน้ำใต้ทะเลกันด้วย
[CR] Vanuatu....The world's happiest country.
ประเทศวานูอาตูเป็นประเทศเล็กๆในหมู่เกาะแปซิฟิก มีภาษาราชการ 3 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ , ภาษาฝรั่งเศส และภาษา Bislama ซึ่งออกเสียงคล้ายๆภาษาอังกฤษเป็นบางคำค่ะ ผู้คนส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้หมด แต่ก็มีบางส่วนที่พูดฝรั่งเศสคล่องค่ะ ตอนไป one day tour ไกด์เล่าว่า แต่ละครอบครัวจะเลือกว่าจะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักหรือฝรั่งเศสเป็นหลัก แต่ในแต่ละโรงเรียนจะมีภาษาที่สองเป็นภาษาเสริมด้วยค่ะ ดังนั้นเด็กๆจะมีพื้นฐานทั้งสองภาษาเลย
สำหรับสกุลเงินที่ใช้หลักๆคือ vatu ค่ะ ซึ่ง 1 Australian Dollar จะเท่ากับ 80 วาตู ในช่วงที่ จขกท ไป ค่าครองชีพที่นั่นแพงพอๆกับที่ออสเตรเลียเลยค่ะ ส่วนเรื่องปลั๊กไฟนั้นประเทศนี้ใช้หัวเดียวกับประเทศออสเตรเลียค่ะ
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวนั้น มี 3 เกาะหลักๆ คือ 1. Efate ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงคือ Port Vila 2.Tanna ซึ่งมีภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงคือ Mount Yasur 3. Espirit Santo ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำที่สวยมากๆ แต่ทริปนี้จขกท.มีโอกาสได้ไปแค่ 2 เกาะ คือ Efate และ Tanna เท่านั้น ด้วยเหตุผลเรื่องเวลาที่จำกัด อุณหภูมิที่ประเทศนี้เป็นแบบร้อนชื้นบ้านเรา และก็มีฝนเล็กน้อยตามสไตล์หมู่เกาะ แต่แค่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆค่ะ แต่เวลาไปควรระวังเรื่องพายุไซโคลนให้ดี เพราะเป็นสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดที่ประเทศนี้ค่ะ ชาวบ้านเล่าว่าประเทศของเค้าไม่มีสัตว์มีพิษในป่าเลย แต่สิ่งที่เค้ากลัวที่สุดคือพายุไซโคลนค่ะ
สนามบินที่พอร์ตวิลล่านั้นจะเล็กมากๆเหมือนสนามบินต่างจังหวัดเล็กๆบ้านเรา และไม่มีแอร์ค่ะ พอถึงสนามบินแล้วก็จะมีชาวพื้นเมืองมาขับร้องให้การต้อนรับพวกเราตามสไตล์ชาว Melanesian ค่ะ
จขกท พักในเมืองเลย ซึ่งครั้งแรกที่ถึงสนามบินก็ได้ใช้บริการแชร์แท๊กซี่ค่ะ ซึ่งเค้าคิดค่าบริการ 2 คน 1,500 วาตูสำหรับไปส่งที่พักในเมืองค่ะ แต่พอครั้งหลังได้ทราบจากสาวอเมริกันที่มาเป็นอาสาสมัครที่นี่ว่า จขกท สามารถนั่งบัสได้ในราคาคนละ 150 วาตูค่ะ แต่ จขกท ก็ได้ค้นพบว่า ห้ามถามราคาก่อนขึ้นนะคะ ไม่งั้นจะโดนโก่งราคาเป็น 500 ได้ รถบัสที่นี่จะมีบรรยากาศคล้ายกับรถแดงที่เชียงใหม่ค่ะ คือบอกชื่อสถานที่ แล้วคนขับจะไปส่งเราที่นั่นเอง ราคาค่าบริการภายในเมืองคนละ 150 วาตู ส่วนนอกเมืองนิดๆจะ 300 วาตูค่ะ รถบัสที่นี่ลักษณะจะเป็นรถตู้ค่ะ วิธีสังเกตุคือแผ่นป้ายทะเบียนจะขึ้นต้นด้วยตัว B เป็นหลัก และจะมีเยอะมากๆ สามารถเรียกได้ง่ายและสะดวกมากๆเลยค่ะ
ในเกาะ Efate เป็นเกาะแรกที่บินไปถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆคือ น้ำตก Mele Cascades สามารถไปเองได้โดยนั่งบัสไปในราคาคนละ 300 วาตู แต่ต้องเสียค่าเข้าด้วย ซึ่งสามารถจ่ายเป็นวาตูหรือดอลล่าห์ออสเตรเลียก็ได้ค่ะ แต่แนะนำให้จ่ายเป็นวาตูจะได้เรทที่ดีกว่าค่ะ
ระยะทางระหว่างที่ไปน้ำตกจะผ่าน hideaway island ค่ะ ซึ่งสามารถไปได้ในวันเดียวกับตอนไปน้ำตกค่ะ เกาะนี้จะเป็นเกาะส่วนตัวที่มีรีสอร์ทตั้งอยู่ แต่คนทั่วไปก็สามารถเข้าไปได้ โดยนั่งเรือฟรี แต่เมื่อเหยียบเกาะแล้วก็จะมีค่าเข้าเกาะค่ะ
รูปนี้เป็นท่าเรือที่รอข้ามเกาะค่ะ จะเห็นว่าห่างกันนิดเดียวเอง
ถึงแล้วค่ะ อันนี้ จขกท ไม่ได้ถ่ายรูปป้ายเฉยๆมา เพราะตอนแรกไม่ได้คิดจะทำรีวิว
เกาะนี้เราสามารถอยู่ได้ทั้งวันจนเบื่อเลย ที่เกาะจะมีอุปกรณ์ดำน้ำ และสน๊อกเกิ้ลให้เช่า หรือจะนำไปเองก็ได้นะคะ ซึ่งจขกท. แนะนำว่า ควรจะนำไปเองดีกว่า เพราะจะได้เหมาะกับเราที่สุดค่ะ ส่วนถ้าหิวหรืออยากดื่มอะไร ที่เกาะก็มีขายให้พร้อมเลยค่ะ
จะเห็นได้ว่าหาดบางส่วนเต็มไปด้วยซากปะการัง
แต่ใต้ทะเลก็มีอะไรสวยๆให้ดูอยู่นะคะ
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการไปเที่ยวประเทศนี้คือ reef shoe ค่ะ เพราะปะการังริมหาดเยอะมากๆ เวลาเดินจะเจ็บเท้าได้ค่ะ
ความพิเศษของเกาะนี้คือมีไปรษณีย์ใต้น้ำแห่งเดียวของโลก(Underwater Post Office) ให้นักท่องเที่ยวได้ดำน้ำลงไปส่งโปสการ์ดแบบกันน้ำใต้ทะเลกันด้วย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น