[CR] คิวชู...เพราะคิดถึงจึงกลับมาหา (Lost in Kyushu)


ก่อนอื่นต้องขอบอกว่ากระทู้นี้เป็นรีวิวที่บอกเล่าประสบการณ์การเดินทางที่คิวชู ประเทศญี่ปุ่น ใช้เวลาในการเดินทางแสนสั้นเพราะวันหยุดน้อย แค่ 4 วัน 4 จังหวัด และเดินทางด้วยการ Road Trip ไม่เน้นช๊อปปิ้ง ซึ่งใครเป็นขาช๊อปประหนึ่งช๊อปแก้บน คงจะไม่ค่อยได้เห็นในรีวิวนี้นะค่า  จริงๆการมาคิวชูครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่ได้มาเยือน ครั้งแรกเดินทางมาดูแลการถ่ายทำภาพยนตร์เรียลลิตี้ คิวชู...แล้วพรุ่งนี้เราคงจะรู้กัน และรู้สึกหลงใหลคลั่งไคล้เมืองนี้เข้าอย่างจัง เลยตั้งใจจะลองเดินทางเลียนแบบหนังด้วยการท่องเที่ยวแบบเรียลลิตี้...แล้วพรุ่งนี้เราคงจะรู้กัน โดยการขับรถดูบ้าง ว่าแต่ทำไมต้องเป็นคิวชู? อาจจะเป็นเพราะคิวชูไม่ใช่เมืองที่แออัดวุ่นวายอย่างเช่น โตเกียวและโอซาก้า สิ่งที่น่ารักของที่นี้และสัมผัสได้แม้อยู่ในย่านตัวเมือง ก็คือผู้คน คนที่นี่แต่งตัวมีสไตล์ (ฮิปสะเต้อร์น่าจะแทบทั้งเมือง) บ้านเรือนดีไซน์แนว Loft หลังเล็กๆเพลินตา น่าเอ็นดู แถมการเดินทางด้วยรถไฟไปง่ายไม่มียืนงมหลงเป็นวันอย่างโตเกียวแน่นอน

ซึ่งการเตรียมตัวก่อนการเดินทาง เราได้พึ่งอากู๋ (Google) หาข้อมูล กางแผนที่และศึกษาเส้นทางกันแล้ว และตัดสินใจว่า เราเบื่อเดินทางด้วยรถไฟ และเมื่อคำนวนค่าตั๋วรถไฟและการเช่ารถยนต์รวมค่าทางด่วนและน้ำมันแล้ว ใช้ตังค์ต่างกันไม่มากอย่างที่คิด แต่สะดวกกว่ามาก อีกอย่างเราอยากพบเจอประสบการณ์ชิคๆคันๆใหม่ๆ ว่าแล้วก็มาร์คจุดหมายปลายทางว่า เราจะไปทั้งหมด 4 จังหวัด(คิวชูมี 7 จังหวัด) นั้นก็คือ Fukuoka, Kumamoto,Nagasaki,Saga อ้อ! อีกอย่างที่สำคัญมากไม่แพ้ตังค์ในกระเป๋าก็คือ ใบขับขี่ในประเทศไทย และใบขับขี่สากลนะค่า ไม่งั้นเค้าไม่อนุญาตให้เราเช่ารถนะ (ใครจะไปก็ไปต่อคิวยาวๆทำที่ขนส่งณ บัดนาว)…..เอาล่ะ! ว่าแล้วก็จับเครื่องบินไปกันเล๊ย


Day 1 ตอน ฟุกุโอกะรำลึก
หลังจากที่เดอะแกงค์ของพวกเราตัดสินใจว่าจะโดดงาน เอ้ย ลางานแบบกะทันหัน ปุ๊ปปั๊ปรับโชคมาคิวชู ซึ่งการจองแบบกระชั้นชิดนั้นทำใจไว้แล้วว่าได้ตั๋วแพงหูฉีกแน่ๆ แต่เดดดดชะบุญ! ได้ตั๋วการบินไทยราคาสมน้ำสมเนื้อ อยู่ที่ 17,xxxบาท (ซึ่งคิวชูมีสายการบินที่บินตรงลงคือ Jet Star Air และการบินไทยเท่านั้น) ปลื้มปริ่ม….. เราออกเดินทางวันที่ 9 มกราคมจากสนามบิน เวลา 00.50 ถึงที่สนามบินฟุกุโอกะ เวลา 8.00 น. ใช้เวลาในการบินขาไป 4 ชม.ครึ่ง

  
แลนดิ้งปุ๊ปวิ่งปรู้ดปร๊าด (หนาวเดินสโลว์ไลฟไม่ได้) หาเค้าท์เตอร์บริษัทรถให้เช่าที่เราได้ทำการจองจากเน็ทไว้ คิดว่าจะง่ายดายรับรถได้เลย แต่หาไม่เจอ!!! เลยถามประชาสัมพันธ์ได้ความว่า เราต้องนั่งรถบัสออกจากตึก international และไป Domestic แล้วเดินข้ามฝั่ง (ลากกระเป๋าคล้ายโดนขับออกจากบ้านท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ 4 องศา) ไปที่ออฟฟิตที่เช่ารถ….และแล้วการผจญภัยแบบเรียลลิตี้วันแรกก็เริ่มต้นขึ้น ปรากฏว่าพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยคร้า และได้ยื่นเอกสารที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษให้เราอ่านเอง(ซึ่งภาษาเราก็ถั่วงามาก)ว่า เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอดูแลเราที่นี่ และให้เรากลับไปที่สนามบินอีกครั้ง และโทรหาที่เบอร์ดังกล่าวนี้ประสานงานเรื่องรถต่อไป…..โอ้วแม่สาวน้อย! อ่านจบดังนั้น สตั๊นไปสามวิ ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีว่าต้องเหวียงญี่ปุ่นก็มายืนอยู่กลางสี่แยกเฟว้งฟว้างและหว่าเว้ นี่ตกลงข้าทำการจองในเน็ทไว้ทำไมรืออ? แล้วคือไม่ได้เปิดโรมมิ่งมา แล้วข้าจะโทรเข้าเบอร์ที่เจ้าหน้าที่ให้มาได้ยังไงรืออ? ทันใดนั้นเพลงทิ้งไว้กลางทางดังขึ้น...ตั้งสติสักพักจึง กระโดดจับรถบัสสายสนามบินนั่งกลับไปลงที่ตึก Domestic อีกครั้ง โชคดีขึ้นฟรี โอ้วมายเลดี้กาก้า! มีตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่! เราเลยงัดเหรียญ100เยนที่มีโทรไปตามหมายเลขที่ได้ “ตรู๊ดดด..โมชิโมชิ ...ภาษาญี่ปุ่น..฿#%@+!*_” สตั้นอีก 3 วิแล้วเราก็บอกเป็นภาษาอังกฤษว่าเรามาถึงแล้วและแจ้งเลขจองไป เค้าบอกเราว่าให้มารอที่ Gate1 รอสักไม่กี่อึดใจก็มีรถตู้มารับเราไปยังออฟฟิตเพื่อรับรถอีกที หลังจากนั้นเราก็ทำเอกสารการเช่ารถเรียบร้อย ซึ่งเหตุการณ์นี้สอนให้เรารู้ว่า ควรเช็ครายละเอียดการรับรถหรือสถานที่ในการรับรถดีๆ มิเช่นนั้นต้องเสียพลังงานและเสียอารมณ์แบบเรา ก่อนออกรถควรจะเช็คร่องรอยรอบคันไว้ด้วยว่า มีรอยใดที่เกิดก่อนที่เราใช้หรือไม่


ส่วนการเซทGPSที่นี่ไม่ยากคะ ไม่เหมือนไทยแลนด์แดนซิวิไลซ์ จีพีเอสชอบพาไปซอยตัน ที่นี่เพียงแค่คุณรู้ Destination และเบอร์โทรศัพท์ปลายทาง ก็สามารถไปถึงเป้าหมายอย่างง่ายดายแต่ควรดูควบคู่ไปกับ Google map ด้วยอย่าไว้ใจเทคโนโลยีนะคร้า

และอีกอย่างคือควรศึกษาวิธีการขับรถ การเติมน้ำมัน การจ่ายค่าทางด่วน และการจ่ายค่าที่จอดรถไว้ด้วยนะคะ การขับรถในญี่ปุ่นไม่ยากอย่างที่คิดถ้าเตรียมตัวดีๆนะ เอาละ! ขณะนั้นเป็นเวลา 10 นาฬิกา (กี่นาทีจำไม่ได้)  เมื่อได้รถ โยนกระเป๋าเข้าไป เซท GPSแล้ว  (น้ำมันทางบริษัทจะเติมให้เต็มถังและขากลับเราต้องเติมให้เต็มก่อนส่งมอบรถคืน) ไปตะลุยฟุกุโอกะกันเถอะ ที่แรกที่เราจะไปนั่นก็คือ Momochi Seaside Park อยู่ฝั่งตรงข้าม Fukuoka Tower

ตอนแรกพวกเราว่าจะขึ้นไปชมวิวยอดตึก แต่ไปป๊ะกับทัวร์จีนแก๊งค์ใหญ่ซะก่อน ก็เลยเลือกที่จะไปเอาหน้าไปกระแทกลมหนาวให้สาสมใจที่ Seaside Park ดีกว่า




ที่นี่มีหาดทรายกว้างและยาว และยังมีอาคารรูปทรงสวย Marizon เป็น Wedding Mall ที่ยอดฮิตในการจัดงานและและถ่ายพรีเวดดิ้ง วันนั้นลมแรงมาก มีความพยายามอดทนในการถ่ายรูปอยู่สักพัก ยืนจนหน้าแตกเลยรีบเพ่นเข้าหาที่กำบังความหนาว ต่อจากนั้นไปต่อที่ Ruins of Fukuoka Castle ประเด็นคือเราต้องหาที่จอดรถเครื่องของเราซะก่อน ซึ่งการจอดรถที่ญี่ปุ่นไม่ยากคะ แค่เข้าไปจอด ล๊อครถ สักพักมันจะล๊อคล้อรถเราอัตโนมัติ แล้วพอขากลับ เราแค่ไปจ่ายค่าที่จอดแล้วก็ขับออกไปได้เลย สนนราคาค่าจอด(แล้วแต่ที่และเวลาการจอด) ต่ำสุดครึ่งชม.ประมาณ100 เยน แต่ถ้าจอด 24 ชม.เหมารวมโดยประมาณ 1000-1500 เยน….


เมื่อหาที่จอดได้แล้วพวกเราก็พุ่งตัวไป Fukuoka Castle บรรยากาศช่างวังเวงวิเวก ใบไม้ต่างหนีพวกเราไปหมด เหลือแต่กิ่งก้านที่แผ่อวดพวกเรา กับดอกตูมๆที่รอผลิดอก อีกสามเดือนเราคงได้พบความสวยงามของที่นี่เมื่อถึงช่วงซากุระบาน ซึ่งถึงแม้ที่นี่ในฤดูนี้จะไม่ค่อยมีอะไร แต่มันก็สวยในแบบของมัน อยู่ที่เราจะมองเห็นมันหรือไม่









เพลิดเพลินไปชม.นึง เวลาก็ปาไปบ่ายสอง ลืมเสียสนิทว่ายังไม่ได้หม่ำข้าวเบยยยย เป้าหมายแรกที่ตั้งใจมากินให้ได้ก็คือร้าน Taichayaอยู่ใกล้สถานี Nakasukawabata ขึ้นทางออก2ก็เจอเลย ร้านนี้บังเอิญไปค้นพบจากการมาฟุกุโอกะครั้งที่แล้ว เป็นเล็กๆ บรรยากาศเจแปนจริงจัง เมนูหลักเป็นข้าวราดหน้าด้วยปลาไท ปรุงรสด้วยซอสที่เข้มข้น โรยหน้าด้วยงาขาวบดและสาหร่าย กลิ่นหอมยั่วยวนกระแทกจมูก ทันทีที่ลิ้มรส รสชาติของซอสหมักเข้ากับเนื้อปลาไทเนื้อเด้งๆสดมากราวกับเพิ่งว่ายแหวกผ่านคลื่นมามาให้เราได้ลิ้มรส (เว่อร์ไปนิด) และเนื้อข้าวหอม ผสมผสานอย่างกลมกลืน (พูดแล้วน้ำลายยายไหลย้อย) มีเครื่องเคียงเป็นเต้าหู้ขาวทอดที่แบบชั้นความกรอบกับความนุ่มได้กลมกลืน และถ้าเราสามารถเอาน้ำซุบของเค้ามาทำทานเป็นแบบข้าวต้มรถกลมกล่อมได้อีก


ถ้าใครไปอยากแนะนำให้ไปลองชิมนะคะ แล้วถ่ายรูปมาอวดกันด้วย เพราะพวกเราอร่อยจนลืมถ่ายคะ รู้ตัวอีกทีกินหมดแบ๊ววว ฮ่าๆ... เมื่อหนังท้องตึงก็ร่ำร้องอยากกลับโรงแรม พวกเราเลือกพักที่ Ascent Fukuoka Hotel ห้องเล็กตามขนาดมาตรฐาน สะอาดสะอ้าน เครื่องอำนวยความสะดวกครบ ราคาต่อคืนอยู่ที่ประมาณ 2500 บ. เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว เดินออกมาบรรยากาศก็มืดพอดี (หน้าหนาว 5 โมงเย็นก็เริ่มมืดแล้ว) พวกเราเลยเดินทางไปไหว้ที่ศาลเจ้า Sumiyoshi เพื่อขอพลังจากเทพเจ้าซูโม่ เค้าว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากเพราะเก่าแก่เป็นอันดับ1ใน3 ของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว...





ปิดท้ายวันแรกด้วยการเดินชม Night light ยามค่ำคืน

ชื่อสินค้า:   Kyushu,Fukuoka,Kumamoto,Aso,Nagasaki,Unsen,Saga,Japan
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่