[CR] Review : อนิเมชั่น 3 เรื่องสุดท้าย จากค่าย Studio Ghibli

การประกาศปิดตัว ของค่ายหนังอนิเมชัน Studio Ghibli เมื่อเดือนสิงหาคม 2014 สร้างความตกใจให้แก่แฟนๆจิบลิทั่วโลก
ข่าวนี้ถูกประกาศออกมาหลังจากที่ อนิเมชันเรื่อง When Marnie Was There ออกฉายที่ญี่ปุ่นได้เพียงแค่เดือนเดียว

สาเหตุของการปิดตัวลง มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า น่าจะเกิดจากสองเหตุผลหลักคือ
1. ความต้องการเกษียณอายุตัวเองของ ฮายาโอะ มิยาซากิ หลังจากที่ The Wind Rises อนิเมชันเรื่องสุดท้ายของเขา สำเร็จเสร็จสิ้น
2. ผลงาน 2 เรื่องสุดท้ายของค่าย ได้แค่ The Tale of the Princess Kaguya และ When Marnie Was There ซึ่งเข้าฉายในปี 2013 และ 2014 ทำรายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัท

ยิ่งกว่าใจหาย เมื่อ สตูดิโอผที่ผลิตอนิเมชั่นซึ่งมีผลงานที่ยอดเยี่ยม และเป็นที่รักของคนทุกเพศทุกวัยมาหลายสิบปี ได้ปิดตัวลง

เราลองมาติดตามเรื่องราวของ อนิเมชัน 3 เรื่องสุดท้าย ก่อนท้ายค่ายอนิเมชันที่มีแฟนที่เหนี่ยวแน่นมากที่สุดค่ายหนึ่งได้ฝากผลงานเอาไว้

The Wind Rises

เพราะลมพัดแรงกล้า เราจึงต้องอยู่ท้าแรงลม




The Wind Rises เป็นผลงานเรื่องสุดท้ายของอาจารย์ ฮายาโอะ มิยาซากิ ผู้ก่อตั้ง Studio Ghibli  ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามีเรื่องราวและตัวตนของเขาอยู่ในเนื้อเรื่องมากที่สุดก็ว่าได้



นั่นคือเรื่องราวความฝันของ จิโร่ โฮริโคชิ (อ้างอิงจากเรื่องจริง) ในวัยเด็กที่ต้องการเป็นนักบิน แต่ด้วยอุปสรรคปัญหาด้านสายตาทำให้เขาต้องเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตมาเป็น "นักสร้างเครื่องบิน" แทน เฉกเช่น ฮายาโอะที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่ในวัยเยาว์ เช่นเดียวกัน

แม้แต่ ชื่อของสตูดิโอ Ghibli เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับ  ลมร้อนที่พัดผ่านผืนทะเลทรายซาฮาร่า เป็นคำศัพท์ที่นักบินอิตาเลี่ยนใช้เรียกเครื่องบินสอดแนมของตัวเองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฮายาโอะ มิยาซากิได้นำชื่อนี้มาตั้งเป็นชื่อสตูดิโอ ด้วยเหตุผลสำคัญ คือ เกิดจากความหลงใหลเครื่องบินเป็นการส่วนตัว และต้องการสื่อความหมายถึง การเป็นแรงลมที่จะพัดกระเพื่อมวงการอนิเมชั่น


จิโร่ในวัยเด็กปรากฏตัวพร้อมกับชายที่อยู่ในความฝัน ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ นั่นคือ คาโปรนี่ วิศวกรผู้ออกแบบเครื่องบินที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลี
เรื่องราวดำเนินสลับกันไประหว่าง ความฝัน กับ ความจริง ที่จิโร่พยายามวิ่งไล่ตามมันอย่างไม่ลดละเพื่อที่จะ สร้างเครื่องบินโดยหารู้ไม่ว่า ความฝันที่ประสบความสำเร็จของเขานั้น วันหนึ่งจะนำมาซึ่งการทำลายล้างชีวิตผู้คน และนี่คือแนวคิดการต่อต้านความโหดร้ายของสงครามที่ฮายาโอะ มิยาซากิได้พยายามสอดแทรกไว้เสมอในภาพยนตร์หลายๆเรื่อง





หลายคนคาดหวังว่าเรื่อง The Wind Rises จะเป็นภาพยนตร์โรแมนติก แต่เรื่องนี้กลับถูกถ่ายทอดออกมาในแบบน่าเศร้ามากกว่า
โดยเรื่องราวความรักของ จิโร่ กับ นาโอกะ เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินทางไปบนรถไฟขบวนเดียวกัน





นาโอกะ เป็นหญิงสาวบอบบางที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง หลายคนบอกว่า ฮายาโอะ มิยาซากิ วาดภาพนาโอกะออกมาจากแม่ของเขาซึ่งช่วงเวลาที่เขายังเด็กแม่ของมิยาซากิก็ป่วยเป็นโรคนี้เช่นกัน



แม้จะรู้ความจริงจากนาโอกะถึง โรคภัยและความเจ็บป่วยของเธอ
รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสที่ทั้งสองจะไม่สามารถใช้ชีวิตใกล้ชิดกันเฉกเช่นคู่สามีภรรยาทั่วไปได้ แต่จิโร่ก็ตัดสินใจแต่งงานกับนาโอกะ

เรื่องราวของความพยายามฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในด้านการงานที่เป็นความฝัน และในด้านความรักของจิโร่ อาจจะดำเนินไปแบบราบเรียบไม่มีจุดพีคให้เสียน้ำตา แต่พอถึงตอนจบที่เพลง end title ขึ้นมา รับรองได้ว่า ใครๆหลายคนอาจจะน้ำตาไหลออกมาได้แบบไม่รู้ตัว

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
&&&&&




The Tale of the Princess Kaguya

ห้วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนั้นแสนสั้น จงใช้มันอย่างดีที่สุด




ใครที่ชอบอนิเมชันลายภาพแบบวาดมือด้วยสีน้ำ จะต้องตกหลุมรัก นิทานพื้นบ้านเรื่อง เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่อย่างแน่นอน

ผลงานรองสุดท้ายที่ออกฉายในปี 2013 โดยผู้กำกับ อิชาโอะ ทาคาฮาตะ ซึ่งดัดแปลงจากนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ของญี่ปุ่นเรื่อง ตำนานคนตัดไผ่ (The Tale of the Bamboo Cutter)

เรื่องนี้เกิดขึ้นในชนบท หมู่บ้านเล็กๆที่มีสองตายาย ตัดไผ่ เป็นอาชีพ จนวันหนึ่งชายคนตัดไผ่ได้พบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ เมื่อเขาเห็นหน่อไม้ประหลาดค่อยๆเรืองแสงเปล่งประกายและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปรากฏเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งออกมาจากหน่อไม้ และได้นำเด็กน้อยกลับมาเลี้ยงที่กระท่อม
น้อย





ราวกับปาฏิหาริย์ เด็กน้อยได้เติบโตและแข็งแรงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองตายาย ต่างมีความสุข ที่เห็นเด็กหญิงช่างน่ารักน่าชัง ค่อยๆเติบใหญ่และรักใคร่ราวกับเป็นลูกแท้ๆ พร้อมๆกับโชคลาภ เงินทองที่ค่อยๆไหลมาเทมา นับจากวันที่นำเด็กหญิงกระบอกไม้ไผ่มาเลี้ยง

จนวันหนึ่งเมื่อทรัพย์สินเงินทองมีขึ้นมามากมายพร้อมๆกับที่เด็กน้อยกลายเป็นหญิงสาวงามสง่า
ตาผู้ชุบเลี้ยงกลับเกิดความคิดว่า เราควรจะยกระดับของครอบครัวและบุตรสาวให้สมกับฐานะและรูปโฉมที่งดงามราวกับนางฟ้า
ด้วยการย้ายจากชนบทเข้าสู่เมือง สร้างคฤหาสน์หลังโต พร้อมกับเปลี่ยนแปลงหญิงสาวจากบ้านนอกให้กลายเป็นเจ้าหญิง

คางุยะ ฮิเมะ  มีความหมายว่า เจ้าหญิงที่มีความงามเปรียบได้กับแสงของดวงจันทร์ในยามเต็มดวง ที่อาศัยในคฤหาสน์หลังงาม



ราวกับชีวิตทั้งชีวิต ถูกขโมยไป หญิงสาวที่เคยมีชีวิตชีวา ทำอะไรได้ตามปราถนา อยู่กันตามประสาพ่อแม่ลูก
หญิงสาวบ้านนอกที่ร่าเริงสดใสกลายเป็น "เจ้าหญิง" ที่ไร้ความสุข และรายล้อมด้วยวัตถุจอมปลอม

มีหลายครั้ง ที่เจ้าหญิงพยายามแอบหนีกลับไปหาโลกเก่าๆ ที่มีเพื่อนเล่น ธรรมชาติ ต้นไม้
แม้กระทั่งแอบหลบไปอยู่ในสวนเล็กๆที่เธอสร้างไว้ในครัวหลัง คฤหาสน์และจินตนาการว่ามันคือ ป่าเล็กๆที่เธอเคยอยู่อาศัย




ทว่า ในโลกแห่งความจริงอันเป็นเท็จ เธอกลับถูกยัดเยียดให้เข้าสู่พิธีเลือกคู่ครอง จากเจ้าชายทั่วสารทิศที่หมายปองเจ้าหญิงผู้เลอโฉม


ความสุขแบบเก่าๆมีมีทางหวนกลับมาอีกแล้ว
สุดท้าย เมื่อเวลามาถึง เจ้าหญิงจากดวงจันทร์ก็ต้องจากไปจากอ้อมอก "ทั้งน้ำตา"
โดยไม่สามารถที่จะหาวิธีใดๆมาเหนี่ยวรั้งไว้ได้



และเช่นกับ เมื่อหนังมาถึงตอนจบ แทบจะไม่มีใครยอมลุกขึ้นจากที่นั่ง เนื่องจากความไพเราะจากบทเพลงที่แสนเศร้า ที่ถูกขับร้องเหมือนกลั่นออกมาจากก้นบึ้งแห่งความรู้สึก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
และแม้ในแง่รายได้ The Tale of the Princess Kaguya จะทำออกมาได้ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ในแง่คำวิจารณ์กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม รวมทั้งยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆอย่างมากมาย

%%%%


When Marnie Was There

เพียงเธออยู่ตรงนั้น เปลี่ยนชีวิตฉันเป็นคนใหม่




เรื่องราวของ "เด็กมีปัญหา" วัย 12 ขวบในซัปโปโระ ที่ชื่อ อันนะ ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่เก็บตัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ก้าวร้าวในบ้างครั้ง และมีความสัมพันธ์ที่แปลกแยกจากคนรอบข้างและเพื่อนๆในวัยเดียวกัน


"ในโลกนี้มีวงกลมล้อมรอบอยู่ มีเส้นแบ่งภายในและภายนอก คนเหล่านั้นยืนอยู่ในวงกลม ส่วนตัวฉันกลับยืนอยู่ภายนอก...

สิ่งเดียวที่พอจะเป็นที่ระบายความเก็บกดของอันนะได้ก็คือ ดินสอ กับกระดาษสีขาวที่ใช้วาดรูป


อันนะนอกจากจะเป็นเด็กที่ดูเก็บตัวผิดปกติ เธอยังมีโรคประจำตัวหอบหืด ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างร่าเริงเหมือนเด็กคนอื่นๆ
และแล้ววันหนึ่ง คุณหมอก็แนะนำให้แม่(คนที่เลี้ยงดูอันนะมาตั้งแต่เด็ก) ลองส่งเธอไปอยู่ที่ต่างจังหวัดซึ่งมีอากาศดี เพื่อที่จะได้ลองปรับตัวเรื่องการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ



หมู่บ้านเล็กๆ กับครอบครัวอบอุ่นใจดี ที่เป็นญาติสนิทของแม่ที่ต่างจังหวัด ทำให้อันนะได้พบกับสิ่งแวดล้อมที่ดีกับตัวเธอมากขึ้น และเริ่มกลับมาเป็นเด็กหญิงที่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง





แต่ก็ไม่สามารถลบปมบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในใจของเธอได้ จนกระทั้งได้พบกับ เด็กหญิงอีกคนที่ชื่อ มาร์นี่ ซึ่งอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูลึกลับ





ความสัมพันธ์ที่งดงามแปลกประหลาด ทำให้อันนะเริ่มเปิดเผยตัวตน รวมทั้งปมที่อยู่ในใจทั้งหมดของของเธอระหว่างที่ได้พบและทำความรู้จักกับมาร์นี่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน



ไม่ว่า มาร์นี่จะมีตัวตนอยู่จริง หรือเป็นแค่ภาพที่อันนะวาดขึ้นเพื่อปดเปลื้องปมในจิตใจของตนเอง


แต่เมื่อใดที่ได้อยู่ด้วยกันมันทำให้ทั้งคู่ต่างมีความสุข จนเสมือนทั้งสองต่างเป็นตัวตนของกันและกัน


When Marnie Was There เป็นภาพยนตร์ที่มีกลิ่นอายของอนิเมะแบบหญิงรักหญิง อ่อนหวาน โรแมนติก
แต่ก็ซ่อนไว้ซึ่งปม ที่จะค่อยๆคลื่คลายและเฉลยออกมาในที่สุด

แม้ว่าผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ฝีมือของอาจารย์ โจ ฮิไซซิ นักแต่งเพลงคู่บุญของจิบลิ แต่ก็ไพเราะชนะเลิศเช่นเดียวกับสองเรื่องก่อนหน้า

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
สำหรับเพื่อนๆที่พลาดชมภาพยนตร์สามเรื่องสุดท้ายของจิบลิ เป็นที่น่ายินดีว่าตอนนี้สามารถหาซื้อ DVD มาชมได้ แถมราคายังถูกกว่าที่ญีุ่ปุ่นมากๆอีกด้วย

เครดิต ข้อมูลจากหนังสือ "GHIBLI STORY, Everything about Studio Ghibli " by Kraiengkai Patanakunkomat

ขอบคุณที่ติดตามเรื่องราวจนจบครับ

สำหรับเพื่อนๆที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว รักการเดินทาง สามารถติดตามลุงหมอได้ใน เพจน่ารักของคนอยากพักร้อน
อาจจะไม่ใช่เพจที่เกี่ยวกับหนังโดยตรง แต่มีเนื้อหาเรื่องของการเดินทาง พักผ่อน สัพเพเหระ พูดคุยได้ทุกเรื่อง

https://www.facebook.com/pages/ลุงหมอขอพักร้อน/760679240696775

ขอบคุณมากครับ
ชื่อสินค้า:   Studio Ghibli
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่